
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 94
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 94
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 94
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 สิงหาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ญาติโยมของเราก็มากันเยอะ มาทำบุญพิธีทั้งวันพระ ทั้งมาทำพิธีสามีจิกรรมบูชาคุณครูบาอาจารย์ ทั้งฆราวาสญาติโยม ตามหลักของความเป็นจริง เรานั่นแหละ ตัวเรานั่นแหละเป็นอาจารย์ของเรา ศึกษาเราแก้ไขเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเรา เจริญสติเข้าไปพิจารณาแก้ไข
ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พระเราชีเราก็พิจารณาดูดีๆ นะ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองกายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็พยายามดูอย่าไปปล่อยปละละเลย กายยิ่งหิวเท่าไหร่ใจก็ยิ่งอยาก เราก็อย่าให้ผลัดวันอย่าให้ผ่านเลยไป เราพิจารณาใจของเรา ใจเกิดความอยากเราก็รู้จักดับรู้จักหยุด ดับที่นั่นดับที่นี่ ใจก็ไม่มีความอยาก กิเลสก็เบาบาง
ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่สำคัญ หลงหลายชั้น ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงมาหลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่แล้วก็มาก่อร่างสร้างตัวอยู่ในภพมนุษย์ซึ่งมีขันธ์ห้า ขันธ์ห้าก็ร่างกายของเรานี่แหละ ส่วนรูปส่วนนามนั่งอยู่ตรงนี้แหละ มาทำบุญให้ทานนี่แหละ
ท่านให้เจริญสติดูจำแนกลงที่กายของเราว่ามีอะไรบ้างที่ว่าเป็นกอง เป็นขันธ์ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นตัวเป็นตนพระพุทธองค์มองเห็นว่าไม่มีตัวไม่มีตน แต่ว่าพวกเราก็ยังมองเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน นี่แหละมันก็เลยขัดแย้งกัน
ปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ นี่คือความเห็นถูก เห็นถูก-ใจต้องคลายจากความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจต้องคลายจากขันธ์ห้า ใจต้องละกิเลสให้หมดจด นั่นแหละปัญญาของพระพุทธเจ้า ท่านถึงบอกว่าเห็นถูก เห็นการเกิดเป็นทุกข์ ในเมื่อได้เกิดมาแล้วเราก็มาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ แล้วก็ดับความเกิดที่ใจของเรา กายเนื้อแตกดับไม่ต้องกลับไปเกิดที่ไหนอีก
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด เราอาจจะว่าเราไม่หลง ตราบใดที่ใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้าหรือว่าดับความเกิดของใจได้เราก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับเพียงแค่สมมติ แต่ตามความเป็นจริง ความเกิดนั่นแหละ คือความคิดนั่นแหละ ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ถ้าเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ระลึกนึกถึงคุณงามความดี หมั่นสร้างตบะสร้างบารมี แต่ละวันๆ อย่าไปคิดว่าจะไปสร้างที่โน่นไปสร้างที่นี่ สร้างลงที่กายของเรานี่แหละ
เราไม่มีศรัทธา ก็น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ศรัทธาก็ยังไม่ดับทุกข์ยังไม่ได้ต้องปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วย ด้วยปัญญา ปัญญาต้องรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าปัญญาเฉโกคิดเอา ไม่ใช่ปัญญาของกิเลส ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา
การเจริญภาวนาเราต้องทำความเข้าใจกับคำว่า ‘สติ’ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก ต่อไปก็รู้ตัวทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ธรรมก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม กายของเรานี่แหละก้อนธรรม ถ้าเราไม่เข้าใจ ก็ใจของเรานั่นแหละตัวกรรม กายของเราก็เป็นก้อนกรรมเรียกว่า ‘ก้อนโลก’
ถึงอย่างไรก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ บุญมากบุญน้อย บุญใกล้บุญไกล โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด ใจของเราเปิดกว้างเราก็ยิ่งสนุก ทำบุญตามสถานการณ์ ตามเหตุการณ์ ตามปัจจัยในสิ่งที่เรามีเราเป็น เรามีน้อยเราก็ได้ทำน้อย เรามีมากเราก็ได้ทำมาก เราไม่มีเราก็น้อมกายน้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะได้มีส่วนแห่งบุญ ฝากเอาไว้กับแผ่นดิน ฝากเอาไว้กับส่วนรวม ฝากเอาไว้กับส่วนกลาง ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไม่ปล่อยเวลาทิ้ง ทำบุญที่ไหน โอกาสเปิด กาลเวลาเปิดก็ให้พากันรีบทำ
ตั้งแต่ดูใจของเรา ใจเกิดกิเลสหรือไม่เราละกิเลส ใจเกิดความโกรธเราละความโกรธด้วยการให้อภัย ด้วยการให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี มองคนในทางที่ดี คิดดี ลึกลงไปก็ใจไม่ต้องคิด คิดด้วยปัญญา ดับความเกิดของใจ นี่แม้แต่ปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามดับอีกไม่ให้เกิดอีก หลายชั้นไม่ใช่ว่าชั้นหนึ่งชั้นเดียว ไล่เรียงลง ถ้าเราไล่เรียงลงไปดีๆ มีเหตุมีปัจจัยหมด มีเหตุมีปัจจัยหมด
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เพราะเหตุอะไร สร้างเหตุอะไร แล้วก็ทำบุญอะไรถึงจะได้ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน แต่ก็ต้องอาศัยตบะบารมีควบคู่กัน ไม่ใช่ว่าจะทำบุญอันใดอันหนึ่ง อันนั้นก็ได้อยู่ แต่ต้องทำให้เต็มเปี่ยมเหมือนกับเราขึ้นบนบ้านเราก็ต้องอาศัยบันได ถ้าไม่มีบันไดก็ขึ้นบนบ้านไม่ได้ บันไดมีกี่ขั้นล่ะที่นี้ มีหลายขั้น แต่ละขั้นก็ต้องอาศัยราวบันไดถึงจะประกอบกันขึ้นเป็นบันได แล้วก็ประกอบขึ้น ขึ้นถึงตัวเรือน นี่แหละหลายสิ่งหลายอย่าง
ในหลักธรรมท่านก็ให้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ปฏิบัติเข้าถึงคำสอนของท่านว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิตระดับไหน ระดับสมมติ ระดับวิมุตติ ระดับหลุดพ้น ระดับเอาไปใช้ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ก็มีหลายระดับชั้น ใจของเราก็มีกิเลสหลายระดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดหลายอย่าง
แม้กระทั่งความเกิดของใจก็เป็นกิเลส ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ทั้งเกิด ทั้งไม่เกิด เพราะว่าการเคลื่อนไหวความเกิดความไม่เกิด ผลักไส หรือว่าเป็นกลาง หรือว่าดึงเข้ามา เราก็ต้องหัดวิเคราะห์พิจารณา ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วการขัดเกลากิเลสการละกิเลสไม่มี การอบรมใจไม่มีมันก็ปฏิบัติแบบไม่รู้ ปฏิบัติแบบหลงๆ
ท่านถึงให้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ ใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้อยู่เดิม แต่ความไม่เข้าใจทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งเป็นทาสกิเลส เข้าข้างตัวเอง กิเลสนี่ชอบเข้าข้างตัวเอง ใจก็ชอบเข้าข้างตัวเอง ภาษาธรรมะท่านถึงเรียกว่าจิตหลอกจิต ขันธ์ห้าหลอกจิต กิเลสหลอกจิตเล่นงานเราตลอดเวลาแต่เราไม่รู้ ความเกิดหลอกเราอยู่ตลอดเวลา กิเลสเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุเกิดเหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน
ทุกอย่างก็ล้วนเกิดแต่เหตุ พระพุทธองค์ท่านชี้ถึงเหตุ เหตุการก่อตัวของใจนั่นแหละต้นเหตุ ใจตัวเดิมนั้นบริสุทธิ์อยู่ในความว่าง แต่คนเข้าไม่ถึงความว่างก็เลยไม่รู้ แล้วก็เลยเกิด ใจก็เลยเกิดแสวงหา จากความไม่มี จากความไม่มีแต่แรกก็มาสร้างให้มี แล้วก็ยึด แล้วก็มาคลายจากความมีไปหาความไม่มี คลายออกให้หมด แล้วก็มีใหม่ด้วยปัญญา เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ต้องอาศัยสมมติ อาศัยปัจจัยการยังชีพในสิ่งต่างๆ แต่ก็ให้มีด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญาไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด เราก็จะมีความสุข เราก็จะมีความสุขในการดู ในการรู้ ในการศึกษา ในการทำความเข้าใจ
อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เราพยายามรีบตักตวงรีบหากำไรในร่างกายก้อนนี้ ขณะที่เขายังมีกำลังยังมีลมหายใจอยู่ เราต้องแก้ไขชีวิตของเราทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ สมมติอะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็แก้ไขตามอัตภาพ กำลังสติปัญญาของเรา มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมดแม้แต่คนเรา พ่อแม่พี่น้องก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฏของไตรลักษณ์
ขณะที่ยังไม่ถึงเวลา เรามาศึกษาทำความเข้าใจชีวิตของเราให้กระจ่าง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะเดินอย่างไร จะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิด ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ใจของเราเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลหรือไม่ ใจของเรามีกิเลสอะไรบ้างเราก็จะได้รีบแก้ไข จะไปหากิเลสที่โน่นไปหากิเลสที่นี่ก็หาไม่เจอ ต้องหาเน้นลงที่ใจของเรา มันเกิดที่อยู่ใจมันก่อตัวอย่างไร มันเกิดอย่างไร หน้าตาอาการเป็นอย่างไร กิเลสก็มันเป็นตัวนั่งอยู่นี่แหละ พูดอยู่นี่ก็เป็นตัวกิเลสเหมือนกัน
การสื่อความหมาย การพูดการสื่อความหมายก็เป็นแค่เพียงสื่อภาษาให้รู้เรื่อง เราต้องพยายามไปศึกษาให้ปรากฏขึ้นที่ใจ รู้ด้วยปัญญา มองเห็นความเป็นจริง หมดข้อสงสัย หมดข้อลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ทรัพย์ อริยทรัพย์ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ตั้งแต่ทานบารมี ความเสียสละ
แต่ละวันเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความขยันหมั่นเพียร เราเป็นบุคคลรู้จักวิเคราะห์พิจารณาเหตุผลทั้งภายนอกทั้งภายใน เหตุสมมติเหตุวิมุตติ อยู่คนเดียวก็พิจารณาใจของเรา อยู่หลายคนก็พิจารณาใจของเรา อยู่หลายคนเราก็อยู่ด้วยพรหมวิหาร ไม่รังแก ไม่รังแกเราไม่รังแกเขา เอาใจเขามาใส่ใจเราเอาใจเราไปใส่ใจเขา อยู่ด้วยเหตุด้วยผลอยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญา
ถ้าอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสเนี่ย ตื่นขึ้นมาก็ทะเลาะเบาะแว้งกับตัวเอง ทะเลาะเบาะแว้งกับตัวเองก็ยังไม่พอ ก็ไปเที่ยวทะเลาะกับคนโน้นคนนี้ ไปที่โน่นก็คนโน่นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของเขาเอามาเป็นเรื่องของตัวเอง แทนที่จะขัดเกลาตัวเองให้มันหมดจด
