หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 3 วันที่ 4 มกราคม 2560

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 3 วันที่ 4 มกราคม 2560
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 3 วันที่ 4 มกราคม 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ปี 2560 ลำดับที่ 3
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 มกราคม 2560

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เราได้สร้างความรู้ตัว เรารู้จักลักษณะของคำว่า ปัจจุบันธรรม ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่ม พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน

อะไรคือใจ อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร จำแนกแจกแจงแยกออกให้เห็นเป็นคนละส่วน ซึ่งเขาก็อาศัยกายนี้อยู่ ถ้ากำลังสติที่เราสร้างขึ้นมามีไม่เพียงพอ มันก็ยากที่จะเข้าใจในส่วนลึกๆ ของใจ ของอาการของใจหรือว่าแยกรูปแยกนามในขันธ์ห้าได้ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการละ ในการทำความเข้าใจ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ การตามดูรู้เห็นขันธ์ห้าเกิด หรือว่ารู้เห็นความคิดของเราเกิดเป็นเรื่องอะไร

ท่านถึงบอกว่าอนิจจังความไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ มันทนอยู่ไม่ได้ มันตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ความว่างเปล่าก็มาปรากฏให้ตามดูรู้เห็นสิ่งทุกอย่าง ให้ใจยอมรับความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผล อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน คำว่าอัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนาม เรารู้เท่าทันใจของเราหงายขึ้นเหมือนกับหงายของที่คว่ำ

ตามเห็นเกิดการการดับของความคิด ที่ท่านเปรียบเอาไว้เหมือนกับพยับแดด เวลาร้อนๆ เราเดินไปตามถนนหนทางเราจะมองเห็นเปลว เปลวละอองแดด เต็มไปเหมือนกับมีตัวมีตน เวลาเราเดินเข้าไปใกล้ๆ มันก็ไม่มี อาการของขันธ์ห้าก็เหมือนกันที่ท่านว่าไม่เที่ยง เราต้องพยายามน้อมดูรู้บ่อยๆ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติ มาจัดการดูแล รู้เห็น ชี้เหตุชี้ผล ให้ใจยอมรับความจริงให้ได้

ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน หรือว่ามีการปรุงแต่งส่งไปภายนอกได้อย่างไร ทำไมใจถึงเกิดเป็นทาสของกิเลส เราต้องมาเจริญสติให้ต่อเนื่องจนรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ เห็นตามความเป็นจริง ใจพลิกหงายขึ้นมาเราก็จะเข้าใจคำว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง เพียงแค่เริ่มเห็นถูกต้อง เราก็ตามดูอีก ตามเห็นเกิดการการดับของขันธ์ห้าอีก บางทีก็เป็นอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต

อย่างที่ท่านบอกว่า กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ ตัวใจนั่นแหละเรียกว่า กองวิญญาณ ไอ้กายก้อนรูปนี้กองรูป เราพยายามเน้นสติลงที่กายของเราให้ได้ ให้เข้มแข็ง อบรมใจของเราให้ได้ ส่วนมากจะพลั้งเผลอเพราะความเคยชินเก่าๆ เพราะว่าการเกิดของใจนี้มีมาตั้งนาน จนหาที่กำหนดไม่ได้เลยแหละตั้งแต่จนกระทั่งมาเกิดในภพมนุษย์ ท่านถึงให้เน้นสติลงที่กายแล้วก็อบรมใจในขณะที่มีกายเนื้ออยู่ ในเรื่องภพภูมิต่างๆ ที่ผ่านๆ มานั้นเราอย่าไปสนใจอย่าไปกังวล เอาอยู่ปัจจุบัน ทุกขณะลมเข้าก็อันนี้เรียกว่า ปัจจุบัน ขณะลมออกก็เรียกว่า ปัจจุบันธรรม ไม่ใช่ว่าวันทั้งวันเป็นปัจจุบัน อันนั้นปัจจุบันทางโลก

ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ความรู้ตัวพลั้งเผลอหรือไม่ ใจของเราน้อมไปในกองบุญกองกุศลหรือไม่ ใจของเรามีพรหมวิหาร มีความเมตตาหรือเปล่า พอแยกแยะได้ คลายได้ ตามดูรู้เห็นในหลักของวิปัสสนาญาณ ความรู้แจ้งเห็นจริง กิเลสตัวไหนเราละเราก็ได้พยายามละ ตัวตัวไหนยังมีอยู่ เกิดเมื่อไรเราก็ละ จนไม่เหลือโน่นแหละ จนประกาศด้วยตัวเราเองว่าเรามองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาหรือไม่ได้เกิดกัน

อย่าพากันประมาทสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่จะเป็นบุญ บุญใกล้บุญไกล บุญสมมติบุญวิมุตติ ภาษาธรรมภาษาโลก คำว่าปกติเป็นอย่างนี้ คำว่าศีล สมาธิ ปัญญาในหลักธรรมเป็นอย่างนี้ ต้องรู้ด้วยเห็นด้วย เข้าถึงตัวใจของเราจริงๆ ใจนี้ท่านว่าไม่มีตัวไม่มีตัวตนแต่ความรู้สึกรับรู้นั้นมีอยู่ เราก็ต้องพยายามดูรู้ให้ชัดเจน ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของตัวเราแท้ๆ ที่จะต้องทำความเข้าใจที่จะคลายทุกข์

ยืน เดิน นั่ง นอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ภาษาธรรมที่ท่านว่า สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างนี้ เวลาตากระทบรูปอย่างนี้เขาเรียกสักแต่ว่าดู รูปสวยรูปงามก็ให้ใจรับรู้ ทวารทั้งหกก็เป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง แต่เรามีสติมีปัญญารู้ใจของเรา ถ้าเราต้องการสิ่งต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์เราก็เอาด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ในกายของเราหมด

เพียงแต่แค่เรายังเจริญสติไม่เข้มเเข็งไปสังเกตไปวิเคราะห์อบรมใจของเราไม่ได้ทุกเรื่องเท่านั้นเอง อาจจะได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว อาจจะได้รับความสงบบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เวลาเปลี่ยนอิริยาบถก็หายไป บางทีความคิดผุดขึ้นมามันมีไม่มากหรอก ถ้าเราจะขวนขวายรู้ทำความเข้าใจกันจริงๆ อยู่ในกายของเรานี่แหล่ะ เขาเรียกว่าสนามรบอย่างดี

ยืน เดิน นั่ง นอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ใจเกิดอย่างไร ใจปรุงแต่งอย่างไร ใจเกิดความกลัวอย่างไร เราพยายามคลายกิเลส สำรอกกิเลสออกให้หมดจากใจของเรา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาเสียแล้ว ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืน เดิน นั่งนอน กินอยู่ ขับถ่าย คำสอนแนวทางของพระพุทธองค์นั้นมี มีมาตั้งหลายร้อยหลายพันปี ท่านเป็นองค์ค้นพบแล้วก็มาจำแนกแจกแจง มาชี้เหตุชี้ผลให้เราดู ทีนี้เราพยายามน้อมนำปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา

ท่านถึงบอกให้เชื่อ เชื่อด้วยเหตุเชื่อด้วยผล ไม่ได้เชื่อแบบหลงงมงาย เจริญสติก็รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไปอบรมใจ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมได้สักแต่ว่าปฏิบัติธรรมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เจริญสติก็ไม่รู้จักลักษณะของสติ ตัวใจคือตัวธรรมก็ยังไม่รู้จักว่าอะไรคือธรรม ทำไปแบบความหลง มันก็ไปไม่ถึงไหน

เราจงพยายามทำ รู้ด้วยเห็นด้วย ทำความเข้าใจของเราด้วย อบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา มีความสุขในการดูในการรู้ กิเลสตัวไหนมันเกิดขึ้นเราก็รู้จักการละรู้จักดับ กิเลสเหตุจากภายนอก หรือเกิดขึ้นจากข้างในใจของเราโดยตรง เราก็ต้องดู นิวรณธรรม สติเราพลั้งเผลอได้อย่างไร ใจของเรามีความกังวลความฟุ้งซ่าน หรือว่าใจของเรามีความตระหนี่เหนี่ยวแน่น หรือว่ามีความเห็นแก่ตัว เราพยายามขัด พยายามเกลาเอาออก

ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจเที่ยงนิพพานก็เที่ยง ใจไม่เที่ยงนิพพานก็ไม่เที่ยง ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา พยายามตักตวงขณะที่กำลังกายของเรายังมีอยู่ แต่ละวันๆ เราดำเนิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง เราดับได้หรือเปล่า เราละได้หรือไม่ วันทั้งวัน ชั่วโมงนี้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เที่ยวจนกระทั่งถึงเรานอนหลับโน่น

ก่อนที่จะนอนเราก็ย้อนดูตั้งแต่เช้ามาเราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน เราก็พยายามแก้ไขตัวเรา สมมติอะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์สูงสุดในระดับของสมมติ ประโยชน์สูงสุดในระดับของวิมุตติ ความจริงมีทั้งสองอย่าง แต่ให้เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่าง ละวางหมด อยู่ด้วยเหตุด้วยผล ก็ต้องพยายามกันนะ

อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ทั้งพระทั้งชีก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปงอมืองอเท้า ทางโรงทานข้างล่าง แม่ชีเป้กับชีฟางก็พากันไปช่วยทำกับข้าวกับปลาให้หน่อยนะ เลี้ยงเวลานั่นกำลังพลไม่พอกัน เห็นว่าแม่ชีเป้กับชีฟางทำกับข้าวอร่อย ทางโน่นเขาอยากจะให้ไปช่วย ไปช่วยทำกับข้าวกับปลา ช่างก็จะได้ไม่ลำบาก ชีเราคนไหนว่างๆ ก็พากันไปทำดอกไม้ ให้ช่วยชีเล็กทำดอกไม้ที่จะติดแท่นข้างพญานาค แท่นของพระสีวลีก็เสร็จแล้ว ก็ยังเหลืออยู่ตั้งแต่โยมจะน้อมนำมาถวายขึ้นช่วยกันประดิษฐานเอาไว้ ก็ประมาณสักกลางเดือนนี้หรือปลายเดือนนี้แหละที่จะได้ขึ้นมาที่จะได้เข้ามา มีอะไรให้เราช่วยกัน

ความสะอาด ความเป็นระเบียบ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของเราเป็นระเบียบอยู่หรือไม่ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ มองบน มองล่าง มองกลางใจของเรา มันมีไม่เยอะหรอก มันเยอะเฉพาะคนมีกิเลสหนาเท่านั้นแหละที่จะต้องถากถาง คนมีกิเลสบาง ธรรมมีปัญญารู้ความเป็นจริงแล้ว มองเห็นแผล็บเดียว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง กิเลสตัวหยาบ หรือว่าตัวละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย หรือกิเลสเกิดขึ้นที่ใจ เราไปศึกษาฟังนิดเดียวเดินถึงจุดหมายปลายทางเลย ไม่ต้องไปบอกยากอะไร คนมีปัญญารู้ให้ทันก็ดับ ดับแล้วก็วางเอาไว้อย่าไปสนใจ เอาใหม่ ความคิดตรงไหนเกิดขึ้นมาก็ดูใหม่

ใจของเราสอนได้ ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้วเขาไม่เกิดหรอก การเกิดก็เป็นทุกข์ แต่เวลานี้เขาทั้งเกิดด้วยเขาหลงด้วย หลงขันธ์ห้าด้วย แต่เราก็ว่าเราไม่หลง ตราบใดที่กำลังสติยังไม่ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติมีปัญญาอยู่ มีกันทุกคน แต่ก็เป็นสติปัญญาของโลกีย์ ของสมมติ ปัญญากิเลสไม่ใช่ปัญญาที่จะเข้าไปสะสางให้เข้าใจถึงความบริสุทธิ์ของใจ มันก็ถูกอยู่ในระดับสมมติ

แต่ในหลักธรรมแล้วเราต้องเจริญ ต้องเอาไปทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนไม่มีอะไรเหลือ จนอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่กลางโรงหนัง กลางตลาด จิตใจของเราก็ต้องสงบปราศจากกิเลส แนวทางมีอยู่ก็พยายามนะอย่าพากันทิ้ง

เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง