หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 30 วันที่ 4 เมษายน 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 30 วันที่ 4 เมษายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 30
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 เมษายน 2560
มีความสุขกันทุกคน พิจารณาดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชีพิจารณาปฏิสังขาโย พิจารณากาย พิจารณาใจ พิจารณาความอยากความหิว กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ตากระทบรูป ใจเกิดคววามอยากหรือไม่ พยายามดูพิจารณา กะประมาณในการขบฉัน ถ้าใจเกิดความอยากก็ให้รู้จักควบคุม รู้จักดับ กายเราหิวก็ให้รับรู้ว่าหิว จะเอาอาหารมาให้กายก็พิจารณใจก่อน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ถ้าใจเกิดความอยากก็ให้รีบดับ ถ้ามันดับไม่ได้ก็ให้ผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วใจของของเรายังเกิดความอาลัยอาวรณ์อยู่หรือไม่ เราก็รีบดับอีก
พิจารณาดูรู้ใจตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นรู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจปั๊บ รู้ความปกติของใจ จะลุกจะก้าวจะเดินรู้ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง รู้กายรู้ใจทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อะไรควรดำเนิน ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รีบดับ
เราอยู่กันหลายคนหลายท่านมาจากคนละทิศละที่ ก็ให้ต่างคนก็ต่างปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น อยู่ด้วยกันหลายคน ภาระทางสมมติก็เพิ่มขึ้น ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกันทุกเรื่อง ตั้งแต่ขึ้น ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ก็ดูแลทำความสะอาดให้เป็นระเบียบ ตั้งแต่ปากทางเข้ามาหาถึงก้นครัว มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา ไม่ใช่ว่าอันโน้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา อันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา คิดอย่างนั้นคิดผิด ทุกอย่างเป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน
อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขเสีย ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ การที่มาอยู่รวมกันนี้ บางคนก็เบาบางกิเลสเบาบาง บางคนก็กิเลสหนา บางคนก็สร้างบุญมาดี บางคนก็มาสร้างใหม่ เราพยายามมาแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ว่าจะไปโทษคนโน้นไปโทษคนนี้ จงโทษตัวของเราเอง แก้ไขตัวของเราเอง กิเลสเกิดขึ้นที่ใจเราก็พยายามละที่ใจ
พระเราก็เหมือกัน ชีเราก็เหมือนกัน ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งสามเณร ทั้งฆราวาสญาติโยมก็มีใจเหมือนกันหมด ความปรารถนาเดิม ความปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ไม่ใช่ว่ามาเพิ่มทุกข์ มาอยู่ด้วยกันก็อิจฉาริษยาอคติเพ่งโทษ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าใครมีจิตเป็นมลทินก็นับว่าต้องแก้ไขอย่างเร็วไว อย่าไปปล่อยให้กิเลสเขาเล่นงาน กิเลสหยาบบ้างกิเลสละเอียด
เราอาจจะได้ยินชื่อคำว่า กิเลส แต่หน้าตาอาการของเขาเกิดอย่างไรไม่เคยรู้ทันเลย เพราะกำลังสติเข้าไปดู ดูแลแก้ไขไม่ทัน เขาเล่นงานเอาเสียจนไหม้เกรียมเสียก่อนถึงรู้ ความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความอยากบ้าง ความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น กิเลสหยาบบ้างละเอียดบ้าง ในส่วนลึกๆ ก็คือ ความเกิด ความเกิดของใจ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจนี่มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างกายเนื้อขึ้นมาเป็นรูปร่างมนุษย์ซึ่งเรียกว่า ภพมนุษย์
ความหลง ความหลงตัวที่หนึ่งคือ ความเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความหลงชั้นที่สองอีก มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองอีก มาสร้างขันธ์ห้าอัตภาพร่างกาย ขันธ์ห้าของเรามาปิดกั้นตัวใจอันนี้หลงชั้นที่สองอีก หลงชั้นที่สามอีก หลงอัตตาตัวตน ไปยึด มายึดติดตัวตน หลงชั้นที่สี่อีกเป็นหลงสมมติ หลงในลาภในยศ ในสรรเสริญ สุข ทุกอย่าง หลงในชั้นละเอียดลงไปเรื่อยๆ หลงเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสก็มีทั้งหยาบ ทั้งกลาง ทั้งละเอียด หลงหลายชั้นจริงๆ
บุคคลมีบุญก็จะคอยขัดเกลาละกิเลสออกจากใจของเรา ละได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามละ พยายามขัดพยายามเกลา อะไรคือสติปัญญาที่สร้างขึ้นมา ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ลักษณะของใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เราต้องสำรวจตรวจตราให้รู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เรื่องความอยาก อยากในอาหารก็ยังแก้ไขไม่ได้ อยากมี อยากเป็น อยากเกิดสารพัดอย่าง ปัญญาเข้าถึงทรัพย์ภายในได้อย่างไร เราก็ต้องพยายาม
ยิ่งมาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่านนี่ก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ สร้างความสมัครสมานสามัคคีให้ดี มีอะไรก็ช่วยกันทำ เรื่องทางโรงครัวโรงทานก็เหมือนกัน โรงครัวนี้หนัก คนทำมีน้อยคนกินมีเยอะ คนดูแลทำความสะอาดก็มีน้อย คนปล่อยปละละเลยก็มีเยอะ เราก็ต้องพยายาม มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ช่วยกันดูแล ช่วยกันแก้ไข ช่วยกันพิจารณา ไม่ใช่ว่าไม่ใช่งานของตัวเรา เป็นงานของทุกคน งานของทุกคน เราพิจารณาแก้ไขดำเนินอย่างไร ทางโรงครัวโรงทานของเราถึงจะมีพออยู่พอกิน ไม่ได้ลำบาก มันมีให้อยู่ให้กินให้ทำก็นับว่าดี มีให้อยู่ให้กินให้พัก ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอนก็เป็นอานิสงส์ที่ดีแล้ว
เราก็มาพัฒนาต่อ มาแก้ไขต่อ อะไรที่ไม่ดีก็พยายามละ พยายามขัดเกลา อะไรที่มันดีก็พยายมทำ ทำช่วยกัน ไม่ใช่ว่ากูทำมึงไม่ทำ ของกูของมึง อันนี้ผิด เราต้องมีอะไรก็ให้ช่วยกัน แก้ไขร่วมกัน ช่วยกันทำ ถึงจะลำบากก็อดทน อดทนอดกลั้น ขยันหมั่นเพียร เรามาก็มากันคนละทิศละที่ละทาง อะไรที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ห้องส้วมห้องน้ำ เราต้องอาศัยสมมติตรงนี้อยู่ เราก็พยายาม อะไรติดขัดเราก็รีบแก้ไข ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เพียงแค่งานสมมติภายนอกก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ ใจของเราจะไปหลุดพ้นได้อย่างไร
