หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 12 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 12 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 12
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ ลักษณะของคำว่าสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็รู้ตัวให้ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้
การเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา เข้าไปวิเคราะห์ใจของเราจนใจของเราคลายออกจากความหลง หรือว่าแยกรูป แยกนาม ตามเห็นความเป็นจริงได้ เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ‘หนทางทางเดิน’ ในที่นี้หมายถึงทางตัดจิตวิญญาณ เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา เดินทางสมมติ วิมุตติ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างหมด
ที่ท่านบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของตัวเรา เราไม่แก้ไขเราไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลยนอกจากตัวของเรา ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือว่ามีทิฏฐิมานะ ใจของเรามีกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จำแนกแจกแจงให้ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง
‘หลง’ คำว่าหลง หลงกี่ชั้น ใจนี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ที่นี้ก็หลงมาสร้างภพมนุษย์อีกเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ร่างกายของเรานี่เขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ เขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ แล้วก็มายึดติดในภพนี้ แล้วก็ขณะมีกายอยู่เขาก็เกิดต่อเป็นทาสกิเลสต่อ กิเลสก็มีหลายชนิด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดทุกอย่าง แม้แต่ความเกิดก็เป็นกิเลส เกิดเป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
เราก็มาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร การดำเนินชีวิตอย่างไรการเจริญสติเป็นอย่างไร การสร้างบารมี ความเสียสละ เสียสละทั้งภายนอกภายใน การมีการเป็น การไม่มีการไม่เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องศึกษาให้ละเอียดขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี มีหมด
ถ้าเราเข้าใจ มารีบแก้ไขตัวเราเสีย ขณะที่ยังมีกำลังยังมีลมหายใจอยู่ มองเห็นหนทางเดิน ว่าขณะนี้ใจของเราปกติ ใจของเราสะอาด ใจของเราบริสุทธิ์ กิเลสตัวไหนที่ยังคั่งค้างอยู่ เราก็พยายามรีบแก้ไข ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชีก็ต้องพยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ ในหลักธรรมเป็นอย่างไร อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายในใจของเราเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร ท่านวางแนวทางเอาไว้หมดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอยู่ชั้นไหนๆ ลักษณะของการเจริญสติ กายวิเวกใจวิเวกเป็นอย่างไรกายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตนเป็นที่พึ่งของตนได้อย่างไร นี่แหละ
เราพยายามแก้ไข เป็นที่พึ่งในระดับของสมมติ ในระดับของวิมุตติ โลกธรรมก็อยู่ด้วยกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน กายของเรานี่แหละก้อนโลก ใจของเรายังเป็นโลกอยู่ เราต้องพยายามเดินปัญญา คลายความหลง ใจถึงจะตกกระแสธรรม ละกิเลสได้หมด ใจก็จะเป็นองค์ธรรม
ในความว่างนั้นมีความบริสุทธิ์อยู่ ใจก็ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดเป็นใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ ผู้รู้อยู่ในตัวของเรา สองผู้รู้ แต่ในเวลานี้ใจของเราเป็นผู้รู้ ทั้งรู้ทั้งหลงรวมกันไป เพราะว่ากำลังสติของเราไม่มี ไม่เพียงพอที่จะไปอบรมใจไปแก้ไขใจของเราได้ ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอจำแนกแจกแจงชี้เหตุชี้ผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงได้
ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ไม่ว่าจะ อยู่ในอิริยาบถไหน ให้รีบแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเรา พยายามเดินให้ถึงจุดหมาย
บุญสมมติเราก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวยให้ บุญมากบุญน้อย ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจ ลักษณะของคำว่าสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็รู้ตัวให้ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้
การเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา เข้าไปวิเคราะห์ใจของเราจนใจของเราคลายออกจากความหลง หรือว่าแยกรูป แยกนาม ตามเห็นความเป็นจริงได้ เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน ‘หนทางทางเดิน’ ในที่นี้หมายถึงทางตัดจิตวิญญาณ เดินด้วยสติ เดินด้วยปัญญา เดินทางสมมติ วิมุตติ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างหมด
ที่ท่านบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของตัวเรา เราไม่แก้ไขเราไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลยนอกจากตัวของเรา ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือว่ามีทิฏฐิมานะ ใจของเรามีกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จำแนกแจกแจงให้ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง
‘หลง’ คำว่าหลง หลงกี่ชั้น ใจนี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ที่นี้ก็หลงมาสร้างภพมนุษย์อีกเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ ร่างกายของเรานี่เขาเรียกว่า ‘ภพมนุษย์’ เขาเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ แล้วก็มายึดติดในภพนี้ แล้วก็ขณะมีกายอยู่เขาก็เกิดต่อเป็นทาสกิเลสต่อ กิเลสก็มีหลายชนิด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดทุกอย่าง แม้แต่ความเกิดก็เป็นกิเลส เกิดเป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
เราก็มาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร การดำเนินชีวิตอย่างไรการเจริญสติเป็นอย่างไร การสร้างบารมี ความเสียสละ เสียสละทั้งภายนอกภายใน การมีการเป็น การไม่มีการไม่เป็น ทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องศึกษาให้ละเอียดขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป วันนี้มีพรุ่งนี้มี เดือนนี้มีเดือนหน้ามี ภพนี้มีภพหน้ามี มีหมด
ถ้าเราเข้าใจ มารีบแก้ไขตัวเราเสีย ขณะที่ยังมีกำลังยังมีลมหายใจอยู่ มองเห็นหนทางเดิน ว่าขณะนี้ใจของเราปกติ ใจของเราสะอาด ใจของเราบริสุทธิ์ กิเลสตัวไหนที่ยังคั่งค้างอยู่ เราก็พยายามรีบแก้ไข ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชีก็ต้องพยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต คำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ ในหลักธรรมเป็นอย่างไร อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายในใจของเราเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร ท่านวางแนวทางเอาไว้หมดกิเลสหยาบกิเลสละเอียดอยู่ชั้นไหนๆ ลักษณะของการเจริญสติ กายวิเวกใจวิเวกเป็นอย่างไรกายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ตนเป็นที่พึ่งของตนได้อย่างไร นี่แหละ
เราพยายามแก้ไข เป็นที่พึ่งในระดับของสมมติ ในระดับของวิมุตติ โลกธรรมก็อยู่ด้วยกัน ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน กายของเรานี่แหละก้อนโลก ใจของเรายังเป็นโลกอยู่ เราต้องพยายามเดินปัญญา คลายความหลง ใจถึงจะตกกระแสธรรม ละกิเลสได้หมด ใจก็จะเป็นองค์ธรรม
ในความว่างนั้นมีความบริสุทธิ์อยู่ ใจก็ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิดเป็นใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ ผู้รู้อยู่ในตัวของเรา สองผู้รู้ แต่ในเวลานี้ใจของเราเป็นผู้รู้ ทั้งรู้ทั้งหลงรวมกันไป เพราะว่ากำลังสติของเราไม่มี ไม่เพียงพอที่จะไปอบรมใจไปแก้ไขใจของเราได้ ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอจำแนกแจกแจงชี้เหตุชี้ผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงได้
ท่านถึงว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมาจนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ไม่ว่าจะ อยู่ในอิริยาบถไหน ให้รีบแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เป็นเรื่องของเราทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของเรา พยายามเดินให้ถึงจุดหมาย
บุญสมมติเราก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวยให้ บุญมากบุญน้อย ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