หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 27
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 27
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 27
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 มีนาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน สามเณรก็..นั่งไม่พอกันก็ตั้งแถวที่ 3 นะ ขยับขยายขึ้นมาแถวที่สาม ลูกพระลูกเณร ลูกเณรมาบวช ขยันขันแข็ง มีความเพียร เห็นแล้วก็ชื่นชม มาฝึกตั้งแต่ตัวน้อยๆ ห่างจากพ่อจากแม่ห่างจากครอบครัว ตัดความอาลัยกังวลต่างๆ ออก โตขึ้นไปก็จะเดินปัญญาได้เร็วได้ไว ปลูกฝังทรัพย์ภายในไว้ให้ลูกหลาน
ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เก่ง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ฝึกความเสียสละ ความอดทน ความขยัน ความรับผิดชอบ จากตัวเล็กๆ โตขึ้นไปก็จะพัฒนาเรื่องปัญญา การทำความเข้าใจในหลักธรรมได้เร็วได้ไว ขยับ..ถ้านั่งไม่พอกันก็ขยับขึ้นมาไม่ต้องไปชิดกำแพงมากเกินไป สามเณรบวชใหม่บวชเพิ่มทุกวันโรงเรียนปิดเทอม
ดูดีๆ การเข้ามาบวชก็อดอาหาร เคยได้ทาน 2 มื้อ 3 มื้อ ก็อดลงเหลืออยู่มื้อ 2 มื้อ กายก็จะหิว ใจจะเกิดความอยาก เห็นอันนู้นอันนี้ก็อร่อย กิเลสสั่งงานบอกว่าเอาเยอะๆ บอกว่างั้น ถ้าใจเกิดความอยากก็ไม่ต้องเอา พยายามหยุด พยายามดับ ถ้ามันดับไม่ได้ก็นั่งดู ไม่ต้องเอาให้ผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วก็ใจมันยังอาลัยอาวรณ์หรือไม่อีกเราก็ต้องดูอีก ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลยทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ที่พักที่หลับที่นอนเราเก็บที่พักที่หลับที่นอนทำความสะอาดดีแล้วหรือยัง ความเป็นอยู่ของเรา จะลุกจะก้าวจะเดินจะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ มีสติรู้กายรู้ใจ จะไปบิณฑบาตไปนู้นไปนี่ ให้มีสติทุกอิริยาบถ รู้กายของตัวเราอะไรยังขาดกตกบกพร่อง
เรามีความเกียจคร้าน ถ้าคนเราสร้างสะสมความเกียจคร้าน ก็อีกหน่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ก็เลยเป็นสันดอนสันดานติดเป็นนิสัย ถ้าเราสร้างความขยันหมั่นเพียรจากน้อยๆ ไปหามากขึ้นๆ ไม่มีความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไม่มีนิวรณ์เข้าครอบงำ สนุกในการทำงาน ทำงานไปด้วยมีความสุขไปด้วยได้ประโยชน์ไปด้วย เอาไปใช้กับชีวิต โตขึ้นไปก็ได้พิจารณาอะไรคือกองรูปอะไรคือกองนาม อัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร
ดูดีๆ นะก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา เอามากก็เหลือเอาน้อยก็ไม่อิ่มให้กะพอดี วันนี้เรากะเอาเท่านี้ วันพรุ่งนี้ถ้าเรากะไม่ถูกเราก็รู้จักกะ กะว่าให้อิ่ม ไม่อิ่ม..กะว่าไม่อิ่ม ดื่มน้ำเข้าไปอิ่มพอดี อะไรที่เกิดความอยากก็พยายามดับ ต่อไปจะเอาก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปเอา พระเรา ชีเราเหมือนกันหมด พิจารณาเหมือนกันหมด ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันหมด
ถ้าเข้าใจ เข้าใจในหลักธรรม ไม่เอาด้วยความอยาก ให้เอาด้วยเหตุผล ใหม่ๆ เนี่ยจะทวนกระแสกิเลส กิเลสมันชอบอันนู่นชอบอันนี้ สั่งเอาอันโน้นอันนี้ กลัวไม่อิ่ม เอาเยอะๆ เอาเยอะๆ แล้วก็ไปทิ้ง มองซ้ายมองขวา มองหมู่มองคณะ มองข้างบนมองข้างล่างมองกลางใจของเราอาหารแต่ละชิ้นอาหารแต่ละส่วน ต้องให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย
ว่าไง เอ่อ..จะมาบวชลูกสาว ใจบุญ พ่อใจบุญแม่ใจบุญ ลูกสาวอยู่ไม่ได้ต้องได้มาบวชเดินปัญญา นั่นแหละอานิสงส์ผลบุญของพ่อของแม่ส่งถึงลูก พ่อแม่ยังเดินปัญญาไม่ถึงจุดหมายหลุดพ้นยังไม่ได้ ลูกสาวก็จะเดินต่อให้ถึงในทางธรรม ถึงวาระเวลาก็ถึงจุดหมายกันหมดทุกคน มีโอกาสก็ได้มาบวช มาบวชชี
สามเณรน้อยดูดีๆ นะ กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ถ้าใจเกิดความอยากอันโน้นอันนี้เราก็ปล่อย อยากเราไม่เอาให้มันหยุด หยุดไม่ได้ก็ให้ผ่านเลยไป กายก็หิวใจจะเกิดความอยากปรุงแต่งได้เร็วได้ไว เห็นอาหารอันนู้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย กิเลสมันบอกว่าเอาเยอะๆ เอาน้อยๆ กลัวไม่อิ่มบอกว่างั้น ถ้าเราไม่รู้จะแก้ไขมันก็มากขึ้นๆๆ
เหมือนจะเล่านิทานอันหนึ่งให้ฟัง นิทานเป็นเรื่องจริง มีหลวงตา 2 องค์ 3 องค์ สมัย 20 ปีก่อนเคยมาอยู่ด้วย หลวงตาก็โลภ เป็นคนโลภ บวชอายุเยอะ เห็นใครมาก็เดินดักไปขอ ขอของ ขออันนั่นขออันนี้ ไม่ว่าที่หลวงปู่ใหญ่เห็นญาติโยมมาเนี่ยจะเดินดัก 2 คน 2 องค์ เขาชวนกันทำกระติบข้าวใบใหญ่เบ้อเริ่ม กระติบใส่ข้าวรุ่นสมัยเก่า นึกว่าจะสานทำอะไร สานกระติบข้าวใบใหญ่ๆ ทีนี้ก็ใครมาทำบุญทำอะไร สบู่ยาสีฟัน อะไรต่างๆ เก็บไว้ในกระติบข้าวจนเต็มจนล้น ทีนี้จะเอาก็ขอลากลับบ้านทั้ง 2 คน ก็ลากลับบ้านนอก ไปไม่ไหวก็ช่วยกันหาม หามกระติบข้าวใหญ่ อาหาร ปลากระป๋อง ทุกสิ่งทุกอย่างเก็บใส่จะเอาไป จะไปบ้าน..จะเอาไปบ้าน หามไปโน่น..ไปขึ้นรถสองแถวอยู่ที่บ้านสำราญ พากันหามไปหลวงตา 2 คน พอจะขึ้นรถสองแถวเท่านั่นแหละ ไอ้กระติบข้าวมันร่วง ของเต็มถนนหมดเลย ประจานตัวเอง
ไปบิณฑบาตก็เหมือนกัน เวลาไปบิณฑบาตเกิดอิจฉา สมัยนั้นก็มีสุนัขมีนางเก๋ ชื่อว่าเก๋เดี๋ยวนี้ก็ตายไปแล้วแหละ ไปบิณฑบาต บางทีก็ได้ข้าวได้อาหารแห้ง บางทีก็ได้ปิ้งไก่ขาไก่ทีละชิ้น มาทีละชิ้น ที่นี่พระท่านก็มาถึงศาลา ท่านก็เก็บเอาไว้ให้หมาสักชิ้นหนึ่ง โกรธให้พระใหญ่ว่างั้น มึงเห็นหมาดีกว่าพระ อย่างงั้นอย่างนี้ อิจฉาหมาล่ะทีเนี่ย อิจฉาหมาว่า หมาได้กินดีกว่าพระว่างั้น อิจฉาเกิดความโกรธ เกิดความอิจฉา
