หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 38 วันที่ 10 มิถุนายน 2561

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 38 วันที่ 10 มิถุนายน 2561
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 38 วันที่ 10 มิถุนายน 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 38
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 มิถุนายน 2561

มีความสุขกันทุกคน พระใหม่ ทั้งพระใหม่พระเก่า พยายามต้องเป็นผู้ใหม่ตลอด พิจารณาก่อนที่จะขบฉัน ให้รู้จักพิจารณาปฏิสังขาโย กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ยิ่งบวชใหม่ๆ เราเคยรับประทานอาหารตั้งแต่ยังไม่ได้บวช อาจจะ 2 มื้อ 3 มื้อ หรือหลายมื้อ เวลาเรามาบวชใหม่ เราไม่ได้รับประทานอาหารเหมือนเดิม กายก็จะเกิดความหิว ใจก็จะเกิดความอยาก เราพยายามดับความอยากให้ได้ ค่อยเอา ดับความอยาก กายเกิดความหิว ใจจะปรุงแต่งได้เร็วได้ไว อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย กิเลสสั่งบอกว่าเอาเยอะๆ กลัวไม่อิ่ม เอาเยอะๆ กิเลสมันสั่ง เวลารับประทานจริงๆ แล้วก็รับประทานได้นิดเดียว

เราพยายามหยุด พยายามดับความอยาก อย่าเพิ่งไปทำตามความอยาก ดับที่โน้นดับที่นี่ พิจารณาให้ได้ทุกเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้น ทุกเรื่อง ความอยากหรือว่าความเกิดของใจ ความอยากเกิดขึ้นที่ใจ เราพยายามดับความอยากตรงนั้นให้ได้ ต่อไปเราก็พยายามสร้างความรู้ตัว หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต เห็นการเกิดของใจ เห็นอาการของใจ รู้ลักษณะอาการของใจ ของความคิด

ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดนั่นแหละ มันผุดขึ้นมาเพราะว่าความคิดตัวนี้มีอยู่เดิม ความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากอาการของขันธ์ห้า อันนี้มีอยู่แล้ว เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปวิเคราะห์ ความรู้ตัวส่วนสมอง ส่วนปัญญา รู้ไม่ทันเราก็ดับเอาไว้ ซึ่งเรียกว่า สมถะ หยุดดับขณะที่ใจก่อตัว หรือความคิดผุดขึ้นมา

เราพยายามหัดวิเคราะห์ หัดสังเกตบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน จนรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้ตั้งแต่ก่อนเขาจะเกิด เขาเกิดเราดับไม่ได้ ก็ไม่ให้ออกทางกายทางวาจา ใช้ปัญญาหลบหลีกทุกวิถีทาง การเจริญสติเราพยายามทำตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ดูความเกียจคร้านเข้าครอบงำหรือไม่ ความลังเลสงสัย ความกังวล ความฟุ้งซ่านต่างๆ เราต้องดูรู้ให้ทัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง

แต่ละวันๆ เรารู้ทันกายของเรา รู้ทันใจของเรา อบรมใจของเราได้ระดับไหน ตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ไม่ใช่ว่าจะไปทำเวลาโน้นทำเวลานี้ ใจเกิดเมื่อไหร่ หรือว่ากิเลสเกิดเมื่อไหร่ เราก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ ใช้ปัญญาเข้าไปดับเข้าไปอบรม อบรมใจของเรา กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ตาก็ทำหน้าที่ดู ห้ามตาก็ไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟัง เขาทำหน้าที่ของเขา เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ใจของเรา เวลาตากระทบรูปใจเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงใจเป็นอย่างไร ใจเกิดกิเลส ใจเกิดความยินดียินร้ายหรือเปล่า

ภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร ทุกเรื่องจะเกี่ยวเนื่องกันหมด เราก็ต้องพยายามดูต้นเหตุให้เป็น ไม่ใช่ว่าจะไปเอาเวลาโน้นเวลานี้ ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นยันกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจโน่นแหละ เราต้องรู้กายรู้ใจของเรา แก้ไขกายแก้ไขใจของเรา ผิดพลาดแก้ไขใหม่ๆ ทำบ่อยๆ ภาษาธรรมชื่อว่าอย่างนั้นชื่อว่าอย่างนี้

การได้ยินได้ฟังเป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ การลงมือ การกระทำ เราต้องพยายามให้ถึง บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น เราเจริญสติไปอบรมใจ จนใจคลายออกจากความคิด ตามดูเห็นความเกิดความดับ ถึงจะเรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เวลาเขาหยุดไป อนัตตา ความว่างเปล่าก็มาปรากฏเรื่องใหม่เข้ามา เราต้องพยายามรู้ให้ได้ ทั้งส่วนรูปส่วนนาม รอบรู้ในดวงวิญญาณของตัวเรา รอบรู้ในกองสังขารในดวงวิญญาณ รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ก็ต้องพยายาม

สมมติภายนอกเราก็ทำให้ดี ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ถ้าปัจจัยสี่ ปัจจัยสมมติภายนอกไม่บริบูรณ์การบริหารใจก็ลำบาก ถ้ากายยังหิวโหยอยู่ การฝึกหัดก็ลำบาก กายไม่มีที่พักที่ซุกหัวนอนกายก็ลำบาก จะฝึกหัดปฏิบัติใจก็ลำบาก เราพยายามทำให้พร้อมทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ถึงจะไม่มากมายแต่ก็ไม่ให้ลำบาก พยายามรอบรู้ รอบรู้ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เอาไปใช้กับสมมติจนกว่าจะหมดลมหายใจ เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง

เราพยายามขัดเกลากิเลส พยายามขัดเกลาเอาออกให้เบาบาง แต่ละวันความเสียสละของเรามีหรือไม่ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย การแก้ไขตัวเรา การอยู่ร่วมกับหมู่กับคณะ เราพยายามกัน ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่เรื่องของคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของคนอื่น มีแต่เรื่องภายนอก กิเลสมันเล่นงานตลอดเวลา

กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบ ความโลภ ความโกรธ ตัวใหญ่ๆ กิเลสละเอียด พวกความกังวล พวกนิวรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตไม่ให้ได้รับความสงบ เราก็ต้องพยายามเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง จนกลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา จนเป็นปัญญารอบรู้ในดวงจิตของตัวเอง ใจจะเกิด ใจหรือจิต หรือว่าวิญญาณ ก็ความคิด มันก่อตัวตรงไหน เราก็ดับตรงนั้น มันก็เข้าถึงจุดจบของดวงวิญญาณ คือความเกิด

ถ้าไม่หลง ก็ไม่เกิด เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าร่างกายของเรานี่แหละ แล้วก็มาอาศัยขันธ์ห้าอยู่ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร เราก็มองเห็นแค่เป็นก้อน ร่างกายของเรานี้เป็นก้อน รวมกันไปทั้งใจ ทั้งอาการของใจ ทั้งส่วนรูปส่วนนาม ทั้งสติปัญญา รวมกันไปเป็นก้อนเป็นวงกลม หมุนไปอยู่ หมุนไปตามกรรม หมุนไปด้วยความหลง เราอาจจะว่าเราไม่หลง แต่ในสมมติถ้ายังเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม ขัดเกลากิเลสไม่ได้ ดับความเกิดไม่ได้ก็ยังหลง หลงเกิด

ความคิดของเราเกิดสักกี่เที่ยว เกิดมาในภพมนุษย์ก็เกิดมาแล้ว ภพมนุษย์มองเห็นด้วยตาเนื้อ ภพสัตว์เดรัจฉานก็มองเห็นด้วยตาเนื้อ ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มีหมด เทวดา พรหม นิพพาน วันนี้มี พรุ่งนี้มี พ่อแม่มี พี่น้องมี เราก็ต้องศึกษาให้ละเอียด ก่อนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปผัดวันประกันพรุ่ง จะดูเวลาโน้นดูเวลานี้ แก้ไขเวลาโน้นเวลานี้ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็จัดการกับมันทันที มีสติปัญญาเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องพยายามกันนะ

ให้เราแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ไม่ใช่ว่าให้คนอื่นมาบังคับ หลวงพ่อจะไม่บังคับใครทั้งสิ้น เพียงแค่เล่าให้ฟัง แล้วก็ไปทำตามให้มี ให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา การถูกบังคับ การโดนบังคับไม่มีใครเขาชอบ ให้เราบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเราถึงจะถูกต้อง อยู่ด้วยกันหลายๆ คน หลายๆ ท่าน ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี ระดับสมมติก็ช่วยกันทำ อย่าไปเกี่ยงงอนกัน กว่าจะได้มีอยู่ให้สุขให้สบายได้ทุกคนก็อาศัยความเพียร อาศัยกาลเวลาของทุกคนหล่อหลอมรวมกัน ถึงได้ส่งมาถึงพวกเราให้ได้อยู่ดีมีความสุข

สมัยเริ่มต้นใหม่ๆ นี่ลำบาก แม้แต่ที่พักที่อาศัยนี่ไม่ค่อยมี ไม่มี เป็นป่ารก ป่าหนาม ป่าหญ้าคา ทั้งเผาทั้งฝังเต็มเกลื่อน กองกระดูกเต็มเกลื่อนป่าช้า ที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ก็ขุดลงไปตรงไหนก็เจอตั้งแต่ไหกระดูก แม้แต่ถ้วยชามก็ยังไปขุดเอาตามหลุมศพ มาล้างมาใส่ มาใส่กับข้าวกับปลา ลำบาก แม้แต่น้ำ จะอาบจะดื่มก็ลำบาก กว่าจะพัฒนาขึ้นมาได้ก็อาศัยกาลเวลา อาศัยความเพียร อาศัยความร่วมมือ อาศัยความเสียสละของคนรุ่นก่อนฝากมาเรื่อยๆ

พวกเราก็พยายามมาช่วยกัน มาช่วยกัน อะไรที่จะดีก็ทำ อะไรทีไม่ดีก็พยายามละ แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ จัดการกับกิเลสภายในของเรา สมมติภายนอกเราก็ช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์ พวกเราจากไปรุ่นหลังก็จะได้สานต่อ ก็ต้องพยายามกัน

อย่าเป็นคนที่บอกยาก จงเป็นคนที่บอกง่าย บอกตัวเองให้ได้ เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราให้ได้ ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง การเจริญสติที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจของเราวิเวกจากกิเลส วิเวกจากการเกิด กายของเราวิเวกจากพันธะภาระต่างๆ ต่อไปข้างหน้าเราก็ไปใช้กับการกับงาน กายของเราเข้าไปร่วมสมมติให้ใจรับรู้ เราจะไปทิ้งสมมติไม่ได้ตอนนี้ หมดลมหายใจนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติ เพราะว่ากายเป็นก้อนสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจศึกษาให้ละเอียด

ตั้งใจรับพรกัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง