หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 21 วันที่ 28 มีนาคม 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 21 วันที่ 28 มีนาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 21
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มีนาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องประนมมือฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะรู้สึกว่าสบายขึ้น ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา
เราพยายามสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ในหลักธรรมท่านเรียกว่าเจริญสติหรือว่าสร้างผู้รู้
ส่วนใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เขายังเกิดเขายังหลงอยู่ ความเกิด ความหลง ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ซึ่งเรียกว่าปัญญาโลกีย์ มีกันทุกคนแล้วก็มีเยอะด้วย
เหตุนี้เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ เรียกว่ามาเจริญสติตัวใหม่ ให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง แล้วก็ไปอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเราคลายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม เราก็จะเห็นเป็นกองเป็นขันธ์ ที่ถ้าเรียกว่าเป็นกอง กองรูป กองนาม กองความคิด กองอารมณ์ กองวิญญาณ แต่เราต้องรู้ด้วยการเจริญสติ รู้จักลักษณะของคำว่า ความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ แล้วก็เอาไปใช้ให้เป็น
ความรู้ตัวของเราอาจจะมีบ้าง ควบคุมใจของเราได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ต้องควบคุมให้ได้แล้วก็ให้ใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
การฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทานตรงนี้มี ทุกคนมีความเชื่อมั่น เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เราต้องทำความเข้าใจกับคำว่ากรรม กรรมคือการกระทำ กรรมเก่า กรรมใหม่
กรรมเก่าซึ่งมีอยู่ในกายของเราซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า ซึ่งเขามาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ความเกิดของใจซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ความละเอียด ความละเอียด ความคิดของเราไล่ลงไป ละเอียดลงไปเรื่อยๆ กรรมหยาบ กรรมละเอียด ซึ่งเรียกว่ามลทิน นิวรณธรรม มลทินกิเลสต่างๆ
เราพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสำรวจ แล้วก็ตามทำตามความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษา การได้ค้นคว้าไปที่นู่นบ้างไปที่นี่บ้าง ก็เพื่อที่จะแสวงหาแนวทาง เราเข้าใจวิธีการแนวทางแล้วก็เริ่มทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นแบบนี้ ใจวิเวกเป็นแบบนี้ กิเลสเกิดขึ้นจากภายใน หรือกิเลสเกิดขึ้นจากภายนอก กิเลสเกิดขึ้นจากภายใน หรือเหตุจากภายนอกมาทำให้เกิด
ถ้าเรามีความรู้ตัวคอยสอดส่องคอยวิเคราะห์ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น จนใจคลายออกหรือว่าแยกรูป แยกนาม ใจหงายขึ้นมาได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องการดำเนินชีวิต สอนการรู้ การเห็น การแยกรูปแยกนาม อันนี้ อัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ สมมติเป็นอย่างนี้ วิมุตติเป็นอย่างนี้ กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง
เรามีสติคอยสังเกตคอยวิเคราะห์ใจของเรา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นด้วยปัญญา เอาด้วยปัญญา ทำด้วยปัญญา การพูดง่ายแต่การลงมือจริงๆ เราต้องเป็นคน บุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ
แต่ละวันๆ เราสำรวจกายของเราเป็นอย่างไรบ้าง ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจเกิดความโลภ เราพยายามละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็รู้จักดับ รู้จักให้อภัย อโหสิกรรม มีสัจจะความจริงใจกับตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นธรรม
ถ้าใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ใจของเราก็เป็นธรรม ใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ เราพยายามสร้างผู้รู้เข้าไป เข้าไปทำความเข้าใจกับเรา
ถ้าฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าแยกใจกับสติปัญญาไม่ออกเขาก็จะไปรวมกัน ถ้าเราเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ มันจะเป็นช่องทางของเขาอยู่
ถ้าเราปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การรู้เท่ารู้ทันรู้ รู้กันรู้แก้ รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ อันนี้เป็นกุศล อกุศล เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยปัญญา ที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็บริหารใจของเราด้วยปัญญาก็ต้องพยายามกัน
อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าพากันปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีบุญทุกคนมีวาสนา ทุกคนมีเวลาเท่ากันหมดตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่
ส่วนเรื่องการทำความเข้าใจกับสมมติ แล้วก็ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ บางคนก็มีทุนน้อยบางคนก็มีทุนมาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย เราพยายามดำเนินชีวิตของเรา จนกว่าจะหมดลมหายใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเพราะว่าไม่เที่ยง
ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์อันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาสร้างร่างกายมนุษย์ มาสร้างภพ มาสร้างขันธ์ห้า แล้วก็มายึดติดแล้วก็เกิดต่อ
เราไปคลายความหลง ดับความเกิดขึ้น ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ จนมองเห็นหนทางเดิม ว่ากายเนื้อแตกดับแล้ว ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันนะอย่าพากันไปทิ้งบุญ เอาล่ะตอนนี้มาเจริญธรรมถึงตอนนี้ พากันไปไหว้พระ พร้อมๆ กันพากันไปสร้างสรรค์ต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มีนาคม 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องประนมมือฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะรู้สึกว่าสบายขึ้น ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา
เราพยายามสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ความรู้ตัวพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ในหลักธรรมท่านเรียกว่าเจริญสติหรือว่าสร้างผู้รู้
ส่วนใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เขายังเกิดเขายังหลงอยู่ ความเกิด ความหลง ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ซึ่งเรียกว่าปัญญาโลกีย์ มีกันทุกคนแล้วก็มีเยอะด้วย
เหตุนี้เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ เรียกว่ามาเจริญสติตัวใหม่ ให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง แล้วก็ไปอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเราคลายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนาม เราก็จะเห็นเป็นกองเป็นขันธ์ ที่ถ้าเรียกว่าเป็นกอง กองรูป กองนาม กองความคิด กองอารมณ์ กองวิญญาณ แต่เราต้องรู้ด้วยการเจริญสติ รู้จักลักษณะของคำว่า ความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ แล้วก็เอาไปใช้ให้เป็น
ความรู้ตัวของเราอาจจะมีบ้าง ควบคุมใจของเราได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ต้องควบคุมให้ได้แล้วก็ให้ใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
การฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทานตรงนี้มี ทุกคนมีความเชื่อมั่น เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม เราต้องทำความเข้าใจกับคำว่ากรรม กรรมคือการกระทำ กรรมเก่า กรรมใหม่
กรรมเก่าซึ่งมีอยู่ในกายของเราซึ่งเรียกว่าขันธ์ห้า ซึ่งเขามาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ความเกิดของใจซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ความละเอียด ความละเอียด ความคิดของเราไล่ลงไป ละเอียดลงไปเรื่อยๆ กรรมหยาบ กรรมละเอียด ซึ่งเรียกว่ามลทิน นิวรณธรรม มลทินกิเลสต่างๆ
เราพยายามหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดสำรวจ แล้วก็ตามทำตามความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง การได้ยินได้ฟังได้อ่าน การได้ศึกษา การได้ค้นคว้าไปที่นู่นบ้างไปที่นี่บ้าง ก็เพื่อที่จะแสวงหาแนวทาง เราเข้าใจวิธีการแนวทางแล้วก็เริ่มทำ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นแบบนี้ ใจวิเวกเป็นแบบนี้ กิเลสเกิดขึ้นจากภายใน หรือกิเลสเกิดขึ้นจากภายนอก กิเลสเกิดขึ้นจากภายใน หรือเหตุจากภายนอกมาทำให้เกิด
ถ้าเรามีความรู้ตัวคอยสอดส่องคอยวิเคราะห์ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น จนใจคลายออกหรือว่าแยกรูป แยกนาม ใจหงายขึ้นมาได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องการดำเนินชีวิต สอนการรู้ การเห็น การแยกรูปแยกนาม อันนี้ อัตตาเป็นอย่างนี้ อนัตตาเป็นอย่างนี้ สมมติเป็นอย่างนี้ วิมุตติเป็นอย่างนี้ กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ ตาหูจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูป รส กลิ่น เสียง
เรามีสติคอยสังเกตคอยวิเคราะห์ใจของเรา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นด้วยปัญญา เอาด้วยปัญญา ทำด้วยปัญญา การพูดง่ายแต่การลงมือจริงๆ เราต้องเป็นคน บุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ
แต่ละวันๆ เราสำรวจกายของเราเป็นอย่างไรบ้าง ใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจเกิดความโลภ เราพยายามละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธก็รู้จักดับ รู้จักให้อภัย อโหสิกรรม มีสัจจะความจริงใจกับตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นธรรม
ถ้าใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ใจของเราก็เป็นธรรม ใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ เราพยายามสร้างผู้รู้เข้าไป เข้าไปทำความเข้าใจกับเรา
ถ้าฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าแยกใจกับสติปัญญาไม่ออกเขาก็จะไปรวมกัน ถ้าเราเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ มันจะเป็นช่องทางของเขาอยู่
ถ้าเราปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การรู้เท่ารู้ทันรู้ รู้กันรู้แก้ รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ อันนี้เป็นกุศล อกุศล เราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยปัญญา ที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็บริหารใจของเราด้วยปัญญาก็ต้องพยายามกัน
อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าพากันปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีบุญทุกคนมีวาสนา ทุกคนมีเวลาเท่ากันหมดตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่
ส่วนเรื่องการทำความเข้าใจกับสมมติ แล้วก็ขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ บางคนก็มีทุนน้อยบางคนก็มีทุนมาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัย เราพยายามดำเนินชีวิตของเรา จนกว่าจะหมดลมหายใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเพราะว่าไม่เที่ยง
ความเกิดนั่นแหละคือความทุกข์อันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาสร้างร่างกายมนุษย์ มาสร้างภพ มาสร้างขันธ์ห้า แล้วก็มายึดติดแล้วก็เกิดต่อ
เราไปคลายความหลง ดับความเกิดขึ้น ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ จนมองเห็นหนทางเดิม ว่ากายเนื้อแตกดับแล้ว ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันนะอย่าพากันไปทิ้งบุญ เอาล่ะตอนนี้มาเจริญธรรมถึงตอนนี้ พากันไปไหว้พระ พร้อมๆ กันพากันไปสร้างสรรค์ต่อทำความเข้าใจกันเอา