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ มีความเพียรเป็นเลิศ มีการขัดเกลาเอาออกเป็นเลิศ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ ภาษาโลกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติปัญญาที่ต่อเนื่องการอบรมใจเป็นอย่างนี้ บุคคลผู้รู้เขาจะอบรมใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่แยกรูปแยกนาม สัมมาขันธ์ห้าหน้าตาอาการเป็นอย่างนี้ ใจส่งไปภายนอก หลักของอริยสัจสี่ เป็นอย่างนี้ การดับ การละ การเจริญพรมวิหาร มันก็ต้องมีหมด
เพราะว่าคนเราก็ต้องอาศัยสมมติ เหมือนกับต้นไม้อาศัยอาหาร อาศัยปุ๋ย อาศัยเปลือก อาศัยกระพี้ อาศัยแก่นถึงอยู่รวมกันได้ ไม่ใช่ว่าจะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การขึ้นบนตัวเรือนก็เหมือนกัน ก็อาศัยลูกบันไดอาศัยราวบันได อาศัยความเพียรของการเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางคือตัวเรือน เมื่อเข้าถึงตัวเรือนแล้ว เราก็ปัดกวาดทำความสะอาดตัวเรือนของเรา จะขึ้นจะลงก็ลงด้วยปัญญา ก็ยังอาศัยบันไดเหมือนเดิม
การปฏิบัติ ใจก็เหมือนกัน ความอยากความเกิดแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าเรารู้ความจริง การเกิด การปรุงการแต่ง การส่งใจไปภายนอก เราพยายามแก้ไขตัวเรา หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิด เกิดเพราะสิ่งที่เป็นกุศล อกุศลเราก็ไม่ให้เกิด อย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ก็ยังดี กองบุญทั้งทางสมมติทั้งทางวิมุตติ อย่าพากันไปมัวเมาเล่นสนุกสนานกัน ให้มีความสุขในการดูแลใจ อบรมใจของเรา กิเลสของเรา เราก็พยายามละ ไม่ใช่สนองกิเลสตัวเอง แล้ววิ่งตามกิเลสคนโน่นคนนี้ อย่างนั้นก็ใช้การไม่ได้
ชีเราก็เหมือนกัน ทำกับข้าวกับปลาก็ช่วยกัน มีอะไรก็ช่วยกัน แบ่งภาระหน้าที่กันทำ ส่วนมากก็ ส่วนมากก็ที่ไปเห็น ไปเห็นผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองคนก็ไม่ถูกกันว่าอย่างนั้น ทะเละเบาะแว้งกัน อยู่ที่นี้คงไม่มีเนอะ ถ้ามีก็ให้แก้ไข เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมาไปเจอแม่ชีสองคน สององค์ สองคน ชีคนหนึ่งก็อายุเจ็ดสิบกว่า ชีคนหนึ่งก็อายุสิบห้าสิบหก แม่ชีสิบห้าสิบหกบวชตั้งแต่ออก ป.4 บวชได้หลายปี 4-5 ปี พอแม่ชีอายุมาก คนอายุมากมาพึ่งบวชก็เลยมาถกเถียงกัน ทะเลาะกันอยู่สองคน คนอายุมากก็อวดว่าฉันเป็นใหญ่เพราะว่าเกิดก่อน เกิดทางสมมตินั้นเกิดก่อน แม่ชีน้อยก็เลยบอกว่าฉันต้องเป็นใหญ่ดูแลเพราะว่าฉันบวชก่อนว่าอย่างนั้น ในหลักธรรมเราก็ต้องให้บุคคลที่บวชก่อนทำความเข้าใจ บุคคลที่บวชก่อนก็ต้องเป็นบุคคลมีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความเสียสละ ถึงจะปกครองหมู่คณะได้
ได้ยินข่าวแม่ชีหลายที่อยู่ บางทีก็โกรธให้กันก็เอาสากกะเบือทั้งหม้อ ทั้งอะไรไล่ตีกัน วิ่งใส่กัน ใส่ให้มันหายไปเลย จะได้หายโกรธว่าอย่างนั้น ได้ยินข่าวมีอยู่ ทางแม่ชีอีกกลุ่มหนึ่งก็โกรธให้กัน ใหม่ๆ ก็ดีกันดี๊ดี ไปปลูกพริกปลูกมะเขือปลูกมะละกอ ร่วมกันรดร่วมกันทำ พอมะละกอจะให้ออกดอกออกผล ผักจะให้ออกดอกออกผล โกรธให้กันละที่นี้ โกรธให้กันก็ยังไม่พอ พอโกรธให้กันแล้วจะหนี ไล่กันหนี ก่อนที่จะหนีก็มะเขือกูปลูกก็ไปถอนทิ้งหมด ผักกูปลูกก็ไปถอนทิ้งหมด มะละกอปลูกก็ไปถอนทิ้งหมด กูไม่อยู่มึงก็ไม่ต้องกิน ว่าอย่างนั้นนะ อยู่ที่นี่คงไม่มีเนอะ หรือว่ามีอยู่ เห็นปลูกผักกันเยอะอยู่ อยู่คงไม่มี
พยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ที่ไหนถ้าเรารู้จักให้อภัยอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน เราก็อยู่ดีมีความสุข ยิ่งอยู่หลายคนงานหนักก็เป็นงานเบา งานเบาก็แทบจะไม่มี อย่าไปแย่งกันทำ ให้ช่วยกันทำ ให้ช่วยกันทำ เราก็รู้จักพิจารณา รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ทุกอย่างนั่นแหละให้ประหยัดมัธยัสถ์ ทั้งน้ำ ทั้งฟืน ทั้งไฟทุกสิ่งทุกอย่าง
ตั้งแต่ก่อนยิ่งลำบาก ยิ่งลำบากที่พักก็ยังยาก อาหารการอยู่การกินก็ลำบาก แม้แต่ถ้วยชามก็ยังไปขุดเอาตามหลุมศพมาไว้ใส่กับข้าวกับปลา จะทานอาหารดีๆ สักอย่างก็ยากลำบาก จะหาคนเดินเข้ามาในวัดก็ยากลำบาก สมัยสามสิบกว่าปี เดี๋ยวนี้ทุกวันก็มีพร้อม ที่พักก็พร้อม ที่อยู่ที่อาศัย อาหารการอยู่การกิน ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ลำบาก เทวดาท่านก็ไม่ให้ลำบาก มันมีพร้อมแล้ว
เราพยายามขัดเกลากิเลสของเราออกให้มันหมดจด มันมีเวลาไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหา ไปยังสมมติ อันนั้นก็ขาดอันนี้ก็ขาด อันนี้ก็มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างในทางสมมติ เหลือแต่ทางด้านจิตใจ เราก็พยายามแก้ไข พยายามแก้ไขจิตใจของเรา
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่เราก็พยายามสร้างความสมัครสมานสามัคคี แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา การฝึกหัดปฏิบัติก็จะได้เจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
คำสอนของพระพุทธองค์มีมานาน เราพยายามน้อมเข้าไปใส่ใจของเรา การขัดเกลากิเลสเป็นอย่างนี้ การควบคุมใจการอบรมใจเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าตามใจของกิเลส กิเลสตัวเองก็ไม่แก้ ก็ไปตามใจกิเลสคนโน้นคนนี้มันก็แย่ทั้งคู่ ก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ มีความสมัครสมานสามัคคี อย่าไปเกียจคร้านให้ขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน มันไม่ดีแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ก็จะเป็นบุคคลที่ใกล้ถึงฝั่ง ‘ฝั่ง’ คือ พระนิพพานหรือว่าความบริสุทธ์ของใจ ตราบใดที่เราเดินให้ถูกที่ถูกทางเราก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
สมมติ บุญภายนอกเราก็สร้างให้เต็มเปี่ยมทั้งภายนอกภายในก็ยังควบคู่กันไป เพราะว่าใจก็มาอาศัยกายอยู่ กายของเราก็ยังอาศัยโลกธรรม อาศัยปัจจัยสี่ เหมือนกับต้นไม้ก็ต้องมีเปลือกมีกระพี้ จะเอาตั้งแต่แก่นก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยกันอยู่ ก็ต้องพยายามสร้างคุณงามความดีให้เต็มเปี่ยม ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ก็ต้องพยายามกันนะ
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 เมษายน 2560
มีความสุขกันทุกคน พิจารณาดูดีๆ นะ ทั้งพระทั้งชีพิจารณาปฏิสังขาโย พิจารณากาย พิจารณาใจ พิจารณาความอยากความหิว กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ตากระทบรูป ใจเกิดคววามอยากหรือไม่ พยายามดูพิจารณา กะประมาณในการขบฉัน ถ้าใจเกิดความอยากก็ให้รู้จักควบคุม รู้จักดับ กายเราหิวก็ให้รับรู้ว่าหิว จะเอาอาหารมาให้กายก็พิจารณใจก่อน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ถ้าใจเกิดความอยากก็ให้รีบดับ ถ้ามันดับไม่ได้ก็ให้ผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วใจของของเรายังเกิดความอาลัยอาวรณ์อยู่หรือไม่ เราก็รีบดับอีก
พิจารณาดูรู้ใจตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นรู้ตัวปุ๊บ รู้ลมหายใจปั๊บ รู้ความปกติของใจ จะลุกจะก้าวจะเดินรู้ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง รู้กายรู้ใจทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อะไรควรดำเนิน ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รีบดับ
เราอยู่กันหลายคนหลายท่านมาจากคนละทิศละที่ ก็ให้ต่างคนก็ต่างปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น อยู่ด้วยกันหลายคน ภาระทางสมมติก็เพิ่มขึ้น ให้มีความสมัครสมานสามัคคีกันทุกเรื่อง ตั้งแต่ขึ้น ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ก็ดูแลทำความสะอาดให้เป็นระเบียบ ตั้งแต่ปากทางเข้ามาหาถึงก้นครัว มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา ไม่ใช่ว่าอันโน้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา อันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา คิดอย่างนั้นคิดผิด ทุกอย่างเป็นหน้าที่เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน
อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขเสีย ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ การที่มาอยู่รวมกันนี้ บางคนก็เบาบางกิเลสเบาบาง บางคนก็กิเลสหนา บางคนก็สร้างบุญมาดี บางคนก็มาสร้างใหม่ เราพยายามมาแก้ไขปรับปรุงตัวเรา ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ว่าจะไปโทษคนโน้นไปโทษคนนี้ จงโทษตัวของเราเอง แก้ไขตัวของเราเอง กิเลสเกิดขึ้นที่ใจเราก็พยายามละที่ใจ
พระเราก็เหมือกัน ชีเราก็เหมือนกัน ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งสามเณร ทั้งฆราวาสญาติโยมก็มีใจเหมือนกันหมด ความปรารถนาเดิม ความปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ไม่ใช่ว่ามาเพิ่มทุกข์ มาอยู่ด้วยกันก็อิจฉาริษยาอคติเพ่งโทษ คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าใครมีจิตเป็นมลทินก็นับว่าต้องแก้ไขอย่างเร็วไว อย่าไปปล่อยให้กิเลสเขาเล่นงาน กิเลสหยาบบ้างกิเลสละเอียด
