หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 47 วันที่ 17 กรกฏาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 47 วันที่ 17 กรกฏาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 47
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2561
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะพระเรา พิจารณาปฏิสังขาโย พระใหม่เณรใหม่อย่าไปปล่อยปละละเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้น รู้สร้างความรู้ตัว รู้กาย รู้ใจ ที่กายหิวใจเกิดความยาก เราก็ต้องดูรู้ขณะนี้แหละ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ใจเกิดความอยาก เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม ยิ่งบวชใหม่ๆ กายก็เกิดความหิว ใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาเยอะๆ กิเลสมันสร้าง บอกว่าเอาเยอะๆ มันกลัวไม่อิ่ม เราก็ต้องพิจารณา ใจเกิดความอยากเรารีบดับ รีบควบคุม มันยาก เราไม่เอาให้มัน ให้มันผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วใจยังจะเสียดายอาลัยอาวรณ์อยู่อีกหรือไม่
เราต้องพิจารณาทุกลมหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าเวลาฝึกถึงจะสร้าง ถึงจะเจริญสติ ให้เราเจริญสติทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ รู้กายของเรา รู้ลมหายใจ นี่เรียกว่า รู้กาย ลึกลงไปรู้ลักษณะของใจ ใจที่เกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร พยายามหัดสังเกต ตัวสังเกตนั่นแหละเขาเรียกว่า สติ
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาต้องแยกออกจากใจให้ชัดเจน ส่วนความรู้ตัวใจ ลึกลงไปอีกใจก็ต้องแยกออกจากอาการของใจอีกซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่าใจคลายออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ ถึงจะเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นถูกในข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด ความเห็นถูก
เพียงแค่เริ่มต้น ถ้ากําลังสติของเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราพยายามฝึกเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดิน สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน กายเคลื่อนไหวเขาก็จะรู้ ช่วงใหม่ๆ สติจะพลั้งเผลอ เพราะว่าความคิดเก่าปัญญาเก่าที่เกิดจากใจเกิดจากขันธ์ห้า ความเคยชินตรงนั้นเขาเลยเกิดก่อน เราก็ต้องพยายามดูเรา แก้ไขเรา ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย จนไม่มีอะไรที่จะเหลือเข้าไปแก้ไข จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจ
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติมาอบรมใจของเรา คลายใจของเราออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้น ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจเกิดกิเลสเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้ นอกจากตัวของเรา
วันเวลาผ่านไปเร็วไว เผลอแผล็บเดียวก็จะใกล้เข้าพรรษาแล้ว วันที่ 27 ก็จะเข้าพรรษา มีโอกาสก็บอกกล่าวพี่น้องเรามาสวดมนต์ทำวัตร เวียนเทียน ระลึกนึกถึงคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มาไถ่ชีวิตโค มาเจริญสติเจริญภาวนาอบรมใจของเราให้ได้ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ คนที่มีความเพียรถึงจะเข้าถึงเข้าใจ เพียรให้ถูกทางถูกที่ ถ้าเพียรไม่ถูกทางถูกที่ เพียรจนกระทั่งหมดลมหายใจก็ยังไม่เข้าใจเพราะว่าเพียรไม่ถูก ถ้าเพียรถูกที่ ความเพียร ความเพียรของพระพุทธองค์ก็จุดมุ่งหมายเพื่อคลายความหลงละกิเลส ปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส คลายความหลงออกจากใจของเรา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้ ทุกเรื่อง
กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะ สักแต่ดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เราต้องจําแนกแจกแจงออกให้ได้ ออกจากใจของเราให้ได้ นี่เราต้องเจริญสติให้เข้มแข็งเอาไปใช้การใช้งานให้ได้ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอเพราะว่าความเคยชิน ความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาเกิดมานานเขาหลงมานาน เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนได้ความละเอียดที่สุดคือความเกิด รู้ความเกิดของใจ รู้ความเกิดของขันธ์ห้า แยกได้คลายได้ ตามดูได้ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ถ้าฝึกดีๆ จะมีตั้งแต่ความสนุกความสุขว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสตัวไหนมาเล่นงานเรา
แม้ตั้งแต่ตัวใจก็ยังหลอกตัวเอง เขาเรียกว่า จิตหลอกจิต ฝึกไปถึงระดับหนึ่ง จิตมันก็จะหลอกจิต จิตมันก็จะหลอกตัวเองว่าเราต้องการอันโน่นต้องการอันนี้ กายของเราต้องการอันโน่นต้องการอันนี้ ดับความเกิดของจิตได้ สติปัญญาก็จะหลอกตัวเองอีกว่าเราต้องการสิ่งโน่นเราต้องการสิ่งนี้ กิเลสมันละเอียดมากมาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศลทั้งอกุศล มันมาหลอกเราสารพัดอย่าง
เราต้องพยายามมีความเพียร ขัดเกลากิเลส ใจเกิดความโลภละกิเลส ใจเกิดความโกรธดับความโกรธด้วยการให้อภัย เจริญพรหมวิหารให้มีให้เกิดขึ้น เอาไปต่อกรกับกิเลส มีตั้งแต่เรื่องของเรา มีตั้งแต่กิเลสของเราที่จะไปแก้ไข ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย เราทำภาระหน้าที่ของเราให้จบ จบหน้าที่ภายในแล้วก็ภาระหน้าที่สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำหน้าที่ของเราให้ดี อะไรเราขาดตกบกพร่อง เราก็ต้องพยายามทำ ฝึกไปฝึกมาก็ไม่มีอะไรที่จะพูด ไม่มีอะไรที่จะคุย คุยกับตัวเอง คุยกับตัวเรา สติปัญญาอบรมใจ คุยกับใจเป็นเพื่อนใจ เขาถึงเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลง ทั้งสติปัญญาส่งออกไปภายนอกรวมกันไปเป็นก้อน หมุนกันไปเป็นวงกลม ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์อบรมใจ สังเกตการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้า แยกออกจากกันได้เหมือนกับเราตัดวงกลม ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็เข้ารวมกันใหม่ ไปกันใหม่ ส่วนมากก็ทำได้เป็นบางครั้งบางคราว มีความเพียรอยู่
ส่วนศรัทธาการทำบุญให้ทานมีกันเป็นพื้นฐาน การเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผลจนกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา เห็นความเกิดความดับ ละขันธ์ห้า ละกิเลส ดับความเกิดได้ ต้องเป็นบุคคลที่สะสมบารมี สะสมความเพียรอย่างยิ่งยวด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เราอาจจะรู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ขอให้น้อมใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้
ถ้าเราไม่ฝึกเราไม่มีใครจะฝึกเราได้ ครูบาอาจารย์ ตํารา ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ เราพยายามปฏิบัติตามคําสอนของท่านให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบงมงาย พูดไปถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าพูดอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปคลาย แยกรูปแยกนามได้ ตามดูได้ เห็นได้ละได้นั่นแหละถึงจะเข้าใจ ช่วงที่ยังไม่เข้าใจนี้ อย่าเอาทิฏฐิความคิดของเราเข้ามาโต้แย้ง รู้ไม่ทันต้นเหตุดับเอาไว้เสียก่อน
คนทั่วไปปฏิบัติธรรมจะไปเด็ดเอาตั้งแต่ยอด เหมือนกับเด็ดยอดตำลึงมันก็แตก เด็ดยอดหนึ่งมันก็แตกหลายยอด ปกคลุมกันเอาไว้ ในหลักธรรมท่านให้มองให้ลึกถึงต้นเหตุ ไปเด็ดที่ราก เด็ดที่ราก ดูตั้งแต่ความเกิด ดับความเกิดด้วยตัวเดียว ตัวอื่นพังหมด แยกรูปแยกนามได้ ดับความเกิดตั้งแต่นิดเดียวไม่ให้ใจเกิด ตัวใหญ่ๆ ก็เลยเกิดไม่ได้ เพราะว่าเราจัดการตั้งแต่ความเกิดแม้แต่นิดเดียว
ใจเกิดความโลภ ความโกรธ ความทะยานทะยานอยาก เราดับตั้งแต่ก่อตัว นั่นแหละพระพุทธองค์ท่านถึงชี้เหตุชี้ผลดับ ให้ลงที่ต้นเหตุ ให้คลายขันธ์ห้าให้ได้ ดับความเกิดให้ได้ ดับไม่ทัน รู้ไม่ทัน เราก็แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่ แก้ไขใหม่อยู่ตลอดเวลา จนกว่าร่างกายจะแตกดับนั่นแหละ มันไม่หลุดพ้นภพนี้ก็ไปต่อเอาภพหน้า วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ปีนี้มีปีหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี
มารับลงโลงศพทุกวัน วันละสองบ้าง วันละสามบ้าง ความตายนี่ไม่ได้เลือกการเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ เราก็อย่าพากันประมาท แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อย่าแขวนชีวิตของเราไว้กับคนอื่น เราจงพยายามเจริญสติเข้าเป็นที่พึ่งของใจของเราให้ได้ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามแก้ไขปรับปรุง รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็ทำความเพียร การเจริญสติเป็นอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจที่เกิดเป็นอย่างนี้ เราควบคุมใจของเราได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ใจที่เข้าไปรวมกับขันธ์ห้า เราสังเกตทัน ใจแยกได้อย่างนี้คลายได้อย่างนี้มันจะเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นกองเป็นขันธ์ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์
เราละกิเลสได้ กิเลสหยาบได้ มันก็จะเข้าสู่วิปัสสนา ละกิเลสหยาบได้กิเลสละเอียดได้ เข้าสู่โสดาปัตติมรรคและโสดาปัตติผล อนาคามีมรรคกับอนาคามีผล ขึ้นไปจนถึงอรหัตมรรคอรหัตผล ถ้าเรารู้ เราเห็น เราทำความเข้าใจได้ มันจะพุ่งไป เหมือนกับขึ้นบันได มีราวบันได มีลูกบันไดเชื่อมโยงกันอยู่
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ความเกิดความดับของขันธ์ห้า ความเกิดความดับของจิต วิญญาณในกายของเรา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ปฏิบัติธรรม ฝึกธรรม ดูธรรม ปฏิบัติธรรมก็คืออบรมใจของเรานั่นแหละ กายของเราเป็นก้อนธรรม ใจของเราเป็นองค์ธรรม อยู่ที่ไหนก็พยายามอบรมใจของเรา อยู่คนเดียวเราก็รู้ใจของเรารู้กายของเรา อยู่หลายคนเราก็รู้กายของเรารู้ใจของเรา ใจของเรายังเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน เราก็ต้องวิเคราะห์ หมั่นสํารวจ หมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา สักวัน
ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เรายิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ ถ้ายิ่งไม่เข้าใจเรายิ่งห่างไกล มันก็ยิ่งไม่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเราก็เพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ สักวันหนึ่งเราก็เข้าถึงความเป็นกลาง ความว่าง มีเครื่องตัดสินไม่เข้าข้างใคร ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น กิเลสมีหลายเยอะมากมาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กว่าจะไล่ลงไปเรื่อยๆ กว่าจะสะสางได้ทีละชิ้นทีละอัน เราก็ต้องมีความเพียร
เราทำบุญ มาทำบุญให้ทานก็เพื่อที่จะละกิเลส แต่ก็ไม่สูญหาย เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ ภพนี้อยู่ในภพมนุษย์ ภพหน้าถึงไม่ได้เข้าถึงนิพพานก็ให้อยู่ในภพสวรรค์ สวรรค์ ภพสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ แล้วก็สวรรค์ แล้วก็นิพพาน แล้วก็นรก มีหมด ท่านก็บอกว่าอย่าพากันประมาท อย่าพากันประมาท พากันรีบเร่งทำเอาขณะยังมีกําลังกายที่แข็งแรง หมั่นทำบุญ ทำบุญให้ทาน ทำมากทำน้อย ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีอานิสงส์แห่งบุญ
ส่วนการเจริญภาวนาเราก็ต้องทำความเข้าใจ ลักษณะของสติ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ทั้งลมหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ปัจจุบันธรรม ทุกขณะจิตเขาเรียกว่า ปัจจุบันธรรม ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ก็ต้องพยายามกัน
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2561
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะพระเรา พิจารณาปฏิสังขาโย พระใหม่เณรใหม่อย่าไปปล่อยปละละเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้น รู้สร้างความรู้ตัว รู้กาย รู้ใจ ที่กายหิวใจเกิดความยาก เราก็ต้องดูรู้ขณะนี้แหละ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ใจเกิดความอยาก เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักควบคุม ยิ่งบวชใหม่ๆ กายก็เกิดความหิว ใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เอาเยอะๆ กิเลสมันสร้าง บอกว่าเอาเยอะๆ มันกลัวไม่อิ่ม เราก็ต้องพิจารณา ใจเกิดความอยากเรารีบดับ รีบควบคุม มันยาก เราไม่เอาให้มัน ให้มันผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วใจยังจะเสียดายอาลัยอาวรณ์อยู่อีกหรือไม่
เราต้องพิจารณาทุกลมหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นขึ้น ไม่ใช่ว่าเวลาฝึกถึงจะสร้าง ถึงจะเจริญสติ ให้เราเจริญสติทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ รู้กายของเรา รู้ลมหายใจ นี่เรียกว่า รู้กาย ลึกลงไปรู้ลักษณะของใจ ใจที่เกิดปรุงแต่งส่งไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเรา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร พยายามหัดสังเกต ตัวสังเกตนั่นแหละเขาเรียกว่า สติ
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาต้องแยกออกจากใจให้ชัดเจน ส่วนความรู้ตัวใจ ลึกลงไปอีกใจก็ต้องแยกออกจากอาการของใจอีกซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม หรือว่าใจคลายออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ ถึงจะเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นถูกในข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด ความเห็นถูก
เพียงแค่เริ่มต้น ถ้ากําลังสติของเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราพยายามฝึกเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดิน สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน กายเคลื่อนไหวเขาก็จะรู้ ช่วงใหม่ๆ สติจะพลั้งเผลอ เพราะว่าความคิดเก่าปัญญาเก่าที่เกิดจากใจเกิดจากขันธ์ห้า ความเคยชินตรงนั้นเขาเลยเกิดก่อน เราก็ต้องพยายามดูเรา แก้ไขเรา ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย จนไม่มีอะไรที่จะเหลือเข้าไปแก้ไข จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ของใจ
ใจของคนเรานี้หลง หลงมาตั้งแต่ยังไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติมาอบรมใจของเรา คลายใจของเราออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้น ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ทุกอิริยาบถ การเกิดของใจเป็นอย่างไร การเกิดของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ใจเกิดกิเลสเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้ นอกจากตัวของเรา
วันเวลาผ่านไปเร็วไว เผลอแผล็บเดียวก็จะใกล้เข้าพรรษาแล้ว วันที่ 27 ก็จะเข้าพรรษา มีโอกาสก็บอกกล่าวพี่น้องเรามาสวดมนต์ทำวัตร เวียนเทียน ระลึกนึกถึงคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มาไถ่ชีวิตโค มาเจริญสติเจริญภาวนาอบรมใจของเราให้ได้ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ คนที่มีความเพียรถึงจะเข้าถึงเข้าใจ เพียรให้ถูกทางถูกที่ ถ้าเพียรไม่ถูกทางถูกที่ เพียรจนกระทั่งหมดลมหายใจก็ยังไม่เข้าใจเพราะว่าเพียรไม่ถูก ถ้าเพียรถูกที่ ความเพียร ความเพียรของพระพุทธองค์ก็จุดมุ่งหมายเพื่อคลายความหลงละกิเลส ปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนก็เพื่อที่จะละกิเลส คลายความหลงออกจากใจของเรา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้ ทุกเรื่อง
กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตาก็ทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง ภาษาธรรมะ สักแต่ดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เราต้องจําแนกแจกแจงออกให้ได้ ออกจากใจของเราให้ได้ นี่เราต้องเจริญสติให้เข้มแข็งเอาไปใช้การใช้งานให้ได้ ส่วนมากก็จะพลั้งเผลอเพราะว่าความเคยชิน ความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาเกิดมานานเขาหลงมานาน เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนได้ความละเอียดที่สุดคือความเกิด รู้ความเกิดของใจ รู้ความเกิดของขันธ์ห้า แยกได้คลายได้ ตามดูได้ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ถ้าฝึกดีๆ จะมีตั้งแต่ความสนุกความสุขว่าเราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน กิเลสตัวไหนมาเล่นงานเรา
แม้ตั้งแต่ตัวใจก็ยังหลอกตัวเอง เขาเรียกว่า จิตหลอกจิต ฝึกไปถึงระดับหนึ่ง จิตมันก็จะหลอกจิต จิตมันก็จะหลอกตัวเองว่าเราต้องการอันโน่นต้องการอันนี้ กายของเราต้องการอันโน่นต้องการอันนี้ ดับความเกิดของจิตได้ สติปัญญาก็จะหลอกตัวเองอีกว่าเราต้องการสิ่งโน่นเราต้องการสิ่งนี้ กิเลสมันละเอียดมากมาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศลทั้งอกุศล มันมาหลอกเราสารพัดอย่าง
เราต้องพยายามมีความเพียร ขัดเกลากิเลส ใจเกิดความโลภละกิเลส ใจเกิดความโกรธดับความโกรธด้วยการให้อภัย เจริญพรหมวิหารให้มีให้เกิดขึ้น เอาไปต่อกรกับกิเลส มีตั้งแต่เรื่องของเรา มีตั้งแต่กิเลสของเราที่จะไปแก้ไข ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย เราทำภาระหน้าที่ของเราให้จบ จบหน้าที่ภายในแล้วก็ภาระหน้าที่สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำหน้าที่ของเราให้ดี อะไรเราขาดตกบกพร่อง เราก็ต้องพยายามทำ ฝึกไปฝึกมาก็ไม่มีอะไรที่จะพูด ไม่มีอะไรที่จะคุย คุยกับตัวเอง คุยกับตัวเรา สติปัญญาอบรมใจ คุยกับใจเป็นเพื่อนใจ เขาถึงเรียกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลง ทั้งสติปัญญาส่งออกไปภายนอกรวมกันไปเป็นก้อน หมุนกันไปเป็นวงกลม ถ้าเรามาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์อบรมใจ สังเกตการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้า แยกออกจากกันได้เหมือนกับเราตัดวงกลม ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ เขาก็เข้ารวมกันใหม่ ไปกันใหม่ ส่วนมากก็ทำได้เป็นบางครั้งบางคราว มีความเพียรอยู่
ส่วนศรัทธาการทำบุญให้ทานมีกันเป็นพื้นฐาน การเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผลจนกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา เห็นความเกิดความดับ ละขันธ์ห้า ละกิเลส ดับความเกิดได้ ต้องเป็นบุคคลที่สะสมบารมี สะสมความเพียรอย่างยิ่งยวด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เราอาจจะรู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ขอให้น้อมใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้
ถ้าเราไม่ฝึกเราไม่มีใครจะฝึกเราได้ ครูบาอาจารย์ ตํารา ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ เราพยายามปฏิบัติตามคําสอนของท่านให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแบบงมงาย พูดไปถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าพูดอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติเข้าไปคลาย แยกรูปแยกนามได้ ตามดูได้ เห็นได้ละได้นั่นแหละถึงจะเข้าใจ ช่วงที่ยังไม่เข้าใจนี้ อย่าเอาทิฏฐิความคิดของเราเข้ามาโต้แย้ง รู้ไม่ทันต้นเหตุดับเอาไว้เสียก่อน
คนทั่วไปปฏิบัติธรรมจะไปเด็ดเอาตั้งแต่ยอด เหมือนกับเด็ดยอดตำลึงมันก็แตก เด็ดยอดหนึ่งมันก็แตกหลายยอด ปกคลุมกันเอาไว้ ในหลักธรรมท่านให้มองให้ลึกถึงต้นเหตุ ไปเด็ดที่ราก เด็ดที่ราก ดูตั้งแต่ความเกิด ดับความเกิดด้วยตัวเดียว ตัวอื่นพังหมด แยกรูปแยกนามได้ ดับความเกิดตั้งแต่นิดเดียวไม่ให้ใจเกิด ตัวใหญ่ๆ ก็เลยเกิดไม่ได้ เพราะว่าเราจัดการตั้งแต่ความเกิดแม้แต่นิดเดียว
ใจเกิดความโลภ ความโกรธ ความทะยานทะยานอยาก เราดับตั้งแต่ก่อตัว นั่นแหละพระพุทธองค์ท่านถึงชี้เหตุชี้ผลดับ ให้ลงที่ต้นเหตุ ให้คลายขันธ์ห้าให้ได้ ดับความเกิดให้ได้ ดับไม่ทัน รู้ไม่ทัน เราก็แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่ แก้ไขใหม่อยู่ตลอดเวลา จนกว่าร่างกายจะแตกดับนั่นแหละ มันไม่หลุดพ้นภพนี้ก็ไปต่อเอาภพหน้า วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ปีนี้มีปีหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี
มารับลงโลงศพทุกวัน วันละสองบ้าง วันละสามบ้าง ความตายนี่ไม่ได้เลือกการเลือกเวลา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ เราก็อย่าพากันประมาท แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อย่าแขวนชีวิตของเราไว้กับคนอื่น เราจงพยายามเจริญสติเข้าเป็นที่พึ่งของใจของเราให้ได้ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามแก้ไขปรับปรุง รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็ทำความเพียร การเจริญสติเป็นอย่างนี้ สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ใจที่เกิดเป็นอย่างนี้ เราควบคุมใจของเราได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ใจที่เข้าไปรวมกับขันธ์ห้า เราสังเกตทัน ใจแยกได้อย่างนี้คลายได้อย่างนี้มันจะเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นกองเป็นขันธ์ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์
เราละกิเลสได้ กิเลสหยาบได้ มันก็จะเข้าสู่วิปัสสนา ละกิเลสหยาบได้กิเลสละเอียดได้ เข้าสู่โสดาปัตติมรรคและโสดาปัตติผล อนาคามีมรรคกับอนาคามีผล ขึ้นไปจนถึงอรหัตมรรคอรหัตผล ถ้าเรารู้ เราเห็น เราทำความเข้าใจได้ มันจะพุ่งไป เหมือนกับขึ้นบันได มีราวบันได มีลูกบันไดเชื่อมโยงกันอยู่
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ความเกิดความดับของขันธ์ห้า ความเกิดความดับของจิต วิญญาณในกายของเรา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ปฏิบัติธรรม ฝึกธรรม ดูธรรม ปฏิบัติธรรมก็คืออบรมใจของเรานั่นแหละ กายของเราเป็นก้อนธรรม ใจของเราเป็นองค์ธรรม อยู่ที่ไหนก็พยายามอบรมใจของเรา อยู่คนเดียวเราก็รู้ใจของเรารู้กายของเรา อยู่หลายคนเราก็รู้กายของเรารู้ใจของเรา ใจของเรายังเกิดกิเลสเราก็รู้จักละ กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริมหรือไม่ หรือว่าเกิดขึ้นที่ใจ เหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน เราก็ต้องวิเคราะห์ หมั่นสํารวจ หมั่นตรวจตราอยู่ตลอดเวลา สักวัน
ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เรายิ่งเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ ถ้ายิ่งไม่เข้าใจเรายิ่งห่างไกล มันก็ยิ่งไม่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเราก็เพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ สักวันหนึ่งเราก็เข้าถึงความเป็นกลาง ความว่าง มีเครื่องตัดสินไม่เข้าข้างใคร ไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่น กิเลสมีหลายเยอะมากมาย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กว่าจะไล่ลงไปเรื่อยๆ กว่าจะสะสางได้ทีละชิ้นทีละอัน เราก็ต้องมีความเพียร
เราทำบุญ มาทำบุญให้ทานก็เพื่อที่จะละกิเลส แต่ก็ไม่สูญหาย เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ ภพนี้อยู่ในภพมนุษย์ ภพหน้าถึงไม่ได้เข้าถึงนิพพานก็ให้อยู่ในภพสวรรค์ สวรรค์ ภพสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ แล้วก็สวรรค์ แล้วก็นิพพาน แล้วก็นรก มีหมด ท่านก็บอกว่าอย่าพากันประมาท อย่าพากันประมาท พากันรีบเร่งทำเอาขณะยังมีกําลังกายที่แข็งแรง หมั่นทำบุญ ทำบุญให้ทาน ทำมากทำน้อย ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีอานิสงส์แห่งบุญ
ส่วนการเจริญภาวนาเราก็ต้องทำความเข้าใจ ลักษณะของสติ ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ทั้งลมหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ปัจจุบันธรรม ทุกขณะจิตเขาเรียกว่า ปัจจุบันธรรม ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ก็ต้องพยายามกัน
ตั้งใจรับพรกัน