มีวันหนึ่งท่านได้ออกหน้าบิณฑบาต ออกหน้าพระ ออกหน้าพระท่านได้เป็นหัวแถว ไปบิณฑบาตโยมก็ใส่ไอ้ปิ้งไก่ ขาไก่เหมือนกันนั่นแหละ แกก็ไม่เอาใส่บาตรนะ เขาเอา โยมใส่บาตร แล้วแกก็ดึงออกจากบาตร มาใส่พกผ้าตัวเอง เหน็บใส่พกผ้า เดินไปๆ เดินไป ได้ประมาณสัก 3-4 ชิ้นนี่แหละ แกก็ออกมาเหน็บพกผ้า ช่วงเดินออกมา ออกจากหมู่บ้านมา เดินไปเดินมาขาไก่มันก็หลุดออกกับพกผ้าทีละชิ้นๆ เนี่ยทีนี้พระท่านก็เก็บเอาไว้ มันหล่น ก็เก็บเอาไว้ๆ พอมาถึงศาลานี้แหละมา แกก็คงจะมาดูขาไก่ของแกที่เหน็บไว้ในพกผ้า หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ มันจะไปเจอได้อย่างไรมันร่วงหมด ความอิจฉาริษยา ความโลภเพียงแค่กับสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ก็เกิดความอิจฉาริษยา เกิดความโลภนั่นแหละ กิเลสเล่นงานเอา เลยไม่ได้..เลยไม่ได้สักอย่าง เลยไม่ได้สักอย่าง ขาดพรหมวิหาร ขาดความเมตตา
มีพระอีกองค์หนึ่ง ก็มาอยู่ด้วยเหมือนกันนี่แหละ พูดเก่ง พูดเก่งสอนธรรมะเก่ง แต่จิตใจมีแต่ความโลภ ไปบิณฑบาตเหมือนกัน ไปบิณฑบาตไปด้วยกัน 3-4 รูป เดินหัวแถว กลับมา กลับมาถึงศาลาไม่เอาอาหารมาลงไว้ในศาลา หอบหนีหมดคนเดียว บอกว่าตัวเองไปบิณฑบาตได้เป็นของตัวเองว่างั้น เพื่อนเลยไม่ได้กิน ได้กินแต่ข้าวเปล่า เป็นผู้นำ นำเพื่อนว่าญาติโยมใส่บาตรนี้ก็ใส่องค์หัวแถว อาหารก็ได้แบ่งสรรปันส่วน แต่ท่านบอกว่าท่านบิณฑบาตได้ ท่านเอาคนเดียวองค์เดียว ไม่ให้หมู่ให้คณะทานด้วย นั่นแหละความเสียสละไม่มีความนั้นไม่มีจะเป็นผู้นำคนได้อย่างไร เป็นผู้ช่วยเหลือผู้อนุเคราะห์ได้อย่างไร จะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร ความเสียสละก็ไม่มีการละกิเลสก็ไม่มี พรหมวิหารก็ไม่มี มีตั้งแต่ความอยาก ความตระหนี่เหนียวแน่นเข้าครอบงำมันก็เลยอัดอั้น
จากอายุน้อยๆ ก็อายุมากขึ้น มันก็เยอะขึ้นๆๆ จนเอาไม่อยู่ จนมี จนอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ยิ่งมี..ถ้าคนไม่รู้จักละกิเลส ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็อัตตายิ่งโต ไม่ได้ใหญ่ด้วยพรหมวิหาร ใหญ่ด้วยความเมตตา ใหญ่ด้วยสติปัญญา อันนั้นใหญ่ด้วยอัตตา ด้วยทิฏฐิด้วยมานะ กิเลสเล่นงานอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเป็นบุคคลที่ฉลาด กลับเป็นบุคคลที่โง่เขลาเบาปัญญา น่าสงสารเหมือนกันแทนที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจ กลับสร้างสะสมกิเลสความอยาก อยากมีอยากเป็นทะเยอทะยานอยาก แล้วอัดเข้าไปๆ จนเอาไม่ออก จนคลายไม่ออก
ไม่เหมือนกับเด็กๆ เด็กๆ ที่ฝักใฝ่มาฝึกเณร เป็นผู้เสียสละ ผู้ช่วยเหลือ ผู้อนุเคราะห์ ตั้งแต่ตัวเล็กๆ โตขึ้นไปมีแต่เป็นผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ ค่อยฝึกฝนไปเรื่อยๆ โตขึ้นไปกิเลสก็เบาบางเข้าไปเบาบางเข้าไปเรื่อยๆ ก็เข้าถึงธรรมได้เร็วได้ไว ส่วนมากก็ถ้าไม่รู้จักขัดจักเกลาจักละก็สะสมหนักเข้าไปๆ อายุมากเท่าไหร่ยากจะปล่อย ยากจะวางก็วางไม่ได้เพราะมันอัดแน่น กิเลสมันอัดแน่น อัดทั้งลาภยศสรรเสริญสารพัดอย่าง ทั้งกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความยึด ความติดมันอัดเข้าไปๆ จะไปโทษใครถ้าไม่โทษเรา ไม่รู้จักแก้ไข ฝึกเท่าไหร่มันก็เอาไม่ออก เพราะว่ามันอัดแน่นมานานไม่ยอมเอาออก มันก็เลยหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในความโลภความโกรธอยู่ตลอดเวลา
