
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 86 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 86 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 86
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เราอย่าไปมองข้าม เราอย่าไปลืม พยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ จะตื่นเราก็พยายามรู้ลมสัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่า เจริญสติ ให้มี ให้เกิดขึ้น เราก็พยายามอบรมใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง มีทิฏฐิมีมานะ มีความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เราก็รู้จักแก้ไข รู้จักอบรมใจของตัวเรา อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะนําความสุขมาให้ เราก็พยายามดำเนิน
ความรู้ตัวพลั้งเผลอได้อย่างไร เราก็พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียร ความเป็นบุคคลที่มีความเป็นเสียสละความเป็นระเบียบ ระเบียบทั้งสมมติ ระเบียบทั้งวิมุตติ ทางด้านจิตใจของเรา ความคิด อารมณ์ต่างๆ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ซึ่งมีอยู่ในกายของตัวเราทุกคน ทุกคนก็ฝักใฝ่ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น อย่าไปลืมปณิธานของตัวเราเอง
คําสอนของพระพุทธองค์นั้นมีมานาน ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องการดำเนินชีวิต วิธีการแนวทาง การขัดเกลากิเลส ใจเกิดกิเลส เกิดความทะเยอทะยานอยาก ในหลักธรรมแล้วทั้งอยากทั้งไม่อยาก ก็คือความเกิดของใจของเรา เราพยายามทำใจของเราให้อยู่ในความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น เป็นกลาง และก็ไม่เกิด แล้วก็รับรู้ให้เร็วให้ไว อะไรที่ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ บุญสมมุติบุญวิมุตติ เราก็พยายามศึกษาค้นคว้า
คําว่า การเจริญสติที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ปัจจุบันธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก เรียกว่า ปัจจุบันธรรม เราก็รู้จักเอาสติของเราไปใช้ เอาไปรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ จนใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้น แยกได้เพียงแค่สัมมาทิฏฐิ ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะเห็นการเกิดการดับของใจคลายออกจากขันธ์ห้า เขาจะแยกของเขาเองถ้าเรารู้ทัน รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ สักวันหนึ่งเราพยายามทำความเพียรของเราไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็น
การทำบุญการให้ทาน ความเสียสละเรามีกันอยู่ทุกวันทุกเวลา ส่วนการเจริญภาวนา เจริญภาวนา จุดมุ่งหมายของการเจริญภาวนาที่ตรงไหนเราก็ต้องพยายามเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจ การเกิดของใจก็คือความทุกข์ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงที่พวกเราพากันสวดพากันท่องกันอยู่ทุกวันนะ วิญญาณไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง ก็คืออนัตตานั่นแหละ ความเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมว่าเป็นตัวเป็นตนจริงๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นมายาในขันธ์ห้าของตัวเรา ตัววิญญาณก็คือกองหนึ่งอยู่ในขันธ์ห้า ท่านถึงให้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง ให้รู้เท่ารู้ทันจนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง รู้เหตุรู้ผล เหตุสมมติเหตุวิมุตติ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึงไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว อย่าไปทิ้งบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ทานวัตถุทาน ทานความคิด ทานอารมณ์ ทานกิเลส ทานความยึดมั่นถือมั่น ให้อยู่ในพรหมวิหารด้วยสติด้วยปัญญา มีใจรับรู้ พรหมวิหารด้วยปัญญาไม่ให้ใจเกิด
การพูดง่าย อยู่ด้วยการลงมือจริงๆ นี่ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เรารู้วิธีการ เรารู้แนวทางแล้ว เราก็พยายามไปดำเนิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมากายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร นี่เราก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกัน บุญสมมติเราก็ช่วยกันทำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อยู่ไกล โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด เราก็พยายาม ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมาใจวิ่งอยู่ตลอดเวลา ทั้งใจวิ่งทั้งความคิดรวมกันไป นั่นแหละความหลง หลง หลงในส่วนนามธรรม
ความหลงนี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ใจนี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิด มาสร้างภพมนุษย์มายึดติดอีก แล้วก็เป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ถ้าเราเจริญสติลงที่กายจนรู้เท่ารู้ทันแล้วก็ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็น เห็นแล้วก็มันไม่น่าเอาสักอย่าง แล้วก็ค่อยละ ละความเกิด ละกิเลสที่นั่นที่นี่ ใจก็บริสุทธิ์ลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายคือการไม่ได้เกิด ดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ให้เกิดด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ใจนี้เป็นธาตุรู้ รับรู้อยู่ภายใน แต่เวลานี้ทั้งรู้ทั้งหลง เราก็ค่อยขัดเกลากันเอานะ
