หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 15 วันที่ 3 มีนาคม 2561

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 15 วันที่ 3 มีนาคม 2561
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561 ลำดับที่ 15 วันที่ 3 มีนาคม 2561
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2561
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี2561 ลำดับที่ 15
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 มีนาคม 2561

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว

การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรานั้นแหละที่เรียกว่า สติรู้กาย ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม

ถ้าหลักของความเป็นจริงเราก็ต้องรู้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บก็รู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกปั๊บ การหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ จะรู้ทีจะดูทีก็อึดอัด หายใจก็อึดอัด กายก็อึดอัดสารพัดอย่างเพราะความไม่เคยชิน ความเคยชินแบบโลกๆ

ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติลงที่กายของเรา แล้วก็รู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ใจคิดปรุงแต่งส่งไปภายนอกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร ความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเรานี่แหละเขาผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เราจงเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนามหรือว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกในหลักธรรมซึ่งเป็นข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด คือ ความเห็นถูก

คลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจที่คลายออกจากขันธ์ห้าเขาก็จะหงายขึ้นมา เขาก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา ตามดู รู้ เห็น การเกิดการดับของขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไรเราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในคำว่า อัตตา-อนัตตา เข้าใจคำว่า สมมติ-วิมุตติ เข้าใจเข้าถึง เข้าถึง รู้ด้วย เห็นด้วย ตามดูได้ด้วย แต่เวลานี้กำลังสติของพวกเรามีน้อยมีไม่เพียงพอหรืออาจจะมีเป็นบางครั้ง

ส่วนศรัทธานั้นก็มีอยู่ ความเสียสละการสร้างบารมีส่วนอื่นนั้นก็มีอยู่ แต่กำลังสติมีไม่เพียงพอก็เลยรู้ไม่เท่าทันการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม อะไรเป็นส่วนรูป อะไรเป็นส่วนนาม เราจงหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า คลายความหลง ความรู้ตัวของเราก็จะตามดู รู้ เห็น มากขึ้นๆๆ จนกลายเป็นมหาสติ จนกลายเป็นมหาปัญญา จนกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร

รู้จักแก้ไขใจของเรา ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตนให้มีให้เกิดขึ้น ใจของเรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจของเรามีความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัย อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี เจริญพรหมวิหารให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราอยู่ตลอดเวลl อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล

แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็นำมาเปิดเผยหลายร้อยหลายพันปี ความเป็นจริง อริยสัจก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ต้องพยายามวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล จนรู้แจ้งเห็นจริง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน

ใจทุกดวงเขามีความบริสุทธิ์อยู่ดั้งเดิม แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ หลงมาเกิด หลงเกิด ใจของเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด แล้วก็หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า ซึ่งร่างกายของเรานี่แหละ แล้วก็มายึดมาติด แล้วเกิดต่อ แล้วก็ไปสร้างภพโน้นภพนี้ต่อ แต่เวลานี้เราอยู่ในภพของมนุษย์

พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติลงเข้าไปดูรู้อยู่ในกายของเราว่ามีอะไรบ้างที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงหลงถึงยึด ถ้าเราไม่เจริญสติเข้าไปรู้เห็นแยกแยะได้ เราก็จะไม่เข้าใจ ก็จะอยู่ด้วยความหลง อาจจะหลงในการสร้างคุณงามความดี หลงอยู่ในบุญ การเกิดนั่นแหละคือความหลงอันลุ่มลึก การเกิด การคิด การปรุง การแต่ง ถ้าเรามาสังเกตมาวิเคราะห์ ดูรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงเราก็จะเข้าใจ เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน

ญาติโยมเป็นอะไรล่ะ ช่วยกันด้วย ไม่เป็นไร ช่วยกันดูแล นี่แหละดูใจให้เป็นปกติ สภาพร่างกายของคนเราก็เป็นก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็เป็นโน้นเดี๋ยวก็เป็นนี่ แล้วก็เกิดอาการโน้นอาการนี้แสดงให้เราเห็น เราก็ช่วยกันแก้ไขช่วยกันประคับประคอง นี่แหละเขาแสดงให้รู้ให้เห็นว่ากายไม่ได้อยู่ในอำนาจของใจ เขาก็เป็นก้อนทุกข์ เดี๋ยวก็เป็นโน้นเดี๋ยวก็เป็นนี้ เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หิว เราก็จงพยายามทำความเข้าใจแล้วก็รู้จักแก้ไขขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ถ้าหมดลมหายใจก็มีตั้งแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ถ้าผู้รู้ ละบาป ละอกุศล เจริญกุศลให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา แล้วก็รู้จักปล่อยรู้จักวาง รู้จักบริหารด้วยสติด้วยปัญญา เราก็จะได้มีสงบมีความสุขไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ก็ต้องพยายามกัน ช่วยกันแก้ไข เดี๋ยวก็หาย ไม่เป็นไร

ทุกคนมีบุญมีกุศลได้ฟังนิดเดียวไปเจริญสติเจริญปัญญา กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร ความคิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราก็จะได้รีบแก้ไขขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนิด ให้ต่อเนื่อง ถ้าใจของเรามีความกังวลเราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ทำใจให้สงบ ทำใจให้ปกติ มีอะไรเราก็แก้ไขกันไป สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ

พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง