หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 18 วันที่ 15 ตุลาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 18 วันที่ 15 ตุลาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 18
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด เราขอให้หยุดขณะที่เรากําลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พยายามฝึกรู้ลมหายใจให้ชัดเจน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าหายใจออก จะลุก จะก้าว จะเดิน เราก็มีสติรู้ตัว จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง จนเป็นนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที ความต่อเนื่องความสืบต่อนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะลมหายใจเข้าออก ขณะที่เรามีสติรู้กายอยู่
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั้นก็มีอยู่เดิม ถ้าเราสังเกตทันเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ เห็นใจคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ คลายความหลงในขันธ์ห้านี่แหละเขาเรียกว่า หลงในขันธ์ห้าในระดับหนึ่ง เราก็ตามเห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
ส่วนใจนั้นก็ว่าง ว่างรับรู้อยู่ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจในหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจ เข้าถึง แล้วก็เห็นการเกิดการดับ เวลาเขาจบ ความคิดจบไปอนัตตาก็เข้ามาปรากฏ เราก็เอาสติปัญญาตามดู เวลาเขาจบแล้ว ก็พิจารณาด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ เห็นตามความจริงทุกเรื่อง
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย แต่มีตั้งแต่กําลังบุญ ศรัทธาบุญ การทำบุญให้ทานพื้นฐานของการเจริญปัญญา แต่ขาดกําลังสติที่จะเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร นิวรณ์ธรรมมลทินต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อแต่เรายังไม่เคยเห็นลักษณะอาการหน้าตาที่เขาเกิดที่เขาดับ
อาการของเวลาใจปรุงแต่ง ใจเกิด เรารู้เมื่อเขาเกิดไปแล้วแต่ไม่เห็นต้นเหตุที่เขาเกิด ไม่เห็นตัวตนของตัววิญญาณในกายของเรา เพราะว่าวิญญาณนั้นไม่มีอัตตาตัวตน วิญญาณไม่เที่ยงที่เรา แต่ในความไม่เที่ยง แต่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อยู่ในความว่าง ในความว่างมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลักษณะของวิญญาณในกายของเรา
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา การสร้างประโยชน์ การสร้างคุณงามความดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โอกาสเปิดให้เรารีบทำ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน การทำบุญ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราพลอยอนุโมทนาสาธุ มีความสุข มีความยินดีด้วย เราก็มีได้รับอานิสงส์แห่งบุญ พยายามกันนะ
อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ไร่ที่นา ที่ทำการที่ทำงาน ดูใจของเราเป็นหลัก เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่เพื่อนสู่ฝูง สู่สังคมต่างๆ ต้องดีจากภายในเสียก่อนแล้วก็ล้นออกไป ค่อยแก้ไขค่อยปรับปรุง จัดระบบระเบียบทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเรา แล้วก็หมั่นสร้างประโยชน์สร้างคุณงามความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่เดินถึงช้าก็ต้องเดินถึงเร็ว ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ใครใคร่จะทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็ให้รีบทำ ให้ช่วยกันทำ
พวกเรามีโอกาสได้ร่วมกัน หมดลมหายใจก็หมดโอกาส ก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องความสะอาดความบริสุทธิ์ของใจของเรา การทำบุญการให้ทานนี้จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า ส่งผลให้จิตใจของเราเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ความหมดจดได้ ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ความเสียสละไม่มี การอบรมใจไม่มี การฝักใฝ่การสนใจไม่มี ก็ยิ่งห่างไกลบุญ ห่างไกลความสะอาดความบริสุทธิ์
เราพยามประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ให้ได้ตลอดเวลา จนกว่ามองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน การเจริญสติ การเจริญปัญญา เราก็พยายามทำให้พร้อมเพรียงทั้งสติ สมาธิ ปัญญา ต่อไปในวันข้างหน้า สติ สมาธิ ปัญญา เขาจะรักษาเราเอง ถ้ายังสติ สมาธิ ปัญญาให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราบริบูรณ์
