หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 25 วันที่ 28 ตุลาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 25 วันที่ 28 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 25
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย รู้ลักษณะของการเจริญสติ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้า ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’
ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ และให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงเขาก็เรียกว่า ‘ความรู้ตัวทั่วพร้อม’ มีสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จนกระทั่งได้ 1 นาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวอยู่ ตัวส่วนภายในของเราคือตัวใจ การเกิดของใจ การเกิดของความคิดนั่นแหละเขาจะก่อตัวอย่างไร แล้วก็มีสติรู้อยู่ เราก็เข้าไปควบคุม เข้าไปควบคุมเข้าไปดับให้เขาสงบ
บางทีก็มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะเห็น เห็นการเคลื่อนตัวเข้าไปรวมของตัวใจกับอาการของใจ ขณะที่เราเห็นตรงนั้นใจก็จะพลิก ใจก็จะแยกออกจากความคิด เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยยังลึกเข้าไปไม่เห็นตรงนั้น เพียงแค่สร้างกับทําให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทํากันไม่ได้เท่าไร มีตั้งแต่ความพลั้งเผลอ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ ถ้ากําลังสติมีกําลังแรงพอเราก็จะเห็น เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกรูปแยกนาม
ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนก็พอมีกันอยู่ ความเสียสละ ความอดทนผ่านกาลผ่านเวลา การฝักใฝ่การสนใจในการทําบุญในการให้ทาน มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป อยากได้บุญ อยากทําบุญ อยากได้ทาน ความเสียสละ แต่ในตัวปัญญาตัวลึกๆ คือการเจริญสติเข้าไปเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ตรงนั้นยังเข้าไม่ถึงกันก็ยังหลงอยู่นี่แหละ
ความหลง ในหลักธรรม ถ้าเราคลายตรงนี้ได้ ตามดูรู้เห็นได้ เห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเป็นอาการของขันธ์ใดขันธ์หนึ่งในขันธ์ห้า เห็นอนิจจัง เราก็จะเข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เข้าใจคําว่า อัตตา อนัตตา เข้าใจในหลักคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องหลักของอริยสัจ ใจส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจหลงขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจเกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่หรือเกิดขึ้นที่ใจ เราจะแก้ไขอย่างไร เราก็รู้จักพิจารณาแก้ไข
กิเลสหยาบเป็นลักษณะอย่างนี้ กิเลสละเอียดพวกมลทินต่างๆ อย่างเช่น มองโลกในแง่ร้าย อคติเพ่งโทษยกตนสูงกว่าคนอื่น หรือมองเห็นคนอื่นสูงกว่าตัวเอง อคติเพ่งโทษคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ก็มีตั้งแต่ใจของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่ของคนอื่นหรอก ของคนอื่นเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าเรามาแก้ไขที่ใจของเรา ใจของเราสงบ มันก็สงบอยู่เหมือนเดิม ใจของเราสะอาด มันก็สะอาดอยู่เหมือนเดิม เราพยายามมาแก้ไขที่ใจ ขัดเกลาที่ใจ
ทุกคนก็ปรารถนาดีกับตัวเรากับตัวเองทั้งนั้นแหละ อยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม ทุกคนก็ปรารถนาดีกันทุกคน ก็พยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งวาจา อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ไม่ใช่จะเอาตั้งแต่ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็ตายหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ไม่ช้าก็เร็ว ให้เรารีบทําความเข้าใจให้กระจ่างในขณะที่กําลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ เอาเรื่องของเราให้มันจบ แล้วก็ถ้าเรื่องของเราจบแล้ว มันก็มีตั้งแต่เรื่องของการประโยชน์ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือหมู่คณะเพื่อนฝูง
ขณะที่เรายังมีกําลัง ยังมีลมหายใจอยู่ ถึงเอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทํางานไปด้วยใจรับรู้ไปด้วย อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ฝากเอาไว้กับสมมติ ดังที่หลวงพ่อจะพาทําอยู่ทุกวันนี้แหละ เท่าที่กําลังกายจะยังเหลืออยู่ หมดลมหายใจก็ไม่ได้ทํากัน ก็ต้องพยายามกันเอา
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักระยะนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสังเกตวิเคราะห์ ทําความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย รู้ลักษณะของการเจริญสติ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้า ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’
ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เวลาหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ และให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงเขาก็เรียกว่า ‘ความรู้ตัวทั่วพร้อม’ มีสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จนกระทั่งได้ 1 นาที 2 นาที 5 นาที 10 นาที ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวอยู่ ตัวส่วนภายในของเราคือตัวใจ การเกิดของใจ การเกิดของความคิดนั่นแหละเขาจะก่อตัวอย่างไร แล้วก็มีสติรู้อยู่ เราก็เข้าไปควบคุม เข้าไปควบคุมเข้าไปดับให้เขาสงบ
บางทีก็มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราก็จะเห็น เห็นการเคลื่อนตัวเข้าไปรวมของตัวใจกับอาการของใจ ขณะที่เราเห็นตรงนั้นใจก็จะพลิก ใจก็จะแยกออกจากความคิด เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยยังลึกเข้าไปไม่เห็นตรงนั้น เพียงแค่สร้างกับทําให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทํากันไม่ได้เท่าไร มีตั้งแต่ความพลั้งเผลอ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ ถ้ากําลังสติมีกําลังแรงพอเราก็จะเห็น เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกรูปแยกนาม
ส่วนบารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนก็พอมีกันอยู่ ความเสียสละ ความอดทนผ่านกาลผ่านเวลา การฝักใฝ่การสนใจในการทําบุญในการให้ทาน มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป อยากได้บุญ อยากทําบุญ อยากได้ทาน ความเสียสละ แต่ในตัวปัญญาตัวลึกๆ คือการเจริญสติเข้าไปเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ตรงนั้นยังเข้าไม่ถึงกันก็ยังหลงอยู่นี่แหละ
ความหลง ในหลักธรรม ถ้าเราคลายตรงนี้ได้ ตามดูรู้เห็นได้ เห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเป็นอาการของขันธ์ใดขันธ์หนึ่งในขันธ์ห้า เห็นอนิจจัง เราก็จะเข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เข้าใจคําว่า อัตตา อนัตตา เข้าใจในหลักคําสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนเรื่องหลักของอริยสัจ ใจส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจหลงขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจเกิดกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจเกิดกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายใจส่งเสริมหรือไม่หรือเกิดขึ้นที่ใจ เราจะแก้ไขอย่างไร เราก็รู้จักพิจารณาแก้ไข
กิเลสหยาบเป็นลักษณะอย่างนี้ กิเลสละเอียดพวกมลทินต่างๆ อย่างเช่น มองโลกในแง่ร้าย อคติเพ่งโทษยกตนสูงกว่าคนอื่น หรือมองเห็นคนอื่นสูงกว่าตัวเอง อคติเพ่งโทษคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ก็มีตั้งแต่ใจของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่ของคนอื่นหรอก ของคนอื่นเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าเรามาแก้ไขที่ใจของเรา ใจของเราสงบ มันก็สงบอยู่เหมือนเดิม ใจของเราสะอาด มันก็สะอาดอยู่เหมือนเดิม เราพยายามมาแก้ไขที่ใจ ขัดเกลาที่ใจ
ทุกคนก็ปรารถนาดีกับตัวเรากับตัวเองทั้งนั้นแหละ อยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม ทุกคนก็ปรารถนาดีกันทุกคน ก็พยายามแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งวาจา อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ไม่ใช่จะเอาตั้งแต่ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็ตายหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ไม่ช้าก็เร็ว ให้เรารีบทําความเข้าใจให้กระจ่างในขณะที่กําลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ เอาเรื่องของเราให้มันจบ แล้วก็ถ้าเรื่องของเราจบแล้ว มันก็มีตั้งแต่เรื่องของการประโยชน์ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือหมู่คณะเพื่อนฝูง
ขณะที่เรายังมีกําลัง ยังมีลมหายใจอยู่ ถึงเอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทํางานไปด้วยใจรับรู้ไปด้วย อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ฝากเอาไว้กับสมมติ ดังที่หลวงพ่อจะพาทําอยู่ทุกวันนี้แหละ เท่าที่กําลังกายจะยังเหลืออยู่ หมดลมหายใจก็ไม่ได้ทํากัน ก็ต้องพยายามกันเอา
ลองสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักระยะนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสังเกตวิเคราะห์ ทําความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