ใจของเราเกิด มันเกิดเป็นมลทิน หรือว่าอกุศล มันไปอคติไปเพ่งโทษคนโน้นคนนี้เราก็พยายามกำจัดออกไป ถึงมันจะไปอคติคนอื่นเราก็พยายามแก้ไข มองโลกในทางที่ดี มองในส่วนที่ดีๆ ของคนอื่น ไม่ใช่ไปมองส่วนที่เลวร้าย ส่วนไหนที่ไม่ดีเราก็ไม่เอา ส่วนไหนที่ดีเราก็เลือกมาใช้เราก็ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่อคติเพ่งโทษอย่างโน้นอย่างนี้ ก็กิเลสของเรานั่นแหละไม่ใช่กิเลสของคนอื่น
มาวัดก็ท่านเจ้าคุณเป็นอย่างนั้น ท่านเจ้าคุณเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เจ้าคุณไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย เราก็ต้องพยายามมาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราทุกเรื่องในชีวิต กายทำหน้าที่อย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหารอย่างไร กายไม่หิวหรือว่ากายเกิดความหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก ความอยาก ความหิว
ที่นี่เราจะแสวงหาอย่างไร เราจะเอามาด้วยเหตุผลประการใด ขณะตากระทบรูปใจเป็นอย่างไรหูกระทบเสียงใจเป็นอย่างไร เราก็ต้องวิเคราะห์ ไม่ใช่ว่าอันโน้นก็อยาก อันนี้ก็อยาก เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่มบอกว่าเอาเยอะๆ กิเลสมันบอกว่าอย่างนั้น ให้เอาอยู่ ให้เอาด้วยปัญญา มองซ้ายมองขวามองบนมองล่างมองกลางใจของเรา ให้พิจารณาใจตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ นั่นแหละเขาถึงเรียกว่าคร่ำเคร่ง ไม่ต้องไปคร่ำเคร่ง ดูรู้ ให้ได้ตลอด ให้เป็นธรรมชาติ
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนให้เป็นธรรมชาติหมด ธรรมชาติของกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของใจก็เป็นอย่างนี้ เราจะบริหารกายของเราอย่างไร เราจะบริหารใจของเราอย่างไรให้มีความสุขตักตวงเอาเวลา ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่างเวลานี้แหละเวลาพระเราชีเรากะประมาณในการขบฉันของเรานี่แหละ หลวงพ่อถึงพยายามพูด ย้ำ ขณะเกิดกับเหตุการณ์นี้แหละ อาหารเยอะๆ ขนมเยอะๆ เป็นอย่างไร
แต่หลวงพ่อก็โลภอยู่นะ เห็นขนมอะไรอร่อยๆ นี่ก็ไม่ใช่โลภให้ตัวเองหรอก เลี้ยงหมาน้อยเอาไว้เอาไปแบ่งให้หมาน้อย ไอ้ยิ้มไอ้แย้ม ไอ้แจ่มไอ้ใส ไอ้ดุ๊กไอ้ดิ๊ก เลี้ยงไว้เยอะอยู่ เวลานั้นเขาก็วิ่งมาหาไม่มีขนมให้กินก็สงสาร วิ่งมาแล้วดีใจกระโดดกอดแข้งกอดขา
เลี้ยงหมาน้อยเอาไว้หลายปีแล้วแหละ 2-3 ปี หน้าก็บูดๆ ก็เลยตั้งชื่อให้ไอ้ยิ้ม หน้าบูดอีกตัวหนึ่งก็ตั้งชื่อให้ไอ้แย้ม อยู่ด้วยกันก็บางวันก็สามัคคีกัน อยู่บางวันก็สามัคคีกันทำความสะอาดให้กัน เผลอแป๊บเดียวก็กัดกันแล้ว เล่นกันกัดกันทะเลาะกัน บางทีได้ของเล่นมาไม่ได้ทุกตัวก็แย่งกัน ก็มองเห็นน่ะคนเราก็เป็นเหมือนกันนี่หนอ มีอะไรก็แย่งกันทะเลาะเบาะแว้งกัน ตีกัน ไม่ได้ดั่งใจก็ยกพวกตีกัน ด่ากัน ไม่พยายามดับที่ต้นเหตุ ไม่พยายามดับที่ต้นเหตุ ทั้งภายนอกภายใน ไม่เหมือนกับปัญญาของพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ท่านให้ไล่เรียงลงไปขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ไม่ให้เขาเข้ามาครอบครอง ไม่ให้เขามาบ่งการ ให้บริหารด้วยปัญญาอยู่ด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อยก็อยู่ด้วยปัญญา บางทีไปกับหมาน้อยนี่ก็สนุก เวลาเดินไปด้วยกัน เดินออกไปข้างนอกหมาจากข้างนอกไล่กัด เราก็ดูใจของเราจะช่วยดีหรือไม่ช่วยดี ถ้ากูช่วยก็ว่ากูไม่เป็นกลาง แก้ไขเอา ให้แก้ไขกันเอา ก็สนุกดีเหมือนกัน บางวันก็กัดกันถลอกปอกเปิก เราก็เอายาไปใส่ให้ บางวันก็ลงไปเล่นที่โน่นลงไปเล่นที่นี่ สารพัดอย่าง
เรามองให้เห็นเป็นธรรมมันก็เป็นธรรม เรามองเห็นให้เป็นโลกมันก็เป็นโลก เพราะทุกชีวิตเกิดมามันเลือกเกิดไม่ได้ เขาอยู่ในภพภูมิสัตว์เดรัจฉานเขาพูดไม่ได้ แต่การกระทำของเขาก็บ่งบอกว่าเขารักเจ้าของนะ เขารักเจ้านายนะ การดีอกดีใจ
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 สิงหาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ญาติโยมของเราก็มากันเยอะ มาทำบุญพิธีทั้งวันพระ ทั้งมาทำพิธีสามีจิกรรมบูชาคุณครูบาอาจารย์ ทั้งฆราวาสญาติโยม ตามหลักของความเป็นจริง เรานั่นแหละ ตัวเรานั่นแหละเป็นอาจารย์ของเรา ศึกษาเราแก้ไขเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเรา เจริญสติเข้าไปพิจารณาแก้ไข
ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พระเราชีเราก็พิจารณาดูดีๆ นะ กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองกายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก เราก็พยายามดูอย่าไปปล่อยปละละเลย กายยิ่งหิวเท่าไหร่ใจก็ยิ่งอยาก เราก็อย่าให้ผลัดวันอย่าให้ผ่านเลยไป เราพิจารณาใจของเรา ใจเกิดความอยากเราก็รู้จักดับรู้จักหยุด ดับที่นั่นดับที่นี่ ใจก็ไม่มีความอยาก กิเลสก็เบาบาง
ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่สำคัญ หลงหลายชั้น ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงมาหลงอยู่ในภพน้อยภพใหญ่แล้วก็มาก่อร่างสร้างตัวอยู่ในภพมนุษย์ซึ่งมีขันธ์ห้า ขันธ์ห้าก็ร่างกายของเรานี่แหละ ส่วนรูปส่วนนามนั่งอยู่ตรงนี้แหละ มาทำบุญให้ทานนี่แหละ
ท่านให้เจริญสติดูจำแนกลงที่กายของเราว่ามีอะไรบ้างที่ว่าเป็นกอง เป็นขันธ์ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นตัวเป็นตนพระพุทธองค์มองเห็นว่าไม่มีตัวไม่มีตน แต่ว่าพวกเราก็ยังมองเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน นี่แหละมันก็เลยขัดแย้งกัน
ปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ นี่คือความเห็นถูก เห็นถูก-ใจต้องคลายจากความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจต้องคลายจากขันธ์ห้า ใจต้องละกิเลสให้หมดจด นั่นแหละปัญญาของพระพุทธเจ้า ท่านถึงบอกว่าเห็นถูก เห็นการเกิดเป็นทุกข์ ในเมื่อได้เกิดมาแล้วเราก็มาทำความเข้าใจกับกายก้อนนี้ แล้วก็ดับความเกิดที่ใจของเรา กายเนื้อแตกดับไม่ต้องกลับไปเกิดที่ไหนอีก
แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด เราอาจจะว่าเราไม่หลง ตราบใดที่ใจยังไม่ได้คลายจากขันธ์ห้าหรือว่าดับความเกิดของใจได้เราก็ว่าเราไม่หลง เราอาจจะไม่หลงอยู่ในระดับเพียงแค่สมมติ แต่ตามความเป็นจริง ความเกิดนั่นแหละ คือความคิดนั่นแหละ ความเกิดนั่นแหละ คือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ถ้าเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ระลึกนึกถึงคุณงามความดี หมั่นสร้างตบะสร้างบารมี แต่ละวันๆ อย่าไปคิดว่าจะไปสร้างที่โน่นไปสร้างที่นี่ สร้างลงที่กายของเรานี่แหละ
เราไม่มีศรัทธา ก็น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ศรัทธาก็ยังไม่ดับทุกข์ยังไม่ได้ต้องปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วย ด้วยปัญญา ปัญญาต้องรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าปัญญาเฉโกคิดเอา ไม่ใช่ปัญญาของกิเลส ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา
การเจริญภาวนาเราต้องทำความเข้าใจกับคำว่า ‘สติ’ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน คือทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก ต่อไปก็รู้ตัวทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ธรรมก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม กายของเรานี่แหละก้อนธรรม ถ้าเราไม่เข้าใจ ก็ใจของเรานั่นแหละตัวกรรม กายของเราก็เป็นก้อนกรรมเรียกว่า ‘ก้อนโลก’
ถึงอย่างไรก็ขอให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วยเราก็มีส่วนแห่งบุญ บุญมากบุญน้อย บุญใกล้บุญไกล โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด ใจของเราเปิดกว้างเราก็ยิ่งสนุก ทำบุญตามสถานการณ์ ตามเหตุการณ์ ตามปัจจัยในสิ่งที่เรามีเราเป็น เรามีน้อยเราก็ได้ทำน้อย เรามีมากเราก็ได้ทำมาก เราไม่มีเราก็น้อมกายน้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะได้มีส่วนแห่งบุญ ฝากเอาไว้กับแผ่นดิน ฝากเอาไว้กับส่วนรวม ฝากเอาไว้กับส่วนกลาง ไม่ปล่อยโอกาสทิ้งไม่ปล่อยเวลาทิ้ง ทำบุญที่ไหน โอกาสเปิด กาลเวลาเปิดก็ให้พากันรีบทำ
ตั้งแต่ดูใจของเรา ใจเกิดกิเลสหรือไม่เราละกิเลส ใจเกิดความโกรธเราละความโกรธด้วยการให้อภัย ด้วยการให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี มองคนในทางที่ดี คิดดี ลึกลงไปก็ใจไม่ต้องคิด คิดด้วยปัญญา ดับความเกิดของใจ นี่แม้แต่ปัญญาถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามดับอีกไม่ให้เกิดอีก หลายชั้นไม่ใช่ว่าชั้นหนึ่งชั้นเดียว ไล่เรียงลง ถ้าเราไล่เรียงลงไปดีๆ มีเหตุมีปัจจัยหมด มีเหตุมีปัจจัยหมด
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เพราะเหตุอะไร สร้างเหตุอะไร แล้วก็ทำบุญอะไรถึงจะได้ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน แต่ก็ต้องอาศัยตบะบารมีควบคู่กัน ไม่ใช่ว่าจะทำบุญอันใดอันหนึ่ง อันนั้นก็ได้อยู่ แต่ต้องทำให้เต็มเปี่ยมเหมือนกับเราขึ้นบนบ้านเราก็ต้องอาศัยบันได ถ้าไม่มีบันไดก็ขึ้นบนบ้านไม่ได้ บันไดมีกี่ขั้นล่ะที่นี้ มีหลายขั้น แต่ละขั้นก็ต้องอาศัยราวบันไดถึงจะประกอบกันขึ้นเป็นบันได แล้วก็ประกอบขึ้น ขึ้นถึงตัวเรือน นี่แหละหลายสิ่งหลายอย่าง
ในหลักธรรมท่านก็ให้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ปฏิบัติเข้าถึงคำสอนของท่านว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิต การดำเนินชีวิตระดับไหน ระดับสมมติ ระดับวิมุตติ ระดับหลุดพ้น ระดับเอาไปใช้ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ก็มีหลายระดับชั้น ใจของเราก็มีกิเลสหลายระดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดหลายอย่าง
แม้กระทั่งความเกิดของใจก็เป็นกิเลส ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ทั้งเกิด ทั้งไม่เกิด เพราะว่าการเคลื่อนไหวความเกิดความไม่เกิด ผลักไส หรือว่าเป็นกลาง หรือว่าดึงเข้ามา เราก็ต้องหัดวิเคราะห์พิจารณา ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วการขัดเกลากิเลสการละกิเลสไม่มี การอบรมใจไม่มีมันก็ปฏิบัติแบบไม่รู้ ปฏิบัติแบบหลงๆ
ท่านถึงให้เจริญสติมาสร้างผู้รู้ ใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้อยู่เดิม แต่ความไม่เข้าใจทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งเป็นทาสกิเลส เข้าข้างตัวเอง กิเลสนี่ชอบเข้าข้างตัวเอง ใจก็ชอบเข้าข้างตัวเอง ภาษาธรรมะท่านถึงเรียกว่าจิตหลอกจิต ขันธ์ห้าหลอกจิต กิเลสหลอกจิตเล่นงานเราตลอดเวลาแต่เราไม่รู้ ความเกิดหลอกเราอยู่ตลอดเวลา กิเลสเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุเกิดเหตุจากภายนอกทำให้เกิดหรือเกิดจากภายใน
ทุกอย่างก็ล้วนเกิดแต่เหตุ พระพุทธองค์ท่านชี้ถึงเหตุ เหตุการก่อตัวของใจนั่นแหละต้นเหตุ ใจตัวเดิมนั้นบริสุทธิ์อยู่ในความว่าง แต่คนเข้าไม่ถึงความว่างก็เลยไม่รู้ แล้วก็เลยเกิด ใจก็เลยเกิดแสวงหา จากความไม่มี จากความไม่มีแต่แรกก็มาสร้างให้มี แล้วก็ยึด แล้วก็มาคลายจากความมีไปหาความไม่มี คลายออกให้หมด แล้วก็มีใหม่ด้วยปัญญา เพราะว่าคนเราเกิดมาก็ต้องอาศัยสมมติ อาศัยปัจจัยการยังชีพในสิ่งต่างๆ แต่ก็ให้มีด้วยปัญญา รู้ด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญาไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด เราก็จะมีความสุข เราก็จะมีความสุขในการดู ในการรู้ ในการศึกษา ในการทำความเข้าใจ
อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เราพยายามรีบตักตวงรีบหากำไรในร่างกายก้อนนี้ ขณะที่เขายังมีกำลังยังมีลมหายใจอยู่ เราต้องแก้ไขชีวิตของเราทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ สมมติอะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็แก้ไขตามอัตภาพ กำลังสติปัญญาของเรา มีความสุขในสิ่งที่เรามีเราเป็น เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมดแม้แต่คนเรา พ่อแม่พี่น้องก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฏของไตรลักษณ์
ขณะที่ยังไม่ถึงเวลา เรามาศึกษาทำความเข้าใจชีวิตของเราให้กระจ่าง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะเดินอย่างไร จะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิด ใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ใจของเราเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลหรือไม่ ใจของเรามีกิเลสอะไรบ้างเราก็จะได้รีบแก้ไข จะไปหากิเลสที่โน่นไปหากิเลสที่นี่ก็หาไม่เจอ ต้องหาเน้นลงที่ใจของเรา มันเกิดที่อยู่ใจมันก่อตัวอย่างไร มันเกิดอย่างไร หน้าตาอาการเป็นอย่างไร กิเลสก็มันเป็นตัวนั่งอยู่นี่แหละ พูดอยู่นี่ก็เป็นตัวกิเลสเหมือนกัน
การสื่อความหมาย การพูดการสื่อความหมายก็เป็นแค่เพียงสื่อภาษาให้รู้เรื่อง เราต้องพยายามไปศึกษาให้ปรากฏขึ้นที่ใจ รู้ด้วยปัญญา มองเห็นความเป็นจริง หมดข้อสงสัย หมดข้อลังเล มีตั้งแต่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ทรัพย์ อริยทรัพย์ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ตั้งแต่ทานบารมี ความเสียสละ
แต่ละวันเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีความขยันหมั่นเพียร เราเป็นบุคคลรู้จักวิเคราะห์พิจารณาเหตุผลทั้งภายนอกทั้งภายใน เหตุสมมติเหตุวิมุตติ อยู่คนเดียวก็พิจารณาใจของเรา อยู่หลายคนก็พิจารณาใจของเรา อยู่หลายคนเราก็อยู่ด้วยพรหมวิหาร ไม่รังแก ไม่รังแกเราไม่รังแกเขา เอาใจเขามาใส่ใจเราเอาใจเราไปใส่ใจเขา อยู่ด้วยเหตุด้วยผลอยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญา
ถ้าอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสเนี่ย ตื่นขึ้นมาก็ทะเลาะเบาะแว้งกับตัวเอง ทะเลาะเบาะแว้งกับตัวเองก็ยังไม่พอ ก็ไปเที่ยวทะเลาะกับคนโน้นคนนี้ ไปที่โน่นก็คนโน่นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องของเขาเอามาเป็นเรื่องของตัวเอง แทนที่จะขัดเกลาตัวเองให้มันหมดจด
ใจของเราเกิด มันเกิดเป็นมลทิน หรือว่าอกุศล มันไปอคติไปเพ่งโทษคนโน้นคนนี้เราก็พยายามกำจัดออกไป ถึงมันจะไปอคติคนอื่นเราก็พยายามแก้ไข มองโลกในทางที่ดี มองในส่วนที่ดีๆ ของคนอื่น ไม่ใช่ไปมองส่วนที่เลวร้าย ส่วนไหนที่ไม่ดีเราก็ไม่เอา ส่วนไหนที่ดีเราก็เลือกมาใช้เราก็ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามีตั้งแต่อคติเพ่งโทษอย่างโน้นอย่างนี้ ก็กิเลสของเรานั่นแหละไม่ใช่กิเลสของคนอื่น
มาวัดก็ท่านเจ้าคุณเป็นอย่างนั้น ท่านเจ้าคุณเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เจ้าคุณไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย เราก็ต้องพยายามมาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราทุกเรื่องในชีวิต กายทำหน้าที่อย่างไร จะรับประทานข้าวปลาอาหารอย่างไร กายไม่หิวหรือว่ากายเกิดความหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก ความอยาก ความหิว
ที่นี่เราจะแสวงหาอย่างไร เราจะเอามาด้วยเหตุผลประการใด ขณะตากระทบรูปใจเป็นอย่างไรหูกระทบเสียงใจเป็นอย่างไร เราก็ต้องวิเคราะห์ ไม่ใช่ว่าอันโน้นก็อยาก อันนี้ก็อยาก เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่มบอกว่าเอาเยอะๆ กิเลสมันบอกว่าอย่างนั้น ให้เอาอยู่ ให้เอาด้วยปัญญา มองซ้ายมองขวามองบนมองล่างมองกลางใจของเรา ให้พิจารณาใจตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้ นั่นแหละเขาถึงเรียกว่าคร่ำเคร่ง ไม่ต้องไปคร่ำเคร่ง ดูรู้ ให้ได้ตลอด ให้เป็นธรรมชาติ
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนให้เป็นธรรมชาติหมด ธรรมชาติของกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของใจก็เป็นอย่างนี้ เราจะบริหารกายของเราอย่างไร เราจะบริหารใจของเราอย่างไรให้มีความสุขตักตวงเอาเวลา ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่างเวลานี้แหละเวลาพระเราชีเรากะประมาณในการขบฉันของเรานี่แหละ หลวงพ่อถึงพยายามพูด ย้ำ ขณะเกิดกับเหตุการณ์นี้แหละ อาหารเยอะๆ ขนมเยอะๆ เป็นอย่างไร
แต่หลวงพ่อก็โลภอยู่นะ เห็นขนมอะไรอร่อยๆ นี่ก็ไม่ใช่โลภให้ตัวเองหรอก เลี้ยงหมาน้อยเอาไว้เอาไปแบ่งให้หมาน้อย ไอ้ยิ้มไอ้แย้ม ไอ้แจ่มไอ้ใส ไอ้ดุ๊กไอ้ดิ๊ก เลี้ยงไว้เยอะอยู่ เวลานั้นเขาก็วิ่งมาหาไม่มีขนมให้กินก็สงสาร วิ่งมาแล้วดีใจกระโดดกอดแข้งกอดขา
เลี้ยงหมาน้อยเอาไว้หลายปีแล้วแหละ 2-3 ปี หน้าก็บูดๆ ก็เลยตั้งชื่อให้ไอ้ยิ้ม หน้าบูดอีกตัวหนึ่งก็ตั้งชื่อให้ไอ้แย้ม อยู่ด้วยกันก็บางวันก็สามัคคีกัน อยู่บางวันก็สามัคคีกันทำความสะอาดให้กัน เผลอแป๊บเดียวก็กัดกันแล้ว เล่นกันกัดกันทะเลาะกัน บางทีได้ของเล่นมาไม่ได้ทุกตัวก็แย่งกัน ก็มองเห็นน่ะคนเราก็เป็นเหมือนกันนี่หนอ มีอะไรก็แย่งกันทะเลาะเบาะแว้งกัน ตีกัน ไม่ได้ดั่งใจก็ยกพวกตีกัน ด่ากัน ไม่พยายามดับที่ต้นเหตุ ไม่พยายามดับที่ต้นเหตุ ทั้งภายนอกภายใน ไม่เหมือนกับปัญญาของพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ท่านให้ไล่เรียงลงไปขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ไม่ให้เขาเข้ามาครอบครอง ไม่ให้เขามาบ่งการ ให้บริหารด้วยปัญญาอยู่ด้วยปัญญา จะเอามากเอาน้อยก็อยู่ด้วยปัญญา บางทีไปกับหมาน้อยนี่ก็สนุก เวลาเดินไปด้วยกัน เดินออกไปข้างนอกหมาจากข้างนอกไล่กัด เราก็ดูใจของเราจะช่วยดีหรือไม่ช่วยดี ถ้ากูช่วยก็ว่ากูไม่เป็นกลาง แก้ไขเอา ให้แก้ไขกันเอา ก็สนุกดีเหมือนกัน บางวันก็กัดกันถลอกปอกเปิก เราก็เอายาไปใส่ให้ บางวันก็ลงไปเล่นที่โน่นลงไปเล่นที่นี่ สารพัดอย่าง
เรามองให้เห็นเป็นธรรมมันก็เป็นธรรม เรามองเห็นให้เป็นโลกมันก็เป็นโลก เพราะทุกชีวิตเกิดมามันเลือกเกิดไม่ได้ เขาอยู่ในภพภูมิสัตว์เดรัจฉานเขาพูดไม่ได้ แต่การกระทำของเขาก็บ่งบอกว่าเขารักเจ้าของนะ เขารักเจ้านายนะ การดีอกดีใจ
ตั้งใจรับพรกัน