หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 83 วันที่ 25 ตุลาคม 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 83 วันที่ 25 ตุลาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 83
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 ตุลาคม 2560
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชี พิจารณาปฏิสังขาโย พระบวชใหม่ ที่บวชใหม่ก็ทุกคนทั้งเก่าทั้งใหม่ ต้องเป็นผู้ใหม่เสมอถึงจะถูกต้อง ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ดูว่าใจของเราเกิดความอยาก ก็รู้จักควบคุม ความอยากกับความหิว ถ้าเรามาฝึกใหม่ๆ ในความอยากมันจะเห็นเยอะ อันนั้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย อันนี้ก็จะเอาอันนั้นก็จะเอา กิเลสมันสั่งงาน เราต้องพยายามใช้สมถะเข้าไปดับอยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับคําบริกรรม ถ้าดับไม่ได้ หยุดไม่ได้ก็นั่งดู ใจเกิดความอยาก ไม่เอาให้มัน ให้ผ่านเลยไป ถ้าผ่านเลยไปแล้วก็ดูอีกทีหนึ่งว่ายังอาลัยอาวรณ์อยู่อีกหรือเปล่า ทุกครั้ง ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุก รู้ลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า สติรู้กาย ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ถ้าความรู้ตัวลึกลงไปก็รู้ใจ รู้อาการของใจ รู้ความปกติของใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเอาไปใช้ แต่เวลานี้การสร้างความรู้ตัวก็ยังกะพร่องกะแพร่ง ทั้งที่ใจเป็นบุญ ไอ้บุญนั้นก็ได้อยู่ตลอดนั่นแหละ พากันสร้างบุญสร้างกุศล อานิสงส์ตรงนี้ก็เป็นบารมีให้กับทุกคน แต่การเจริญภาวนาเอาสติปัญญาไปใช้ ตรงนี้ไม่ค่อยจะทำกันให้ต่อเนื่อง ก็เลยเข้าไม่ถึงตัวใจ
ทั้งที่รู้ๆ ความโกรธเป็นทุกข์ ความคิดเป็นทุกข์ก็รู้ แต่ไม่รู้จักดับจักหยุด ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลให้ใจ บุญสมมติเราก็ทำ ส่วนการขัดเกลากิเลสเราก็พยายาม ละกิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็พยายามละ พยายามขัดเกลาเอาออก เพราะว่าใจเดิม ใจดวงเดิมของทุกคนนั้นบริสุทธิ์ เพราะความไม่เข้าใจเขาเลยเกิด ความเกิดนี้แหละคือกิเลสอันละเอียด ความคิด ความเกิด ถ้าเรา ตัวใจมาสร้างขันธ์ห้า หรือว่ามาสร้างร่างกายของเราซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้า ที่พระพุทธองค์ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์รวมกันอยู่เป็นก้อน ท่านให้เจริญสติตัวใหม่ให้เข้มแข็ง เข้าไปดูรู้ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็ให้อยู่ในคุณงามความดี ให้อยู่ในกองบุญ กองกุศล ตราบใดที่ใจยังเกิดยังวิ่งอยู่ พยายามน้อมใจให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ อะไรที่จะเป็นอกุศล เราก็พยายามละ อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็พยายามเจริญ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย
พระเราก็พยายาม มีความเพียรอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้น เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย แก้ไขเราไปด้วย ถ้าเราช่วยเหลือเราไม่ได้ แก้ไขภายในไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าใครจะแก้ไขให้ นอกจากตัวของเรา ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ก็ขัดเกลากิเลสที่ใจของเรา ดับความเกิดที่ใจของเรา ส่วนการทำบุญให้ทานทุกคนตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้ไปทำร่วมกัน แต่การละกิเลส กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็พยายามดับ ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส ใจเกิดความโลภก็ละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็ดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ใจมีความเกียจคร้านเราก็พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร มีวิริยะมีความเพียร ความรู้ตัวของเรามันพลั้งเผลอ เราก็พยายามสร้างความรู้ตัวขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งานจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ยังสมมติวิมุตติภายในให้จบ คือดับความเกิด
ใจนี่หลงเกิดมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิดในภพมนุษย์ ก็มาแก้ไขในอัตภาพร่างกายของเราให้ได้เสียก่อน แยกรูปแยกนามให้ได้ในกายก้อนนี้ แล้วก็ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดให้ได้ในกายก้อนนี้ เราก็ดับความเกิดขณะยังมีลมหายใจ มองเห็นว่าเราจะได้กลับมาเกิดกันหรือไม่ ก็สติรู้ มองเห็นความเป็นจริง นั่นแหละสติก็จะเป็นครูบาอาจารย์ สติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะกลายเป็นปัญญา ก็จะกลายเป็นมหาปัญญา มหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของตัวเรา มีหมดนี่แหละถ้าเราค้นคว้าเห็นความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในคําสอนของท่านว่าท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร ใจที่บริสุทธิ์จากกิเลส ใจที่วาง ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ใจเกิดส่งไปภายนอกได้อย่างไร รู้มีหมดตามคําสอนของท่าน เราเข้าไม่ถึงแยกแยะไม่ได้ เราก็เลยมองเห็นในภาพรวมกันเท่านั้น แล้วก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ ก็ต้องพยายามกัน
