หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 092
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 092
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจของเราเอาไว้ด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน พยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้ตัวต่อเนื่อง ถ้าความรู้พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่เพียงแค่สร้างกับทำต่อเนื่องให้ได้เราก็จะมีสติรู้กาย รู้ตัวมากขึ้น ลึกลงไปก็จะรู้ความปกติของใจ รู้อาการของใจ รู้การเกิดการดับ วิเคราะห์เท่าทัน จนใจคลายออกจากความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนาม นั่นแหละถึงจะเรียกว่าความเห็นถูกจริงๆ เห็นถูกแบบพระพุทธเจ้า เห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจหงายขึ้นมา ใจคลายจากความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็รู้จักลักษณะหน้าตาอาการของกิเลสแต่ละกอง แต่ละขันธ์ อาการเป็นอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร อะไรเป็นกุศลหรืออะไรเป็นอกุศล กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมามีกำลังต่อเนื่องพอที่จะเข้าไปละกิเลส พอที่จะไปอบรมใจของเราตัวเราได้หรือไม่ เราก็ต้องพยายาม
มาฝึกฝนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของตัวเราเอง ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันตาย ตั้งแต่ความเกิด เกิดมาก็มีการพัฒนาจากเด็กน้อยเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ร่างกายก็เติบโตมาขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวจนกระทั่งอายุครึ่งคนกลางคน เข้าวัยร่วงวัยชราอันนั้นเขาเรียกว่าความเสื่อมตามธรรมชาติ ที่ท่านว่า ‘อนิจจัง’ ความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงทางด้านรูปธรรม คือร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงมีการเสื่อม ถึงวาระเวลาก็มีการแตกดับอันนี้เป็นส่วนของรูป
ส่วนของนามคือตัวใจ ตัววิญญาณ หรือว่าใจของเรานั่นแหละ ใจของเรายังคิด ยังปรุง ยังแต่งยังเข้าไปหลง เข้าไปยึดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เอากิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเองตลอดเวลา
นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่ค้นพบแล้วก็เอามาจำแนกแจกแจงรู้จักแก้ไข แก้ไขสมมติทางด้านร่างกาย แล้วก็พยายามดูแลรักษาเขา ถึงวาระเวลาเขาก็แตกดับ ถ้าไม่ถึงเวลาเขาก็ไม่แตกดับ ที่นี้ท่านให้เจริญสติให้ลึกลงไปดูส่วนใจ ส่วนวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม รู้ลักษณะหน้าตาอาการ เราจะเข้าถึงได้อย่างไร และทั้งที่บางทีก็รู้เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้
สติเป็นผู้รู้ แต่การดับ การวิเคราะห์ การสังเกต การแยก การคลาย จนเห็นเหตุเห็นผล ตรงนั้นไม่มีก็เลยว่างไม่ได้ก็เลยละกิเลสไม่ได้ เพราะว่ากำลังสติมีน้อย ความเพียรมีน้อยก็เลยเป็นทาสของกิเลส จะไปโทษคนอื่นก็ไม่ได้ จงโทษตัวเราแก้ไขตัวเรา วิวัฒน์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา ปฏิวัติตัวเองให้ได้รับประโยชน์
ใจเคยเป็นทาสกิเลสก็พยายามละกิเลส เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้านเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เราก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ สร้างความขยันหมั่นเพียร มีสัจจะกับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง สิ่งพวกนี้เป็นตบะเป็นบารมี ใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้างเราก็พยายามละความแข็งกร้าวแข็งกระด้างด้วยการสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน สร้างความอ่อนโยนความหนักแน่นให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา แล้วก็เป็นผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ ผู้อนุเคราะห์อยู่ตลอด ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลส
ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไม่รู้จักการขัดเกลากิเลส ที่นี้เราจะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา กายทำหน้าที่อย่างนี้นะ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ สติปัญญาทำหน้าที่อย่างนี้ จำแนกแจกแจงให้ถูก เราก็จะอยู่กับสมมติ เคารพสมมติโน่นแหละร่างกายแตกดับนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ แต่เราวางด้วยปัญญา รู้ เห็นเหตุเห็นผลด้วยปัญญา ละกิเลสด้วยปัญญา
ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดกำลังก็หมดโอกาส พยายามรีบตักตวง สร้างผลกำไร สร้างบุญสร้างอานิสงส์ ให้มี ให้เกิดขึ้นในใจ ในกายก้อนนี้ให้ได้ ขณะที่เขายังมีกำลังที่แข็งแรงอยู่ ถ้าหมดกำลังก็หมดสภาพ หมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป ตราบใดที่ใจยังเกิดต่อเขาก็ต้องเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ อย่าพากันประมาท
แต่ละวันทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล บุญสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี บุญมากบุญน้อย บุญใกล้บุญไกล เราก็พยายามทำหน้าที่ตามกำลังสติปัญญาของเรา อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านประโยชน์สูงสุดอยู่ขณะปัจจุบันนี้แหละคือทำใจให้บริสุทธิ์ ละกิเลสให้หมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
เราก็มองเห็นความเกิด-ความดับ เราดับความเกิด ความเกิดต่อก็ไม่มี ขณะนี้ เวลานี้ เราก็มาเกิดในภพของมนุษย์ มีร่างกาย มีขันธ์ห้า มีจิตวิญญาณเข้ามาครอบครอง เราไปเหมาเอาทั้งก้อน ไปยึดเอาทั้งก้อน หมุนไปทั้งก้อน ตราบใดที่กายเนื้อแตกดับเขาก็ต้องเกิดต่อ ถ้ามีการเกิด ก็ขอให้เกิดในกองบุญกองกุศลเอาไว้
ส่วนการเจริญสติ การเจริญปัญญา การทำความเข้าใจอันนี้ก็ต้องอยู่กับความเพียรของเรา เรารู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้วเราก็ไปทำ ไปทำตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นกายของเราเป็นอย่างนี้ใจของเราเป็นอย่างนี้ การอบรมใจ การชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล การทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทาง สักวันหนึ่งเราก็คงจะละกิเลสได้หมดจด ไม่หมดวันนี้วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้าไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่การเจริญสติ การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องตรงนี้เราก็ยังลำบากอยู่ ไอ้เรื่องที่จะไปวิเคราะห์ เดินปัญญา แยกรูปแยกนามอันนั้นเอาไว้ทีหลัง
เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้เข้มแข็ง ให้ต่อเนื่องให้ได้ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ให้เป็นเสียก่อน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ความเป็นจริงทุกอิริยาบถ
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้ตัวต่อเนื่อง ถ้าความรู้พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่เพียงแค่สร้างกับทำต่อเนื่องให้ได้เราก็จะมีสติรู้กาย รู้ตัวมากขึ้น ลึกลงไปก็จะรู้ความปกติของใจ รู้อาการของใจ รู้การเกิดการดับ วิเคราะห์เท่าทัน จนใจคลายออกจากความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนาม นั่นแหละถึงจะเรียกว่าความเห็นถูกจริงๆ เห็นถูกแบบพระพุทธเจ้า เห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า ใจหงายขึ้นมา ใจคลายจากความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็รู้จักลักษณะหน้าตาอาการของกิเลสแต่ละกอง แต่ละขันธ์ อาการเป็นอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร อะไรเป็นกุศลหรืออะไรเป็นอกุศล กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมามีกำลังต่อเนื่องพอที่จะเข้าไปละกิเลส พอที่จะไปอบรมใจของเราตัวเราได้หรือไม่ เราก็ต้องพยายาม
มาฝึกฝนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องของตัวเราเอง ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันตาย ตั้งแต่ความเกิด เกิดมาก็มีการพัฒนาจากเด็กน้อยเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษาเล่าเรียน ร่างกายก็เติบโตมาขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวจนกระทั่งอายุครึ่งคนกลางคน เข้าวัยร่วงวัยชราอันนั้นเขาเรียกว่าความเสื่อมตามธรรมชาติ ที่ท่านว่า ‘อนิจจัง’ ความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงทางด้านรูปธรรม คือร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงมีการเสื่อม ถึงวาระเวลาก็มีการแตกดับอันนี้เป็นส่วนของรูป
ส่วนของนามคือตัวใจ ตัววิญญาณ หรือว่าใจของเรานั่นแหละ ใจของเรายังคิด ยังปรุง ยังแต่งยังเข้าไปหลง เข้าไปยึดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เอากิเลสมาทับถมดวงใจของตัวเองตลอดเวลา
นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่ค้นพบแล้วก็เอามาจำแนกแจกแจงรู้จักแก้ไข แก้ไขสมมติทางด้านร่างกาย แล้วก็พยายามดูแลรักษาเขา ถึงวาระเวลาเขาก็แตกดับ ถ้าไม่ถึงเวลาเขาก็ไม่แตกดับ ที่นี้ท่านให้เจริญสติให้ลึกลงไปดูส่วนใจ ส่วนวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม รู้ลักษณะหน้าตาอาการ เราจะเข้าถึงได้อย่างไร และทั้งที่บางทีก็รู้เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้
สติเป็นผู้รู้ แต่การดับ การวิเคราะห์ การสังเกต การแยก การคลาย จนเห็นเหตุเห็นผล ตรงนั้นไม่มีก็เลยว่างไม่ได้ก็เลยละกิเลสไม่ได้ เพราะว่ากำลังสติมีน้อย ความเพียรมีน้อยก็เลยเป็นทาสของกิเลส จะไปโทษคนอื่นก็ไม่ได้ จงโทษตัวเราแก้ไขตัวเรา วิวัฒน์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา ปฏิวัติตัวเองให้ได้รับประโยชน์
ใจเคยเป็นทาสกิเลสก็พยายามละกิเลส เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้านเรามีความรับผิดชอบหรือไม่ เราก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ สร้างความขยันหมั่นเพียร มีสัจจะกับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง สิ่งพวกนี้เป็นตบะเป็นบารมี ใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้างเราก็พยายามละความแข็งกร้าวแข็งกระด้างด้วยการสร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน สร้างความอ่อนโยนความหนักแน่นให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา แล้วก็เป็นผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือ ผู้อนุเคราะห์อยู่ตลอด ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลส
ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไม่รู้จักการขัดเกลากิเลส ที่นี้เราจะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา กายทำหน้าที่อย่างนี้นะ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ วิญญาณทำหน้าที่อย่างนี้ สติปัญญาทำหน้าที่อย่างนี้ จำแนกแจกแจงให้ถูก เราก็จะอยู่กับสมมติ เคารพสมมติโน่นแหละร่างกายแตกดับนั่นแหละถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ แต่เราวางด้วยปัญญา รู้ เห็นเหตุเห็นผลด้วยปัญญา ละกิเลสด้วยปัญญา
ขณะที่เรายังมีกำลังอยู่ ถ้าหมดกำลังก็หมดโอกาส พยายามรีบตักตวง สร้างผลกำไร สร้างบุญสร้างอานิสงส์ ให้มี ให้เกิดขึ้นในใจ ในกายก้อนนี้ให้ได้ ขณะที่เขายังมีกำลังที่แข็งแรงอยู่ ถ้าหมดกำลังก็หมดสภาพ หมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป ตราบใดที่ใจยังเกิดต่อเขาก็ต้องเกิดก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ อย่าพากันประมาท
แต่ละวันทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามากมายมหาศาล บุญสมมติเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี บุญมากบุญน้อย บุญใกล้บุญไกล เราก็พยายามทำหน้าที่ตามกำลังสติปัญญาของเรา อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่านประโยชน์สูงสุดอยู่ขณะปัจจุบันนี้แหละคือทำใจให้บริสุทธิ์ ละกิเลสให้หมดจด ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
เราก็มองเห็นความเกิด-ความดับ เราดับความเกิด ความเกิดต่อก็ไม่มี ขณะนี้ เวลานี้ เราก็มาเกิดในภพของมนุษย์ มีร่างกาย มีขันธ์ห้า มีจิตวิญญาณเข้ามาครอบครอง เราไปเหมาเอาทั้งก้อน ไปยึดเอาทั้งก้อน หมุนไปทั้งก้อน ตราบใดที่กายเนื้อแตกดับเขาก็ต้องเกิดต่อ ถ้ามีการเกิด ก็ขอให้เกิดในกองบุญกองกุศลเอาไว้
ส่วนการเจริญสติ การเจริญปัญญา การทำความเข้าใจอันนี้ก็ต้องอยู่กับความเพียรของเรา เรารู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้วเราก็ไปทำ ไปทำตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นกายของเราเป็นอย่างนี้ใจของเราเป็นอย่างนี้ การอบรมใจ การชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล การทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทาง สักวันหนึ่งเราก็คงจะละกิเลสได้หมดจด ไม่หมดวันนี้วันพรุ่งนี้ เดือนนี้ เดือนหน้าไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่การเจริญสติ การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องตรงนี้เราก็ยังลำบากอยู่ ไอ้เรื่องที่จะไปวิเคราะห์ เดินปัญญา แยกรูปแยกนามอันนั้นเอาไว้ทีหลัง
เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้เข้มแข็ง ให้ต่อเนื่องให้ได้ แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ให้เป็นเสียก่อน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรานะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ความเป็นจริงทุกอิริยาบถ