การฝึกหัดปฏิบัติก็เพื่อที่จะละกิเลส ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ความหลงนี้คือการแยกรูปแยกนาม ใจหงายขึ้นมาพลิกขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกในหลักธรรม ถ้าใจแยกไม่ได้หงายขึ้นมาไม่ได้ เพียงแค่ความเกิดของใจนั้นก็คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดเขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พอมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ก็มายึดติดในอัตภาพร่างกาย แล้วก็ยึดติดในสิ่งต่างๆ
ท่านให้คลายภายใน ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ให้อยู่ในพรหมวิหาร ให้อยู่ในความเมตตา ให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้อยู่ในความถูกต้อง จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องความขยันของเหตุของผลของสติปัญญา มีได้เป็นได้ทำได้ด้วยเหตุด้วยผลโดยใจที่ไม่เข้าไปหลงเข้าไปยึด
การพูดง่าย แต่การปฏิบัติจริงๆ เนี่ยต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ กายเป็นอย่างไรใจเป็นอย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหารกายหิวหรือใจอยาก กายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลก ต้องแยกภายในของเราให้ได้ถึงจะมองเห็นความเป็นจริงได้ ถ้าแยกไม่ได้นี่มันก็ยังดีอยู่ในกองบุญกองกุศล หมั่นสร้างบารมีสะสมไปเรื่อยๆ ถึงเวลามันก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน แต่ต้องเป็นความเพียรที่ถูกต้องมันถึงจะถึงจุดหมายได้เร็ว ได้ไว
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เราต้องอาศัยสติปัญญาของพระพุทธองค์ คนเราเกิดมาในโลกนี้ก็มีอุปสรรคหมดนั่นแหละ อุปสรรคมากอุปสรรคน้อย ปัญหามากปัญหาน้อย เราก็มาช่วยกันแก้ปัญหา ปัญหาสมมติอะไรมันยังขาดตกบกพร่อง เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ถ้าปัจจัยสี่ของเราไม่สมบูรณ์ก็ลำบาก บ้านพักไม่มีที่พักไม่มีก็ลำบาก อาหารการอยู่ไม่มีไม่สมบูรณ์ก็ลำบาก ห้องส้วมห้องน้ำไม่มีก็สภาพกายก็ลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในปัจจัยสี่ แล้วก็ยังสมมติให้สมบูรณ์แบบด้วยสติด้วยปัญญา รอบรู้ในโลกธรรม
โลกธรรมมันมีทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ มันเป็นของคู่กัน ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่ปฏิบัติ ให้แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ขาดความขยันหมั่นเพียร ขาดการขัดเกลากิเลส หอบแต่กิเลสใส่ตัวเรา จะไปให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน ถ้าสอนตัวเราไม่ได้ไม่มีใครจะสอนให้เราได้หรอก ตำราครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ เราจะเดินหรือไม่เดินก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้าง ละขัดเกลากิเลสอยู่ตลอดเวลาละอายเกรงกลัวต่อบาป กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 มีนาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน สามเณรก็..