
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 124
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 124
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 124
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 ธันวาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด วางความนึกคิดปรุงแต่ง หยุด หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ วางภาระหน้าที่ทางสมมติ ทางบ้านทางช่องข้าวของลูกหลานเราก็วางมาน้อมกายของเราเข้ามาวัด มาทำบุญถวายทาน
ทีนี้เราก็มาเจริญสติ มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ซึ่งเราก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสังเกต ขาดการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘รู้กาย’ ความคิดเก่าปัญญาเก่าของเรานั้นมีเต็มเปี่ยม ความคิดที่เกิดจากใจบ้าง ความคิดที่เกิดจากอาการของขันธ์ห้าบ้าง ความคิดที่เกิดจากส่วนสมองบ้าง เขารวมกันไปทั้งก้อน เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ ยังหลงอยู่
เพราะว่าใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์มาสร้างอัตภาพร่างกายขันธ์ห้า คือร่างกายของเรา แล้วก็มายึดติดในกายนี้ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ
แต่ในหลักธรรม พระพุทธองค์ท่านบอกว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่ธาตุสี่ ขันธ์ห้า มาประชุมกันเข้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ท่านมองเห็นมีแต่ความว่างเปล่า แต่พวกเรามองเห็น เป็นตัวเป็นตนเป็นก้อน ท่านมองด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญา มองเห็นเป็นก้อนด้วยปัญญาสมมติ มองเห็นอนัตตาด้วยปัญญาวิมุตติ
เราอยากจะรู้ความเป็นจริง เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง กายเวทนา กายรูป รูปกายนี้ส่วนรูป ส่วนวิญญาณนั้นเป็นนาม
แต่เราขาดการสังเกต เราก็รู้เพียงแค่ว่าเราคิด เราก็รู้เพียงแค่ว่าเราทำ แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอำนาจของกิเลส ทำตามอำนาจของความหลง ความหลงก็มีหลาย มีทั้งหยาบ ทั้งละเอียด มันแยกแยะลงไปจนกระทั่งความไม่อยาก ความไม่อยาก ทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก ความยึด ยึดติดในกายของเรา อยากจะรู้ความจริง ปรารถนาที่จะรู้ความจริง
เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้เท่ารู้ทัน เห็นเหตุเห็นผล การเกิดการดับ การแยกการคลายทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงจนเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ปรากฎขึ้นที่ใจของเราว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาความว่างเปล่าเป็นลักษณะอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราแยกแยะได้เราถึงจะเข้าถึงคำสอน แล้วก็เข้าถึงความหมายภาษาธรรมภาษาโลกแต่เวลานี้เขารวมกันไปทั้งก้อน อาจจะถูกก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ความหลงก็ยังครอบงำอยู่
บุคคลที่จะรู้ความจริงตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ แล้วก็มีความเสียสละ ละขัดเกลากิเลสทั้งหยาบ ทั้งละเอียดออกจากจิตใจของเราจนหมดจดนั้นแหละ ถึงเราละไม่ได้หมดก็ขอให้อยู่ในบุญอยู่ในอานิสงส์เอาไว้ แต่ละวันๆ เราหมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตรา เพียงแค่ระดับของสมมติ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี
เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เราก็ต้องหมั่นพยายามแก้ไขตัวเรา เจริญสติเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา กิเลสมันก็เล่นงานอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในอานิสงส์แห่งบุญ เพราะว่าอีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ ทุกคนมีความเกิดก็มีความตาย เกิดทางกายเนื้อก็ตายทางกายเนื้อ ส่วนการเกิดการดับทางด้านจิตวิญญาณเขาก็เกิดๆ ดับๆ แต่ละเรื่องอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่าเกิดตั้งกี่เรื่องนับไม่ถ้วน นั่นแหละความเกิด ถ้ากายเนื้อแตกดับเขาก็ไม่เกิดต่อ ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้ ก็ขอให้เกิดอยู่ในอานิสงส์แห่งบุญ บุญมากเราก็ทำ บุญน้อยเราก็ทำ เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุ เราก็มีส่วนแห่งบุญ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เราก็ได้บุญ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ สัจจะ ความเพียร การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ถ้าเราสอนเราไม่ได้ อย่าไปให้คนอื่นเขาสอนเลยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ไม่รู้จักการเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ถึงจะพูดกันปากเปียกปากแฉะ ก็ไม่เอาไปแก้ไขตัวเอง
ถ้าคนจะเข้าถึงธรรม เพียงแค่ฟังนิดเดียว รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร รู้จักแก้ไขรู้จักปรับปรุงทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งสมมติ วิมุตติ สมมติอะไรเราขาดตกบกพร่อง ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกันหมดจนกระทั่งถึงวันหมดลมหายใจ
เราจงพยายามขยัน อย่าพากันเกียจคร้าน เกียจคร้านอยู่ที่ไหนก็ไม่ดี เป็นพระก็ไม่ดี เป็นชีก็ไม่ดีเป็นโยมก็ไม่ดีถ้ามีความเกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ ไปที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความลำบาก มีตั้งแต่ความเหี่ยวความแห้ง เราพยายามเจริญพรหมวิหาร ความเสียสละความอดทน ให้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็พยายามช่วยกัน
อันนี้ใกล้จะถึงวันงานปีใหม่ ก็ปีใหม่ก็ขอเชิญชวนพี่น้องเรามาร่วมสวดมนต์ข้ามปีที่ปางลีลาหลวงปู่ใหญ่ปางลีลา เหมือนกับทุกปี นี่พระเหล่าชีเราก็ไปช่วยกันทำความสะอาด ไปขนกิ่งไม้เพราะว่าได้ตัดต้นไม้รอบข้างลานหลวงปู่ใหญ่ออก เพื่อที่จะสร้างวิหารใหญ่ครอบองค์หลวงปู่ใหญ่นี้ทั้งหมด ทั้งลานกว้างทั้งหมด ก็จะได้มีความร่มรื่นร่มเย็น เราไปทำความสะอาดช่วยกันจะได้เสร็จได้ทันปีใหม่ พระเราก็ไปช่วยกัน ชีเราก็ไปช่วยกัน จิตอาสา ฆราวาส ญาติโยม มีโอกาสก็ไปช่วยกัน
ยิ่งพระเรานี่แหละให้พยายามขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ให้กระตือรือร้น อย่าพาให้ตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ จงพยายามสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละอย่าเห็นแก่นิวรณ์เข้าครอบงำ เห็นแก่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ถ้าความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้วไปอยู่ที่ไหนมีตั้งแต่ความเสื่อม มีตั้งแต่ความเสื่อม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไปที่ไหนก็ลำบาก
เราพยายามพึ่งตนให้ได้ทั้งภายนอกภายใน แก้ไขตัวเราให้ได้ทั้งภายนอกภายใน ไปอยู่ที่ไหนเราก็มีตั้งแต่ความอาจหาญ กล้าหาญ ไปอยู่ที่ไหนเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ การกระทำของเราให้ถึงพร้อมมันถึงจะเกิดประโยชน์ แล้วก็เจริญสติไปอบรมกาย วาจา ใจของเรา ก็หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา อย่าให้เป็นสะสมกิเลสเหมือนกับดินพอกหางหมู เราก็พยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 ธันวาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด วางความนึกคิดปรุงแต่ง หยุด หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ วางภาระหน้าที่ทางสมมติ ทางบ้านทางช่องข้าวของลูกหลานเราก็วางมาน้อมกายของเราเข้ามาวัด มาทำบุญถวายทาน
ทีนี้เราก็มาเจริญสติ มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ซึ่งเราก็หายใจอยู่ตั้งแต่เกิด แต่เราขาดการสังเกต ขาดการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘รู้กาย’ ความคิดเก่าปัญญาเก่าของเรานั้นมีเต็มเปี่ยม ความคิดที่เกิดจากใจบ้าง ความคิดที่เกิดจากอาการของขันธ์ห้าบ้าง ความคิดที่เกิดจากส่วนสมองบ้าง เขารวมกันไปทั้งก้อน เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ ยังหลงอยู่
เพราะว่าใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์มาสร้างอัตภาพร่างกายขันธ์ห้า คือร่างกายของเรา แล้วก็มายึดติดในกายนี้ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นตัวตนของเราจริงๆ
แต่ในหลักธรรม พระพุทธองค์ท่านบอกว่าไม่มีอะไรเลย มีแต่ธาตุสี่ ขันธ์ห้า มาประชุมกันเข้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ท่านมองเห็นมีแต่ความว่างเปล่า แต่พวกเรามองเห็น เป็นตัวเป็นตนเป็นก้อน ท่านมองด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญา มองเห็นเป็นก้อนด้วยปัญญาสมมติ มองเห็นอนัตตาด้วยปัญญาวิมุตติ
เราอยากจะรู้ความเป็นจริง เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ที่ท่านบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นกองเป็นขันธ์ได้อย่างไร ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง กายเวทนา กายรูป รูปกายนี้ส่วนรูป ส่วนวิญญาณนั้นเป็นนาม
แต่เราขาดการสังเกต เราก็รู้เพียงแค่ว่าเราคิด เราก็รู้เพียงแค่ว่าเราทำ แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอำนาจของกิเลส ทำตามอำนาจของความหลง ความหลงก็มีหลาย มีทั้งหยาบ ทั้งละเอียด มันแยกแยะลงไปจนกระทั่งความไม่อยาก ความไม่อยาก ทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก ความยึด ยึดติดในกายของเรา อยากจะรู้ความจริง ปรารถนาที่จะรู้ความจริง
เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ รู้เท่ารู้ทัน เห็นเหตุเห็นผล การเกิดการดับ การแยกการคลายทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงจนเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ปรากฎขึ้นที่ใจของเราว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร อนัตตาความว่างเปล่าเป็นลักษณะอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราแยกแยะได้เราถึงจะเข้าถึงคำสอน แล้วก็เข้าถึงความหมายภาษาธรรมภาษาโลกแต่เวลานี้เขารวมกันไปทั้งก้อน อาจจะถูกก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ความหลงก็ยังครอบงำอยู่
บุคคลที่จะรู้ความจริงตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ แล้วก็มีความเสียสละ ละขัดเกลากิเลสทั้งหยาบ ทั้งละเอียดออกจากจิตใจของเราจนหมดจดนั้นแหละ ถึงเราละไม่ได้หมดก็ขอให้อยู่ในบุญอยู่ในอานิสงส์เอาไว้ แต่ละวันๆ เราหมั่นสำรวจ หมั่นตรวจตรา เพียงแค่ระดับของสมมติ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี
เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เราก็ต้องหมั่นพยายามแก้ไขตัวเรา เจริญสติเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา กิเลสมันก็เล่นงานอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในอานิสงส์แห่งบุญ เพราะว่าอีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น เพราะว่าเป็นกฎของไตรลักษณ์ ทุกคนมีความเกิดก็มีความตาย เกิดทางกายเนื้อก็ตายทางกายเนื้อ ส่วนการเกิดการดับทางด้านจิตวิญญาณเขาก็เกิดๆ ดับๆ แต่ละเรื่องอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่าเกิดตั้งกี่เรื่องนับไม่ถ้วน นั่นแหละความเกิด ถ้ากายเนื้อแตกดับเขาก็ไม่เกิดต่อ ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้ ก็ขอให้เกิดอยู่ในอานิสงส์แห่งบุญ บุญมากเราก็ทำ บุญน้อยเราก็ทำ เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุ เราก็มีส่วนแห่งบุญ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เราก็ได้บุญ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละ สัจจะ ความเพียร การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ถ้าเราสอนเราไม่ได้ อย่าไปให้คนอื่นเขาสอนเลยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ไม่รู้จักการเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา ถึงจะพูดกันปากเปียกปากแฉะ ก็ไม่เอาไปแก้ไขตัวเอง
ถ้าคนจะเข้าถึงธรรม เพียงแค่ฟังนิดเดียว รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็ไปทำความเพียร รู้จักแก้ไขรู้จักปรับปรุงทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจอยู่ตลอดเวลา ทั้งสมมติ วิมุตติ สมมติอะไรเราขาดตกบกพร่อง ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกันหมดจนกระทั่งถึงวันหมดลมหายใจ
เราจงพยายามขยัน อย่าพากันเกียจคร้าน เกียจคร้านอยู่ที่ไหนก็ไม่ดี เป็นพระก็ไม่ดี เป็นชีก็ไม่ดีเป็นโยมก็ไม่ดีถ้ามีความเกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละ ไปที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความลำบาก มีตั้งแต่ความเหี่ยวความแห้ง เราพยายามเจริญพรหมวิหาร ความเสียสละความอดทน ให้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็พยายามช่วยกัน
อันนี้ใกล้จะถึงวันงานปีใหม่ ก็ปีใหม่ก็ขอเชิญชวนพี่น้องเรามาร่วมสวดมนต์ข้ามปีที่ปางลีลาหลวงปู่ใหญ่ปางลีลา เหมือนกับทุกปี นี่พระเหล่าชีเราก็ไปช่วยกันทำความสะอาด ไปขนกิ่งไม้เพราะว่าได้ตัดต้นไม้รอบข้างลานหลวงปู่ใหญ่ออก เพื่อที่จะสร้างวิหารใหญ่ครอบองค์หลวงปู่ใหญ่นี้ทั้งหมด ทั้งลานกว้างทั้งหมด ก็จะได้มีความร่มรื่นร่มเย็น เราไปทำความสะอาดช่วยกันจะได้เสร็จได้ทันปีใหม่ พระเราก็ไปช่วยกัน ชีเราก็ไปช่วยกัน จิตอาสา ฆราวาส ญาติโยม มีโอกาสก็ไปช่วยกัน
ยิ่งพระเรานี่แหละให้พยายามขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ให้กระตือรือร้น อย่าพาให้ตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ จงพยายามสร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละอย่าเห็นแก่นิวรณ์เข้าครอบงำ เห็นแก่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ถ้าความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้วไปอยู่ที่ไหนมีตั้งแต่ความเสื่อม มีตั้งแต่ความเสื่อม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไปที่ไหนก็ลำบาก
เราพยายามพึ่งตนให้ได้ทั้งภายนอกภายใน แก้ไขตัวเราให้ได้ทั้งภายนอกภายใน ไปอยู่ที่ไหนเราก็มีตั้งแต่ความอาจหาญ กล้าหาญ ไปอยู่ที่ไหนเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ การกระทำของเราให้ถึงพร้อมมันถึงจะเกิดประโยชน์ แล้วก็เจริญสติไปอบรมกาย วาจา ใจของเรา ก็หมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา อย่าให้เป็นสะสมกิเลสเหมือนกับดินพอกหางหมู เราก็พยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