เราอาจจะได้ยินชื่อคำว่า กิเลส แต่หน้าตาอาการของเขาเกิดอย่างไรไม่เคยรู้ทันเลย เพราะกำลังสติเข้าไปดู ดูแลแก้ไขไม่ทัน เขาเล่นงานเอาเสียจนไหม้เกรียมเสียก่อนถึงรู้ ความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความอยากบ้าง ความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น กิเลสหยาบบ้างละเอียดบ้าง ในส่วนลึกๆ ก็คือ ความเกิด ความเกิดของใจ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจนี่มาสร้างขันธ์ห้า มาสร้างกายเนื้อขึ้นมาเป็นรูปร่างมนุษย์ซึ่งเรียกว่า ภพมนุษย์
ความหลง ความหลงตัวที่หนึ่งคือ ความเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ความหลงชั้นที่สองอีก มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวเองอีก มาสร้างขันธ์ห้าอัตภาพร่างกาย ขันธ์ห้าของเรามาปิดกั้นตัวใจอันนี้หลงชั้นที่สองอีก หลงชั้นที่สามอีก หลงอัตตาตัวตน ไปยึด มายึดติดตัวตน หลงชั้นที่สี่อีกเป็นหลงสมมติ หลงในลาภในยศ ในสรรเสริญ สุข ทุกอย่าง หลงในชั้นละเอียดลงไปเรื่อยๆ หลงเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสก็มีทั้งหยาบ ทั้งกลาง ทั้งละเอียด หลงหลายชั้นจริงๆ
บุคคลมีบุญก็จะคอยขัดเกลาละกิเลสออกจากใจของเรา ละได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามละ พยายามขัดพยายามเกลา อะไรคือสติปัญญาที่สร้างขึ้นมา ลักษณะของใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ลักษณะของใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เราต้องสำรวจตรวจตราให้รู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เรื่องความอยาก อยากในอาหารก็ยังแก้ไขไม่ได้ อยากมี อยากเป็น อยากเกิดสารพัดอย่าง ปัญญาเข้าถึงทรัพย์ภายในได้อย่างไร เราก็ต้องพยายาม
ยิ่งมาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่านนี่ก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ สร้างความสมัครสมานสามัคคีให้ดี มีอะไรก็ช่วยกันทำ เรื่องทางโรงครัวโรงทานก็เหมือนกัน โรงครัวนี้หนัก คนทำมีน้อยคนกินมีเยอะ คนดูแลทำความสะอาดก็มีน้อย คนปล่อยปละละเลยก็มีเยอะ เราก็ต้องพยายาม มีอะไรก็ให้ช่วยกัน ช่วยกันดูแล ช่วยกันแก้ไข ช่วยกันพิจารณา ไม่ใช่ว่าไม่ใช่งานของตัวเรา เป็นงานของทุกคน งานของทุกคน เราพิจารณาแก้ไขดำเนินอย่างไร ทางโรงครัวโรงทานของเราถึงจะมีพออยู่พอกิน ไม่ได้ลำบาก มันมีให้อยู่ให้กินให้ทำก็นับว่าดี มีให้อยู่ให้กินให้พัก ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอนก็เป็นอานิสงส์ที่ดีแล้ว
เราก็มาพัฒนาต่อ มาแก้ไขต่อ อะไรที่ไม่ดีก็พยายามละ พยายามขัดเกลา อะไรที่มันดีก็พยายมทำ ทำช่วยกัน ไม่ใช่ว่ากูทำมึงไม่ทำ ของกูของมึง อันนี้ผิด เราต้องมีอะไรก็ให้ช่วยกัน แก้ไขร่วมกัน ช่วยกันทำ ถึงจะลำบากก็อดทน อดทนอดกลั้น ขยันหมั่นเพียร เรามาก็มากันคนละทิศละที่ละทาง อะไรที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ห้องส้วมห้องน้ำ เราต้องอาศัยสมมติตรงนี้อยู่ เราก็พยายาม อะไรติดขัดเราก็รีบแก้ไข ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เพียงแค่งานสมมติภายนอกก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ ใจของเราจะไปหลุดพ้นได้อย่างไร