นั่งไม่พอกันก็ตั้งแถวที่ 3 นะ ขยับขยายขึ้นมาแถวที่สาม ลูกพระลูกเณร ลูกเณรมาบวช ขยันขันแข็ง มีความเพียร เห็นแล้วก็ชื่นชม มาฝึกตั้งแต่ตัวน้อยๆ ห่างจากพ่อจากแม่ห่างจากครอบครัว ตัดความอาลัยกังวลต่างๆ ออก โตขึ้นไปก็จะเดินปัญญาได้เร็วได้ไว ปลูกฝังทรัพย์ภายในไว้ให้ลูกหลาน
ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เก่ง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ฝึกความเสียสละ ความอดทน ความขยัน ความรับผิดชอบ จากตัวเล็กๆ โตขึ้นไปก็จะพัฒนาเรื่องปัญญา การทำความเข้าใจในหลักธรรมได้เร็วได้ไว ขยับ..ถ้านั่งไม่พอกันก็ขยับขึ้นมาไม่ต้องไปชิดกำแพงมากเกินไป สามเณรบวชใหม่บวชเพิ่มทุกวันโรงเรียนปิดเทอม
ดูดีๆ การเข้ามาบวชก็อดอาหาร เคยได้ทาน 2 มื้อ 3 มื้อ ก็อดลงเหลืออยู่มื้อ 2 มื้อ กายก็จะหิว ใจจะเกิดความอยาก เห็นอันนู้นอันนี้ก็อร่อย กิเลสสั่งงานบอกว่าเอาเยอะๆ บอกว่างั้น ถ้าใจเกิดความอยากก็ไม่ต้องเอา พยายามหยุด พยายามดับ ถ้ามันดับไม่ได้ก็นั่งดู ไม่ต้องเอาให้ผ่านเลยไป ผ่านเลยไปแล้วก็ใจมันยังอาลัยอาวรณ์หรือไม่อีกเราก็ต้องดูอีก ไม่ใช่ไปปล่อยปละละเลยทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ที่พักที่หลับที่นอนเราเก็บที่พักที่หลับที่นอนทำความสะอาดดีแล้วหรือยัง ความเป็นอยู่ของเรา จะลุกจะก้าวจะเดินจะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ มีสติรู้กายรู้ใจ จะไปบิณฑบาตไปนู้นไปนี่ ให้มีสติทุกอิริยาบถ รู้กายของตัวเราอะไรยังขาดกตกบกพร่อง
เรามีความเกียจคร้าน ถ้าคนเราสร้างสะสมความเกียจคร้าน ก็อีกหน่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ก็เลยเป็นสันดอนสันดานติดเป็นนิสัย ถ้าเราสร้างความขยันหมั่นเพียรจากน้อยๆ ไปหามากขึ้นๆ ไม่มีความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไม่มีนิวรณ์เข้าครอบงำ สนุกในการทำงาน ทำงานไปด้วยมีความสุขไปด้วยได้ประโยชน์ไปด้วย เอาไปใช้กับชีวิต โตขึ้นไปก็ได้พิจารณาอะไรคือกองรูปอะไรคือกองนาม อัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร
ดูดีๆ นะก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา เอามากก็เหลือเอาน้อยก็ไม่อิ่มให้กะพอดี วันนี้เรากะเอาเท่านี้ วันพรุ่งนี้ถ้าเรากะไม่ถูกเราก็รู้จักกะ กะว่าให้อิ่ม ไม่อิ่ม..กะว่าไม่อิ่ม ดื่มน้ำเข้าไปอิ่มพอดี อะไรที่เกิดความอยากก็พยายามดับ ต่อไปจะเอาก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปเอา พระเรา ชีเราเหมือนกันหมด พิจารณาเหมือนกันหมด ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันหมด
ถ้าเข้าใจ เข้าใจในหลักธรรม ไม่เอาด้วยความอยาก ให้เอาด้วยเหตุผล ใหม่ๆ เนี่ยจะทวนกระแสกิเลส กิเลสมันชอบอันนู่นชอบอันนี้ สั่งเอาอันโน้นอันนี้ กลัวไม่อิ่ม เอาเยอะๆ เอาเยอะๆ แล้วก็ไปทิ้ง มองซ้ายมองขวา มองหมู่มองคณะ มองข้างบนมองข้างล่างมองกลางใจของเราอาหารแต่ละชิ้นอาหารแต่ละส่วน ต้องให้เกิดประโยชน์ให้มากมาย
ว่าไง เอ่อ..จะมาบวชลูกสาว ใจบุญ พ่อใจบุญแม่ใจบุญ ลูกสาวอยู่ไม่ได้ต้องได้มาบวชเดินปัญญา นั่นแหละอานิสงส์ผลบุญของพ่อของแม่ส่งถึงลูก พ่อแม่ยังเดินปัญญาไม่ถึงจุดหมายหลุดพ้นยังไม่ได้ ลูกสาวก็จะเดินต่อให้ถึงในทางธรรม ถึงวาระเวลาก็ถึงจุดหมายกันหมดทุกคน มีโอกาสก็ได้มาบวช มาบวชชี
สามเณรน้อยดูดีๆ นะ กะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ถ้าใจเกิดความอยากอันโน้นอันนี้เราก็ปล่อย อยากเราไม่เอาให้มันหยุด หยุดไม่ได้ก็ให้ผ่านเลยไป กายก็หิวใจจะเกิดความอยากปรุงแต่งได้เร็วได้ไว เห็นอาหารอันนู้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย กิเลสมันบอกว่าเอาเยอะๆ เอาน้อยๆ กลัวไม่อิ่มบอกว่างั้น ถ้าเราไม่รู้จะแก้ไขมันก็มากขึ้นๆๆ
เหมือนจะเล่านิทานอันหนึ่งให้ฟัง นิทานเป็นเรื่องจริง มีหลวงตา 2 องค์ 3 องค์ สมัย 20 ปีก่อนเคยมาอยู่ด้วย หลวงตาก็โลภ เป็นคนโลภ บวชอายุเยอะ เห็นใครมาก็เดินดักไปขอ ขอของ ขออันนั่นขออันนี้ ไม่ว่าที่หลวงปู่ใหญ่เห็นญาติโยมมาเนี่ยจะเดินดัก 2 คน 2 องค์ เขาชวนกันทำกระติบข้าวใบใหญ่เบ้อเริ่ม กระติบใส่ข้าวรุ่นสมัยเก่า นึกว่าจะสานทำอะไร สานกระติบข้าวใบใหญ่ๆ ทีนี้ก็ใครมาทำบุญทำอะไร สบู่ยาสีฟัน อะไรต่างๆ เก็บไว้ในกระติบข้าวจนเต็มจนล้น ทีนี้จะเอาก็ขอลากลับบ้านทั้ง 2 คน ก็ลากลับบ้านนอก ไปไม่ไหวก็ช่วยกันหาม หามกระติบข้าวใหญ่ อาหาร ปลากระป๋อง ทุกสิ่งทุกอย่างเก็บใส่จะเอาไป จะไปบ้าน..จะเอาไปบ้าน หามไปโน่น..ไปขึ้นรถสองแถวอยู่ที่บ้านสำราญ พากันหามไปหลวงตา 2 คน พอจะขึ้นรถสองแถวเท่านั่นแหละ ไอ้กระติบข้าวมันร่วง ของเต็มถนนหมดเลย ประจานตัวเอง
ไปบิณฑบาตก็เหมือนกัน เวลาไปบิณฑบาตเกิดอิจฉา สมัยนั้นก็มีสุนัขมีนางเก๋ ชื่อว่าเก๋เดี๋ยวนี้ก็ตายไปแล้วแหละ ไปบิณฑบาต บางทีก็ได้ข้าวได้อาหารแห้ง บางทีก็ได้ปิ้งไก่ขาไก่ทีละชิ้น มาทีละชิ้น ที่นี่พระท่านก็มาถึงศาลา ท่านก็เก็บเอาไว้ให้หมาสักชิ้นหนึ่ง โกรธให้พระใหญ่ว่างั้น มึงเห็นหมาดีกว่าพระ อย่างงั้นอย่างนี้ อิจฉาหมาล่ะทีเนี่ย อิจฉาหมาว่า หมาได้กินดีกว่าพระว่างั้น อิจฉาเกิดความโกรธ เกิดความอิจฉา
มีวันหนึ่งท่านได้ออกหน้าบิณฑบาต ออกหน้าพระ ออกหน้าพระท่านได้เป็นหัวแถว ไปบิณฑบาตโยมก็ใส่ไอ้ปิ้งไก่ ขาไก่เหมือนกันนั่นแหละ แกก็ไม่เอาใส่บาตรนะ เขาเอา โยมใส่บาตร แล้วแกก็ดึงออกจากบาตร มาใส่พกผ้าตัวเอง เหน็บใส่พกผ้า เดินไปๆ เดินไป ได้ประมาณสัก 3-4 ชิ้นนี่แหละ แกก็ออกมาเหน็บพกผ้า ช่วงเดินออกมา ออกจากหมู่บ้านมา เดินไปเดินมาขาไก่มันก็หลุดออกกับพกผ้าทีละชิ้นๆ เนี่ยทีนี้พระท่านก็เก็บเอาไว้ มันหล่น ก็เก็บเอาไว้ๆ พอมาถึงศาลานี้แหละมา แกก็คงจะมาดูขาไก่ของแกที่เหน็บไว้ในพกผ้า หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ มันจะไปเจอได้อย่างไรมันร่วงหมด ความอิจฉาริษยา ความโลภเพียงแค่กับสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ก็เกิดความอิจฉาริษยา เกิดความโลภนั่นแหละ กิเลสเล่นงานเอา เลยไม่ได้..เลยไม่ได้สักอย่าง เลยไม่ได้สักอย่าง ขาดพรหมวิหาร ขาดความเมตตา
มีพระอีกองค์หนึ่ง ก็มาอยู่ด้วยเหมือนกันนี่แหละ พูดเก่ง พูดเก่งสอนธรรมะเก่ง แต่จิตใจมีแต่ความโลภ ไปบิณฑบาตเหมือนกัน ไปบิณฑบาตไปด้วยกัน 3-4 รูป เดินหัวแถว กลับมา กลับมาถึงศาลาไม่เอาอาหารมาลงไว้ในศาลา หอบหนีหมดคนเดียว บอกว่าตัวเองไปบิณฑบาตได้เป็นของตัวเองว่างั้น เพื่อนเลยไม่ได้กิน ได้กินแต่ข้าวเปล่า เป็นผู้นำ นำเพื่อนว่าญาติโยมใส่บาตรนี้ก็ใส่องค์หัวแถว อาหารก็ได้แบ่งสรรปันส่วน แต่ท่านบอกว่าท่านบิณฑบาตได้ ท่านเอาคนเดียวองค์เดียว ไม่ให้หมู่ให้คณะทานด้วย นั่นแหละความเสียสละไม่มีความนั้นไม่มีจะเป็นผู้นำคนได้อย่างไร เป็นผู้ช่วยเหลือผู้อนุเคราะห์ได้อย่างไร จะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร ความเสียสละก็ไม่มีการละกิเลสก็ไม่มี พรหมวิหารก็ไม่มี มีตั้งแต่ความอยาก ความตระหนี่เหนียวแน่นเข้าครอบงำมันก็เลยอัดอั้น
จากอายุน้อยๆ ก็อายุมากขึ้น มันก็เยอะขึ้นๆๆ จนเอาไม่อยู่ จนมี จนอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ยิ่งมี..ถ้าคนไม่รู้จักละกิเลส ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็อัตตายิ่งโต ไม่ได้ใหญ่ด้วยพรหมวิหาร ใหญ่ด้วยความเมตตา ใหญ่ด้วยสติปัญญา อันนั้นใหญ่ด้วยอัตตา ด้วยทิฏฐิด้วยมานะ กิเลสเล่นงานอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเป็นบุคคลที่ฉลาด กลับเป็นบุคคลที่โง่เขลาเบาปัญญา น่าสงสารเหมือนกันแทนที่จะขัดเกลากิเลสออกจากจิตจากใจ กลับสร้างสะสมกิเลสความอยาก อยากมีอยากเป็นทะเยอทะยานอยาก แล้วอัดเข้าไปๆ จนเอาไม่ออก จนคลายไม่ออก
ไม่เหมือนกับเด็กๆ เด็กๆ ที่ฝักใฝ่มาฝึกเณร เป็นผู้เสียสละ ผู้ช่วยเหลือ ผู้อนุเคราะห์ ตั้งแต่ตัวเล็กๆ โตขึ้นไปมีแต่เป็นผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ ค่อยฝึกฝนไปเรื่อยๆ โตขึ้นไปกิเลสก็เบาบางเข้าไปเบาบางเข้าไปเรื่อยๆ ก็เข้าถึงธรรมได้เร็วได้ไว ส่วนมากก็ถ้าไม่รู้จักขัดจักเกลาจักละก็สะสมหนักเข้าไปๆ อายุมากเท่าไหร่ยากจะปล่อย ยากจะวางก็วางไม่ได้เพราะมันอัดแน่น กิเลสมันอัดแน่น อัดทั้งลาภยศสรรเสริญสารพัดอย่าง ทั้งกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความยึด ความติดมันอัดเข้าไปๆ จะไปโทษใครถ้าไม่โทษเรา ไม่รู้จักแก้ไข ฝึกเท่าไหร่มันก็เอาไม่ออก เพราะว่ามันอัดแน่นมานานไม่ยอมเอาออก มันก็เลยหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในความโลภความโกรธอยู่ตลอดเวลา