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าขณะนี้มีลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน เราอย่าไปมองข้าม เราอย่าไปลืม พยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ จะตื่นเราก็พยายามรู้ลมสัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ซึ่งภาษาธรรมท่านเรียกว่า เจริญสติ ให้มี ให้เกิดขึ้น เราก็พยายามอบรมใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ ใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง มีทิฏฐิมีมานะ มีความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เราก็รู้จักแก้ไข รู้จักอบรมใจของตัวเรา อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะนําความสุขมาให้ เราก็พยายามดำเนิน
ความรู้ตัวพลั้งเผลอได้อย่างไร เราก็พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียร ความเป็นบุคคลที่มีความเป็นเสียสละความเป็นระเบียบ ระเบียบทั้งสมมติ ระเบียบทั้งวิมุตติ ทางด้านจิตใจของเรา ความคิด อารมณ์ต่างๆ อะไรคือส่วนรูปอะไรคือส่วนนาม ซึ่งมีอยู่ในกายของตัวเราทุกคน ทุกคนก็ฝักใฝ่ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น อย่าไปลืมปณิธานของตัวเราเอง
คําสอนของพระพุทธองค์นั้นมีมานาน ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องการดำเนินชีวิต วิธีการแนวทาง การขัดเกลากิเลส ใจเกิดกิเลส เกิดความทะเยอทะยานอยาก ในหลักธรรมแล้วทั้งอยากทั้งไม่อยาก ก็คือความเกิดของใจของเรา เราพยายามทำใจของเราให้อยู่ในความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น เป็นกลาง และก็ไม่เกิด แล้วก็รับรู้ให้เร็วให้ไว อะไรที่ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ บุญสมมุติบุญวิมุตติ เราก็พยายามศึกษาค้นคว้า
คําว่า การเจริญสติที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ปัจจุบันธรรม คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก เรียกว่า ปัจจุบันธรรม เราก็รู้จักเอาสติของเราไปใช้ เอาไปรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ จนใจของเราคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้น แยกได้เพียงแค่สัมมาทิฏฐิ ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะเห็นการเกิดการดับของใจคลายออกจากขันธ์ห้า เขาจะแยกของเขาเองถ้าเรารู้ทัน รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ สักวันหนึ่งเราพยายามทำความเพียรของเราไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็น
การทำบุญการให้ทาน ความเสียสละเรามีกันอยู่ทุกวันทุกเวลา ส่วนการเจริญภาวนา เจริญภาวนา จุดมุ่งหมายของการเจริญภาวนาที่ตรงไหนเราก็ต้องพยายามเข้าใจ พยายามทำความเข้าใจ การเกิดของใจก็คือความทุกข์ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงที่พวกเราพากันสวดพากันท่องกันอยู่ทุกวันนะ วิญญาณไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง ก็คืออนัตตานั่นแหละ ความเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมว่าเป็นตัวเป็นตนจริงๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นมายาในขันธ์ห้าของตัวเรา ตัววิญญาณก็คือกองหนึ่งอยู่ในขันธ์ห้า ท่านถึงให้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง ให้รู้เท่ารู้ทันจนใจของเรามองเห็นความเป็นจริง รู้เหตุรู้ผล เหตุสมมติเหตุวิมุตติ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าถึงไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว อย่าไปทิ้งบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ทานวัตถุทาน ทานความคิด ทานอารมณ์ ทานกิเลส ทานความยึดมั่นถือมั่น ให้อยู่ในพรหมวิหารด้วยสติด้วยปัญญา มีใจรับรู้ พรหมวิหารด้วยปัญญาไม่ให้ใจเกิด
การพูดง่าย อยู่ด้วยการลงมือจริงๆ นี่ก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เรารู้วิธีการ เรารู้แนวทางแล้ว เราก็พยายามไปดำเนิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมากายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร นี่เราก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกัน บุญสมมติเราก็ช่วยกันทำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อยู่ไกล โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด เราก็พยายาม ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ ไม่ใช่ว่าตื่นขึ้นมาใจวิ่งอยู่ตลอดเวลา ทั้งใจวิ่งทั้งความคิดรวมกันไป นั่นแหละความหลง หลง หลงในส่วนนามธรรม
ความหลงนี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ใจนี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิด มาสร้างภพมนุษย์มายึดติดอีก แล้วก็เป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ถ้าเราเจริญสติลงที่กายจนรู้เท่ารู้ทันแล้วก็ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็น เห็นแล้วก็มันไม่น่าเอาสักอย่าง แล้วก็ค่อยละ ละความเกิด ละกิเลสที่นั่นที่นี่ ใจก็บริสุทธิ์ลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายคือการไม่ได้เกิด ดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ให้เกิดด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ใจนี้เป็นธาตุรู้ รับรู้อยู่ภายใน แต่เวลานี้ทั้งรู้ทั้งหลง เราก็ค่อยขัดเกลากันเอานะ
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าขณะนี้มีลมหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