พระเราชีเราอยู่ทางนี้ก็มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ให้ช่วยกันทำ ให้ช่วยกันดูแล และก็วันที่ 28 พระเราส่วนที่อยู่ไปกับหลวงตานะ ไปงานกฐินในบ้าน ไปช่วยงานกฐินในบ้านสัก 8-9 รูป สัก 9 รูปไปด้วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
------
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าแค่ชี้แนะวิธีการแนวทางเท่านั้นแหละ พวกท่านจงพยายามศึกษาทำความเข้าใจการหายใจเข้าหายใจออก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจการดู การรู้ การเห็นตรงนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ แต่ยังขาดความรู้ตัวที่รู้ในความเกิดของใจ ความเกิดของขันธ์ห้าว่าเขาไปรวมไปร่วมกันได้อย่างไร รู้ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดแล้ว คิดก็รู้ ทำก็รู้ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ เขาหลงอยู่ในความเกิด หลงอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานยาก ความเกิดทั้งดีทั้งไม่ดี นั่นแหละคือความหลงอันละเอียด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ตามความเข้าใจจนจิตใจมองเห็นความเป็นจริง จนจิตใจเกิดความเบื่อหน่ายในความคิดในอารมณ์ ว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไรนั่นแหละ ใจก็จะปล่อยก็จะวาง แล้วก็อาศัยอยู่ในกายเนื้อก้อนนี้
พยายามสร้างบุญสร้างกุศล พากายเนื้อสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมขณะที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็มีตั้งแต่เรื่องบุญกับบาป บุคคลผู้รู้เห็นตามความเป็นจริงก็ละทั้งบุญละทั้งบาป สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป มองเห็นทางเดินคือไม่ต้องกลับมาเกิดกัน พวกเราก็พยายามกัน อย่าไปปล่อยปละละเลย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะจบกัน ถ้าใจของเรายังไม่จบ ก็ไปสร้างสานต่อ ไม่หลุดพ้น วันนี้ก็พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่หลุดพ้นจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำก็จะไปต่อเอาภพหน้า ไม่ได้ลําบาก ไม่ได้ตกอับ ตราบใดที่ยังสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้เต็มเปี่ยม
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 ตุลาคม 2560
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชี พิจารณาปฏิสังขาโย พระบวชใหม่ ที่บวชใหม่ก็ทุกคนทั้งเก่าทั้งใหม่ ต้องเป็นผู้ใหม่เสมอถึงจะถูกต้อง ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ดูว่าใจของเราเกิดความอยาก ก็รู้จักควบคุม ความอยากกับความหิว ถ้าเรามาฝึกใหม่ๆ ในความอยากมันจะเห็นเยอะ อันนั้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย อันนี้ก็จะเอาอันนั้นก็จะเอา กิเลสมันสั่งงาน เราต้องพยายามใช้สมถะเข้าไปดับอยู่กับลมหายใจ หรือว่าอยู่กับคําบริกรรม ถ้าดับไม่ได้ หยุดไม่ได้ก็นั่งดู ใจเกิดความอยาก ไม่เอาให้มัน ให้ผ่านเลยไป ถ้าผ่านเลยไปแล้วก็ดูอีกทีหนึ่งว่ายังอาลัยอาวรณ์อยู่อีกหรือเปล่า ทุกครั้ง ทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่
ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุก รู้ลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า สติรู้กาย ถ้ารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ถ้าความรู้ตัวลึกลงไปก็รู้ใจ รู้อาการของใจ รู้ความปกติของใจ จนกว่าใจจะคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเอาไปใช้ แต่เวลานี้การสร้างความรู้ตัวก็ยังกะพร่องกะแพร่ง ทั้งที่ใจเป็นบุญ ไอ้บุญนั้นก็ได้อยู่ตลอดนั่นแหละ พากันสร้างบุญสร้างกุศล อานิสงส์ตรงนี้ก็เป็นบารมีให้กับทุกคน แต่การเจริญภาวนาเอาสติปัญญาไปใช้ ตรงนี้ไม่ค่อยจะทำกันให้ต่อเนื่อง ก็เลยเข้าไม่ถึงตัวใจ
ทั้งที่รู้ๆ ความโกรธเป็นทุกข์ ความคิดเป็นทุกข์ก็รู้ แต่ไม่รู้จักดับจักหยุด ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลให้ใจ บุญสมมติเราก็ทำ ส่วนการขัดเกลากิเลสเราก็พยายาม ละกิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็พยายามละ พยายามขัดเกลาเอาออก เพราะว่าใจเดิม ใจดวงเดิมของทุกคนนั้นบริสุทธิ์ เพราะความไม่เข้าใจเขาเลยเกิด ความเกิดนี้แหละคือกิเลสอันละเอียด ความคิด ความเกิด ถ้าเรา ตัวใจมาสร้างขันธ์ห้า หรือว่ามาสร้างร่างกายของเราซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้า ที่พระพุทธองค์ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์รวมกันอยู่เป็นก้อน ท่านให้เจริญสติตัวใหม่ให้เข้มแข็ง เข้าไปดูรู้ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็ให้อยู่ในคุณงามความดี ให้อยู่ในกองบุญ กองกุศล ตราบใดที่ใจยังเกิดยังวิ่งอยู่ พยายามน้อมใจให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ อะไรที่จะเป็นอกุศล เราก็พยายามละ อะไรที่จะเป็นกุศลเราก็พยายามเจริญ ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อยู่ ขับถ่าย