การฝึกหัดปฏิบัติก็เพื่อที่จะละกิเลส ก็เพื่อที่จะคลายความหลง ความหลงนี้คือการแยกรูปแยกนาม ใจหงายขึ้นมาพลิกขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกในหลักธรรม ถ้าใจแยกไม่ได้หงายขึ้นมาไม่ได้ เพียงแค่ความเกิดของใจนั้นก็คือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดเขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พอมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ก็มายึดติดในอัตภาพร่างกาย แล้วก็ยึดติดในสิ่งต่างๆ
ท่านให้คลายภายใน ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ให้อยู่ในพรหมวิหาร ให้อยู่ในความเมตตา ให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้อยู่ในความถูกต้อง จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องความขยันของเหตุของผลของสติปัญญา มีได้เป็นได้ทำได้ด้วยเหตุด้วยผลโดยใจที่ไม่เข้าไปหลงเข้าไปยึด
การพูดง่าย แต่การปฏิบัติจริงๆ เนี่ยต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ กายเป็นอย่างไรใจเป็นอย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหารกายหิวหรือใจอยาก กายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลก ต้องแยกภายในของเราให้ได้ถึงจะมองเห็นความเป็นจริงได้ ถ้าแยกไม่ได้นี่มันก็ยังดีอยู่ในกองบุญกองกุศล หมั่นสร้างบารมีสะสมไปเรื่อยๆ ถึงเวลามันก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน แต่ต้องเป็นความเพียรที่ถูกต้องมันถึงจะถึงจุดหมายได้เร็ว ได้ไว
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี เราต้องอาศัยสติปัญญาของพระพุทธองค์ คนเราเกิดมาในโลกนี้ก็มีอุปสรรคหมดนั่นแหละ อุปสรรคมากอุปสรรคน้อย ปัญหามากปัญหาน้อย เราก็มาช่วยกันแก้ปัญหา ปัญหาสมมติอะไรมันยังขาดตกบกพร่อง เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ถ้าปัจจัยสี่ของเราไม่สมบูรณ์ก็ลำบาก บ้านพักไม่มีที่พักไม่มีก็ลำบาก อาหารการอยู่ไม่มีไม่สมบูรณ์ก็ลำบาก ห้องส้วมห้องน้ำไม่มีก็สภาพกายก็ลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในปัจจัยสี่ แล้วก็ยังสมมติให้สมบูรณ์แบบด้วยสติด้วยปัญญา รอบรู้ในโลกธรรม
โลกธรรมมันมีทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ มันเป็นของคู่กัน ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่ปฏิบัติ ให้แต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ขาดความขยันหมั่นเพียร ขาดการขัดเกลากิเลส หอบแต่กิเลสใส่ตัวเรา จะไปให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน ถ้าสอนตัวเราไม่ได้ไม่มีใครจะสอนให้เราได้หรอก ตำราครูบาอาจารย์ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ เราจะเดินหรือไม่เดินก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ สร้าง ละขัดเกลากิเลสอยู่ตลอดเวลาละอายเกรงกลัวต่อบาป กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
ตั้งใจรับพรกัน