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ มีความเพียรเป็นเลิศ มีการขัดเกลาเอาออกเป็นเลิศ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ ภาษาโลกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติปัญญาที่ต่อเนื่องการอบรมใจเป็นอย่างนี้ บุคคลผู้รู้เขาจะอบรมใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่แยกรูปแยกนาม สัมมาขันธ์ห้าหน้าตาอาการเป็นอย่างนี้ ใจส่งไปภายนอก หลักของอริยสัจสี่ เป็นอย่างนี้ การดับ การละ การเจริญพรมวิหาร มันก็ต้องมีหมด
เพราะว่าคนเราก็ต้องอาศัยสมมติ เหมือนกับต้นไม้อาศัยอาหาร อาศัยปุ๋ย อาศัยเปลือก อาศัยกระพี้ อาศัยแก่นถึงอยู่รวมกันได้ ไม่ใช่ว่าจะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การขึ้นบนตัวเรือนก็เหมือนกัน ก็อาศัยลูกบันไดอาศัยราวบันได อาศัยความเพียรของการเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางคือตัวเรือน เมื่อเข้าถึงตัวเรือนแล้ว เราก็ปัดกวาดทำความสะอาดตัวเรือนของเรา จะขึ้นจะลงก็ลงด้วยปัญญา ก็ยังอาศัยบันไดเหมือนเดิม
การปฏิบัติ ใจก็เหมือนกัน ความอยากความเกิดแม้แต่นิดเดียวก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าเรารู้ความจริง การเกิด การปรุงการแต่ง การส่งใจไปภายนอก เราพยายามแก้ไขตัวเรา หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิด เกิดเพราะสิ่งที่เป็นกุศล อกุศลเราก็ไม่ให้เกิด อย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ก็ยังดี กองบุญทั้งทางสมมติทั้งทางวิมุตติ อย่าพากันไปมัวเมาเล่นสนุกสนานกัน ให้มีความสุขในการดูแลใจ อบรมใจของเรา กิเลสของเรา เราก็พยายามละ ไม่ใช่สนองกิเลสตัวเอง แล้ววิ่งตามกิเลสคนโน่นคนนี้ อย่างนั้นก็ใช้การไม่ได้
ชีเราก็เหมือนกัน ทำกับข้าวกับปลาก็ช่วยกัน มีอะไรก็ช่วยกัน แบ่งภาระหน้าที่กันทำ ส่วนมากก็ ส่วนมากก็ที่ไปเห็น ไปเห็นผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองคนก็ไม่ถูกกันว่าอย่างนั้น ทะเละเบาะแว้งกัน อยู่ที่นี้คงไม่มีเนอะ ถ้ามีก็ให้แก้ไข เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมาไปเจอแม่ชีสองคน สององค์ สองคน ชีคนหนึ่งก็อายุเจ็ดสิบกว่า ชีคนหนึ่งก็อายุสิบห้าสิบหก แม่ชีสิบห้าสิบหกบวชตั้งแต่ออก ป.4 บวชได้หลายปี 4-5 ปี พอแม่ชีอายุมาก คนอายุมากมาพึ่งบวชก็เลยมาถกเถียงกัน ทะเลาะกันอยู่สองคน คนอายุมากก็อวดว่าฉันเป็นใหญ่เพราะว่าเกิดก่อน เกิดทางสมมตินั้นเกิดก่อน แม่ชีน้อยก็เลยบอกว่าฉันต้องเป็นใหญ่ดูแลเพราะว่าฉันบวชก่อนว่าอย่างนั้น ในหลักธรรมเราก็ต้องให้บุคคลที่บวชก่อนทำความเข้าใจ บุคคลที่บวชก่อนก็ต้องเป็นบุคคลมีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความเสียสละ ถึงจะปกครองหมู่คณะได้
