
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 68 วันที่ 1 สิงหาคม 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 68 วันที่ 1 สิงหาคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 68
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 สิงหาคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนและก็ให้ต่อเนื่อง พวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน พวกท่านจงพยายามพากันไปทำตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สร้างสติแล้วก็รู้จักเอาสติไปใช้ไปอบรมใจของเรา เอาไปสำรวจไปทำความเข้าใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละคนส่วนมากเข้าไม่ถึงกันเพราะว่ากำลังสติมีน้อย ส่วนมากก็มีแต่นึกเอาคิดเอาทั้งที่ใจเป็นบุญ เราให้ตั้งสติสร้างความรู้สึกตัว อันนี้ถึงจะเป็นการเจริญภาวนา ถ้าตั้งใจนี้ใจเริ่มเกิด
ในหลักธรรมท่านให้สร้างสติแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องเรียกว่า สัมปชัญญะ แล้วก็อบรมใจตัวเรา แก้ไขใจตัวเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า คลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกก็จะเปิดทาง ส่วนมากเราก็เห็นถูกในระดับของสมมติ ในการทำบุญในการให้ทาน ในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ระดับสมมติ
แต่ระดับวิมุตติคือตัวใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า เราจงพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ ถ้ากําลังสติปัญญาของเราเข้มแข็งขึ้น สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็นใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ความเห็นถูกสัมมาทิฏฐิก็จะเปิดทางให้ ความรู้ตัวของเราก็ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีต เรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี
เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนอื่น อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อานิสงส์บุญระดับสมมติ ระดับวิมุตติ คําว่าสมมติเป็นอย่างไร วิมุตติเป็นอย่างไร วิมุตตินี่ก็คือใจที่คลายจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามแล้วก็ละกิเลสออกให้มันหมด กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รู้จักดับ ขยันหมั่นเพียรทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ อบรมใจของเรา
ใจของเรามีความตระหนี่เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเราเกิดความโลภ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักให้ รู้จักเอาออก อบรมใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้มีความสัจจะ ให้มีสัจจะความซื่อสัตย์ต่อตัวเรา ความซื่อสัตย์ต่อคนอื่น
ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ความคิด ความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ความคิดอารมณ์ต่างๆ ภาระหน้าที่การงาน เขาเรียกว่า อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทำความเข้าใจวิญญาณในกายของเรา ทำความเข้าใจกับโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เรารู้จักวิธีการรู้จักแนวทาง เราก็เร่งทำความเพียร กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากกิเลส วิเวกจากความนึกคิดปรุงแต่งของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ใจวิเวก กายวิเวกนี่คือวางภาระหน้าที่การงานทางโลกทางสมมติไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด เขาเรียกว่ากายวิเวก ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เราก็ใช้สติปัญญาให้ใจรับรู้ ถ้าใจอคติเพ่งโทษ เราก็รู้จักดับ ทุกเรื่องเลย
การได้อ่าน การได้ศึกษา การได้เล่าเรียน ตรงนี้มีกันหมดทุกคน สนามรบที่แท้จริงก็อยู่ที่กายของเราอยู่ที่ใจของเรา ขอให้เรารู้จักว่าอันนี้ลักษณะของสติเป็นอย่างนี้ สติรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ สติรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ทุกคนก็มีสติปัญญากัน แต่อยู่ในระดับของสมมติ ยังไม่ได้ขุดรากถอนโคนของกิเลส ของความเกิด ของวิญญาณในกายของเรา เราพยายาม
กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายเกิดขึ้นที่ใจ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านให้มีความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา ค่อยพิจารณา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อย่าเอาทิฏฐิมานะเข้าห้ำหั่นกัน รู้จักสำรวมทั้งกาย ทั้งวาจา และก็สำรวมใจ ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำความเข้าใจ เราต้องรู้จักใจของตัวเรา ก็ต้องพยายามกัน อะไรควรดำเนิน อะไรควรทำ อะไรเป็นบุญเป็นกุศลก็ให้ช่วยกัน
ส่วนกิเลสภายในเราก็พยายามละ พยายามขัดเกลาเอาออก อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ยิ่งมาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี เพิ่มพรหมวิหาร แก้ไขใจของเราอยู่ในพรหมวิหารอยู่ในความเมตตา มีอะไรก็ช่วยกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 1 สิงหาคม 2560
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนและก็ให้ต่อเนื่อง พวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน พวกท่านจงพยายามพากันไปทำตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สร้างสติแล้วก็รู้จักเอาสติไปใช้ไปอบรมใจของเรา เอาไปสำรวจไปทำความเข้าใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละคนส่วนมากเข้าไม่ถึงกันเพราะว่ากำลังสติมีน้อย ส่วนมากก็มีแต่นึกเอาคิดเอาทั้งที่ใจเป็นบุญ เราให้ตั้งสติสร้างความรู้สึกตัว อันนี้ถึงจะเป็นการเจริญภาวนา ถ้าตั้งใจนี้ใจเริ่มเกิด
ในหลักธรรมท่านให้สร้างสติแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่องเรียกว่า สัมปชัญญะ แล้วก็อบรมใจตัวเรา แก้ไขใจตัวเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า คลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนาม สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกก็จะเปิดทาง ส่วนมากเราก็เห็นถูกในระดับของสมมติ ในการทำบุญในการให้ทาน ในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ระดับสมมติ
แต่ระดับวิมุตติคือตัวใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้า เราจงพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ ถ้ากําลังสติปัญญาของเราเข้มแข็งขึ้น สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็นใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ความเห็นถูกสัมมาทิฏฐิก็จะเปิดทางให้ ความรู้ตัวของเราก็ตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีต เรื่องอนาคต หรือว่าเป็นกลางๆ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี
เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่ว่าเรื่องของคนอื่น อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง อานิสงส์บุญระดับสมมติ ระดับวิมุตติ คําว่าสมมติเป็นอย่างไร วิมุตติเป็นอย่างไร วิมุตตินี่ก็คือใจที่คลายจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามแล้วก็ละกิเลสออกให้มันหมด กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็รู้จักดับ ขยันหมั่นเพียรทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ อบรมใจของเรา
ใจของเรามีความตระหนี่เราก็ละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจของเราเกิดความโลภ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ รู้จักให้ รู้จักเอาออก อบรมใจของเราให้อยู่ในความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้มีความสัจจะ ให้มีสัจจะความซื่อสัตย์ต่อตัวเรา ความซื่อสัตย์ต่อคนอื่น
ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ความคิด ความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ความคิดอารมณ์ต่างๆ ภาระหน้าที่การงาน เขาเรียกว่า อยู่กับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ ทำความเข้าใจวิญญาณในกายของเรา ทำความเข้าใจกับโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เรารู้จักวิธีการรู้จักแนวทาง เราก็เร่งทำความเพียร กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากกิเลส วิเวกจากความนึกคิดปรุงแต่งของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ใจวิเวก กายวิเวกนี่คือวางภาระหน้าที่การงานทางโลกทางสมมติไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใด เขาเรียกว่ากายวิเวก ถ้าเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เราก็ใช้สติปัญญาให้ใจรับรู้ ถ้าใจอคติเพ่งโทษ เราก็รู้จักดับ ทุกเรื่องเลย
การได้อ่าน การได้ศึกษา การได้เล่าเรียน ตรงนี้มีกันหมดทุกคน สนามรบที่แท้จริงก็อยู่ที่กายของเราอยู่ที่ใจของเรา ขอให้เรารู้จักว่าอันนี้ลักษณะของสติเป็นอย่างนี้ สติรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นอย่างนี้ สติรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า สัมปชัญญะ ทุกคนก็มีสติปัญญากัน แต่อยู่ในระดับของสมมติ ยังไม่ได้ขุดรากถอนโคนของกิเลส ของความเกิด ของวิญญาณในกายของเรา เราพยายาม
กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายเกิดขึ้นที่ใจ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านให้มีความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา ค่อยพิจารณา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อย่าเอาทิฏฐิมานะเข้าห้ำหั่นกัน รู้จักสำรวมทั้งกาย ทั้งวาจา และก็สำรวมใจ ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำความเข้าใจ เราต้องรู้จักใจของตัวเรา ก็ต้องพยายามกัน อะไรควรดำเนิน อะไรควรทำ อะไรเป็นบุญเป็นกุศลก็ให้ช่วยกัน
ส่วนกิเลสภายในเราก็พยายามละ พยายามขัดเกลาเอาออก อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ จงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ยิ่งมาอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่าน ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี เพิ่มพรหมวิหาร แก้ไขใจของเราอยู่ในพรหมวิหารอยู่ในความเมตตา มีอะไรก็ช่วยกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