พระเราก็พยายาม มีความเพียรอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้น เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วย แก้ไขเราไปด้วย ถ้าเราช่วยเหลือเราไม่ได้ แก้ไขภายในไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าใครจะแก้ไขให้ นอกจากตัวของเรา ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ก็ขัดเกลากิเลสที่ใจของเรา ดับความเกิดที่ใจของเรา ส่วนการทำบุญให้ทานทุกคนตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้ไปทำร่วมกัน แต่การละกิเลส กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็พยายามดับ ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส ใจเกิดความโลภก็ละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็ดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม ใจมีความเกียจคร้านเราก็พยายามเพิ่มความขยันหมั่นเพียร มีวิริยะมีความเพียร ความรู้ตัวของเรามันพลั้งเผลอ เราก็พยายามสร้างความรู้ตัวขึ้นมาเอาไปใช้การใช้งานจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ยังสมมติวิมุตติภายในให้จบ คือดับความเกิด
ใจนี่หลงเกิดมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาเกิดในภพมนุษย์ ก็มาแก้ไขในอัตภาพร่างกายของเราให้ได้เสียก่อน แยกรูปแยกนามให้ได้ในกายก้อนนี้ แล้วก็ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดให้ได้ในกายก้อนนี้ เราก็ดับความเกิดขณะยังมีลมหายใจ มองเห็นว่าเราจะได้กลับมาเกิดกันหรือไม่ ก็สติรู้ มองเห็นความเป็นจริง นั่นแหละสติก็จะเป็นครูบาอาจารย์ สติที่เราสร้างขึ้นมาก็จะกลายเป็นปัญญา ก็จะกลายเป็นมหาปัญญา มหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของตัวเรา มีหมดนี่แหละถ้าเราค้นคว้าเห็นความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในคําสอนของท่านว่าท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร ใจที่บริสุทธิ์จากกิเลส ใจที่วาง ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ ใจเกิดส่งไปภายนอกได้อย่างไร รู้มีหมดตามคําสอนของท่าน เราเข้าไม่ถึงแยกแยะไม่ได้ เราก็เลยมองเห็นในภาพรวมกันเท่านั้น แล้วก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ ก็ต้องพยายามกัน
พระเราชีเราอยู่ทางนี้ก็มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ให้ช่วยกันทำ ให้ช่วยกันดูแล และก็วันที่ 28 พระเราส่วนที่อยู่ไปกับหลวงตานะ ไปงานกฐินในบ้าน ไปช่วยงานกฐินในบ้านสัก 8-9 รูป สัก 9 รูปไปด้วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
------
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าแค่ชี้แนะวิธีการแนวทางเท่านั้นแหละ พวกท่านจงพยายามศึกษาทำความเข้าใจการหายใจเข้าหายใจออก มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจการดู การรู้ การเห็นตรงนี้ ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ แต่ยังขาดความรู้ตัวที่รู้ในความเกิดของใจ ความเกิดของขันธ์ห้าว่าเขาไปรวมไปร่วมกันได้อย่างไร รู้ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดแล้ว คิดก็รู้ ทำก็รู้ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ เขาหลงอยู่ในความเกิด หลงอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานยาก ความเกิดทั้งดีทั้งไม่ดี นั่นแหละคือความหลงอันละเอียด เราต้องมาเจริญสติเข้าไปรู้ เข้าไปเห็น ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ตามความเข้าใจจนจิตใจมองเห็นความเป็นจริง จนจิตใจเกิดความเบื่อหน่ายในความคิดในอารมณ์ ว่าไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไรนั่นแหละ ใจก็จะปล่อยก็จะวาง แล้วก็อาศัยอยู่ในกายเนื้อก้อนนี้
พยายามสร้างบุญสร้างกุศล พากายเนื้อสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมขณะที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็มีตั้งแต่เรื่องบุญกับบาป บุคคลผู้รู้เห็นตามความเป็นจริงก็ละทั้งบุญละทั้งบาป สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป มองเห็นทางเดินคือไม่ต้องกลับมาเกิดกัน พวกเราก็พยายามกัน อย่าไปปล่อยปละละเลย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะจบกัน ถ้าใจของเรายังไม่จบ ก็ไปสร้างสานต่อ ไม่หลุดพ้น วันนี้ก็พรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ไม่หลุดพ้นจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำก็จะไปต่อเอาภพหน้า ไม่ได้ลําบาก ไม่ได้ตกอับ ตราบใดที่ยังสร้างบุญสร้างอานิสงส์ให้เต็มเปี่ยม
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พยายามพากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