ได้ยินข่าวแม่ชีหลายที่อยู่ บางทีก็โกรธให้กันก็เอาสากกะเบือทั้งหม้อ ทั้งอะไรไล่ตีกัน วิ่งใส่กัน ใส่ให้มันหายไปเลย จะได้หายโกรธว่าอย่างนั้น ได้ยินข่าวมีอยู่ ทางแม่ชีอีกกลุ่มหนึ่งก็โกรธให้กัน ใหม่ๆ ก็ดีกันดี๊ดี ไปปลูกพริกปลูกมะเขือปลูกมะละกอ ร่วมกันรดร่วมกันทำ พอมะละกอจะให้ออกดอกออกผล ผักจะให้ออกดอกออกผล โกรธให้กันละที่นี้ โกรธให้กันก็ยังไม่พอ พอโกรธให้กันแล้วจะหนี ไล่กันหนี ก่อนที่จะหนีก็มะเขือกูปลูกก็ไปถอนทิ้งหมด ผักกูปลูกก็ไปถอนทิ้งหมด มะละกอปลูกก็ไปถอนทิ้งหมด กูไม่อยู่มึงก็ไม่ต้องกิน ว่าอย่างนั้นนะ อยู่ที่นี่คงไม่มีเนอะ หรือว่ามีอยู่ เห็นปลูกผักกันเยอะอยู่ อยู่คงไม่มี
พยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ที่ไหนถ้าเรารู้จักให้อภัยอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน เราก็อยู่ดีมีความสุข ยิ่งอยู่หลายคนงานหนักก็เป็นงานเบา งานเบาก็แทบจะไม่มี อย่าไปแย่งกันทำ ให้ช่วยกันทำ ให้ช่วยกันทำ เราก็รู้จักพิจารณา รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ทุกอย่างนั่นแหละให้ประหยัดมัธยัสถ์ ทั้งน้ำ ทั้งฟืน ทั้งไฟทุกสิ่งทุกอย่าง
ตั้งแต่ก่อนยิ่งลำบาก ยิ่งลำบากที่พักก็ยังยาก อาหารการอยู่การกินก็ลำบาก แม้แต่ถ้วยชามก็ยังไปขุดเอาตามหลุมศพมาไว้ใส่กับข้าวกับปลา จะทานอาหารดีๆ สักอย่างก็ยากลำบาก จะหาคนเดินเข้ามาในวัดก็ยากลำบาก สมัยสามสิบกว่าปี เดี๋ยวนี้ทุกวันก็มีพร้อม ที่พักก็พร้อม ที่อยู่ที่อาศัย อาหารการอยู่การกิน ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ลำบาก เทวดาท่านก็ไม่ให้ลำบาก มันมีพร้อมแล้ว
เราพยายามขัดเกลากิเลสของเราออกให้มันหมดจด มันมีเวลาไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหา ไปยังสมมติ อันนั้นก็ขาดอันนี้ก็ขาด อันนี้ก็มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างในทางสมมติ เหลือแต่ทางด้านจิตใจ เราก็พยายามแก้ไข พยายามแก้ไขจิตใจของเรา
อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่เราก็พยายามสร้างความสมัครสมานสามัคคี แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา การฝึกหัดปฏิบัติก็จะได้เจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
คำสอนของพระพุทธองค์มีมานาน เราพยายามน้อมเข้าไปใส่ใจของเรา การขัดเกลากิเลสเป็นอย่างนี้ การควบคุมใจการอบรมใจเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าตามใจของกิเลส กิเลสตัวเองก็ไม่แก้ ก็ไปตามใจกิเลสคนโน้นคนนี้มันก็แย่ทั้งคู่ ก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ มีความสมัครสมานสามัคคี อย่าไปเกียจคร้านให้ขยันหมั่นเพียรทั้งภายนอกทั้งภายใน มันไม่ดีแก้ไขใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ก็จะเป็นบุคคลที่ใกล้ถึงฝั่ง ‘ฝั่ง’ คือ พระนิพพานหรือว่าความบริสุทธ์ของใจ ตราบใดที่เราเดินให้ถูกที่ถูกทางเราก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
สมมติ บุญภายนอกเราก็สร้างให้เต็มเปี่ยมทั้งภายนอกภายในก็ยังควบคู่กันไป เพราะว่าใจก็มาอาศัยกายอยู่ กายของเราก็ยังอาศัยโลกธรรม อาศัยปัจจัยสี่ เหมือนกับต้นไม้ก็ต้องมีเปลือกมีกระพี้ จะเอาตั้งแต่แก่นก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยกันอยู่ ก็ต้องพยายามสร้างคุณงามความดีให้เต็มเปี่ยม ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ก็ต้องพยายามกันนะ
ตั้งใจรับพรกัน