สร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 ตุลาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด เราขอให้หยุดขณะที่เรากําลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พยายามฝึกรู้ลมหายใจให้ชัดเจน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าหายใจออก จะลุก จะก้าว จะเดิน เราก็มีสติรู้ตัว จากหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง จนเป็นนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที ความต่อเนื่องความสืบต่อนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมทุกขณะลมหายใจเข้าออก ขณะที่เรามีสติรู้กายอยู่
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั้นก็มีอยู่เดิม ถ้าเราสังเกตทันเราก็จะเห็น เห็นการเกิดของใจ เห็นใจคลายออกจากความคิดซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ คลายความหลงในขันธ์ห้านี่แหละเขาเรียกว่า หลงในขันธ์ห้าในระดับหนึ่ง เราก็ตามเห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า
ส่วนใจนั้นก็ว่าง ว่างรับรู้อยู่ ตามดูรู้เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจในหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจ เข้าถึง แล้วก็เห็นการเกิดการดับ เวลาเขาจบ ความคิดจบไปอนัตตาก็เข้ามาปรากฏ เราก็เอาสติปัญญาตามดู เวลาเขาจบแล้ว ก็พิจารณาด้วยปัญญา ให้ใจรับรู้ เห็นตามความจริงทุกเรื่อง
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อย แต่มีตั้งแต่กําลังบุญ ศรัทธาบุญ การทำบุญให้ทานพื้นฐานของการเจริญปัญญา แต่ขาดกําลังสติที่จะเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร นิวรณ์ธรรมมลทินต่างๆ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อแต่เรายังไม่เคยเห็นลักษณะอาการหน้าตาที่เขาเกิดที่เขาดับ
อาการของเวลาใจปรุงแต่ง ใจเกิด เรารู้เมื่อเขาเกิดไปแล้วแต่ไม่เห็นต้นเหตุที่เขาเกิด ไม่เห็นตัวตนของตัววิญญาณในกายของเรา เพราะว่าวิญญาณนั้นไม่มีอัตตาตัวตน วิญญาณไม่เที่ยงที่เรา แต่ในความไม่เที่ยง แต่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อยู่ในความว่าง ในความว่างมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลักษณะของวิญญาณในกายของเรา
อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา การสร้างประโยชน์ การสร้างคุณงามความดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โอกาสเปิดให้เรารีบทำ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ของทุกคน การทำบุญ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราพลอยอนุโมทนาสาธุ มีความสุข มีความยินดีด้วย เราก็มีได้รับอานิสงส์แห่งบุญ พยายามกันนะ
อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ไร่ที่นา ที่ทำการที่ทำงาน ดูใจของเราเป็นหลัก เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา แล้วก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่เพื่อนสู่ฝูง สู่สังคมต่างๆ ต้องดีจากภายในเสียก่อนแล้วก็ล้นออกไป ค่อยแก้ไขค่อยปรับปรุง จัดระบบระเบียบทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเรา แล้วก็หมั่นสร้างประโยชน์สร้างคุณงามความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่เดินถึงช้าก็ต้องเดินถึงเร็ว ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ใครใคร่จะทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็ให้รีบทำ ให้ช่วยกันทำ
พวกเรามีโอกาสได้ร่วมกัน หมดลมหายใจก็หมดโอกาส ก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องความสะอาดความบริสุทธิ์ของใจของเรา การทำบุญการให้ทานนี้จะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปในวันข้างหน้า ส่งผลให้จิตใจของเราเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ความหมดจดได้ ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ความเสียสละไม่มี การอบรมใจไม่มี การฝักใฝ่การสนใจไม่มี ก็ยิ่งห่างไกลบุญ ห่างไกลความสะอาดความบริสุทธิ์
เราพยามประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ให้ได้ตลอดเวลา จนกว่ามองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน การเจริญสติ การเจริญปัญญา เราก็พยายามทำให้พร้อมเพรียงทั้งสติ สมาธิ ปัญญา ต่อไปในวันข้างหน้า สติ สมาธิ ปัญญา เขาจะรักษาเราเอง ถ้ายังสติ สมาธิ ปัญญาให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราบริบูรณ์
สร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