หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 080
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 080
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว
ถึงเราหยุดไม่ได้ เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ อย่าไปบังคับ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ เพียงแค่สูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ
ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมาปุ๊บสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้ให้ต่อเนื่องจะลุกจะก้าวจะเดินจะทำภาระพันธะหน้าที่ เข้าห้องส้วมห้องน้ำ มีสติรู้ความปกติ รู้ว่าใจปกติ จะก้าวจะลุกจะเดินก็รู้ว่าใจปกติ ใจจะปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับรู้จักควบคุม มีความคิดผุดขึ้นมาเราก็หัดสังเกตดู ถ้าใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม เขาก็จะแยกออก เขาก็จะคลายออก เราก็จะมองเห็นชัดเจน เห็นชีวิตของเราชัดเจน
ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายจากขันธ์ห้า เขาก็จะว่างโล่งโปร่งเบาสบาย กายสมมติกับร่างกายของเรา ส่วนรูปก็คือก้อนที่เรานั่งอยู่นี่แหละ ส่วนนามธรรมคือตัววิญญาณกับตัวอาการของวิญญาณหรือว่าตัวใจนะ ถ้าเรามีสติเข้าไปอบรม ไปชี้แนะวิธีการแนวทางอบรม รู้จักแก้ไขอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ใจก็จะยอมรับความเป็นจริง ใจเกิดกิเลสเขาก็หยุด ใจส่งออกไปภายนอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ก็พยายามเอานะพยายามพากันสร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า หรือว่าเรามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเกียจคร้าน เราก็พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา รู้จักเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ทั้งภาระหน้าที่การงาน ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ลักษณะของสติที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างนี้ ความสืบต่อความต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ เรารู้ใจตั้งแต่ตั้งต้นเหตุของการเกิดของใจไม่ทัน เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ดับตั้งแต่ภายใน ดับภายในไม่ได้ก็ไม่ให้ออกทางกายทางวาจา ถ้าจะออกทางวาจาเราก็ใช้ปัญญาหลบหลีก
กายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจ ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล อบรมใจให้ได้จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นถึงจะเรียกตนเป็นที่พึ่งของตน
การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่าน ทุกคนมีมากันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ ผ่านกาลผ่านเวลาผ่านร้อนผ่านหนาวกันมา แสวงหาความสุข ถึงได้ออกมาทำบุญให้ทาน มาฝึกมาทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ฝึกใจของเราก็ไม่มีใครจะฝึกเราให้เราได้เลย แม้แต่พระพุทธองค์ท่านก็เป็นแค่เพียงผู้บอกผู้ชี้แนะแนวทางให้
ถ้าเราไม่ปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจมันก็ยากที่จะเข้าถึง ปฏิบัติไม่ถูกที่ ปฏิบัติไม่อยู่ในแนวครรลองครองธรรม มันก็ห่างไกลอีก หลายสิ่งหลายอย่างกว่าจะเข้าถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ความไม่ต้องการกลับมาเกิด มันก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย อุปสรรคทั้งภายนอกอุปสรรคภายใน เหตุจากภายนอกทำให้เกิดจากภายใน เหตุจากภายในเราต้องแก้ภายใน แก้ทั้งข้างในแก้ทั้งข้างนอก ทั้งโลกทั้งธรรม เพราะว่าโลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน
กายของเรานี้แหละก้อนโลก ตราบใดที่ใจของเรายังคลายจากขันธ์ห้าไม่ได้ ใจของเราก็ยังไม่ตกกระแสธรรม ถึงคลายได้แยกได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจขาดการละกิเลสมันก็เหมือนเดิม เราก็ต้องพยายามเอา จะไปโทษใครไม่ได้ โทษตัวเราคนเดียว แก้ไขตัวเราคนเดียว มีเรื่องๆ ของเราคนเดียว นอกนั้นก็มีตั้งแต่ความอนุเคราะห์ ความเมตตา ช่วยเหลือกันในระดับของสมมติ ส่วนวิมุตติความหลุดพ้นก็ต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ก่อนที่จะเข้าถึงการดับทุกข์หลุดพ้นได้ เราก็ต้องแก้ไขทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
สมมติของเรามีความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ความสะดวกสบายทางสมมติเป็นอย่างไร ที่พักที่อาศัยที่ถ่ายที่เยี่ยวที่อยู่ที่กินก็มีพอไม่ได้ลำบาก ถ้าไม่มีล่ะ? ลำบาก อาหารจะตกท้องก็ไม่มี จะปฏิบัติจะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ท้องมันก็ร้องหิว หิวอยู่อย่างนั้นมันก็ไปไม่ไหว มันก็ต้องควบคู่กันทั้งสองอย่าง ทั้งโลกทั้งธรรมเพราะท่านก็ว่าธรรมกับโลกอาศัยกันอยู่ โลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ แต่เวลานี้เขายังหลงยังรวมกันอยู่ ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายเพื่อที่จะให้รู้ลึกถึงต้นเหตุของใจ แล้วก็แก้ไขตัวเรา พยายามเอานะ
ส่วนการขัดเกลากิเลส ส่วนการเจริญสติ ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรให้เป็นเลิศ จนเห็นเหตุเห็นผลชี้เหตุชี้ผลว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญอะไรควรดำเนิน หมดความสงสัยหมดความลังเลพยายามก้าวเดินให้ถึงจุดหมาย ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
ถึงเราหยุดไม่ได้ เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ อย่าไปบังคับ อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ เพียงแค่สูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ
ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอตื่นขึ้นมาปุ๊บสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ รู้ให้ต่อเนื่องจะลุกจะก้าวจะเดินจะทำภาระพันธะหน้าที่ เข้าห้องส้วมห้องน้ำ มีสติรู้ความปกติ รู้ว่าใจปกติ จะก้าวจะลุกจะเดินก็รู้ว่าใจปกติ ใจจะปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับรู้จักควบคุม มีความคิดผุดขึ้นมาเราก็หัดสังเกตดู ถ้าใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม เขาก็จะแยกออก เขาก็จะคลายออก เราก็จะมองเห็นชัดเจน เห็นชีวิตของเราชัดเจน
ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่คลายจากขันธ์ห้า เขาก็จะว่างโล่งโปร่งเบาสบาย กายสมมติกับร่างกายของเรา ส่วนรูปก็คือก้อนที่เรานั่งอยู่นี่แหละ ส่วนนามธรรมคือตัววิญญาณกับตัวอาการของวิญญาณหรือว่าตัวใจนะ ถ้าเรามีสติเข้าไปอบรม ไปชี้แนะวิธีการแนวทางอบรม รู้จักแก้ไขอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ใจก็จะยอมรับความเป็นจริง ใจเกิดกิเลสเขาก็หยุด ใจส่งออกไปภายนอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ก็พยายามเอานะพยายามพากันสร้างบารมี
แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่า หรือว่าเรามีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเกียจคร้าน เราก็พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา รู้จักเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ทั้งภาระหน้าที่การงาน ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ลักษณะของสติที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างนี้ ความสืบต่อความต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ เรารู้ใจตั้งแต่ตั้งต้นเหตุของการเกิดของใจไม่ทัน เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ดับตั้งแต่ภายใน ดับภายในไม่ได้ก็ไม่ให้ออกทางกายทางวาจา ถ้าจะออกทางวาจาเราก็ใช้ปัญญาหลบหลีก
กายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจ ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล อบรมใจให้ได้จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นถึงจะเรียกตนเป็นที่พึ่งของตน
การได้ยิน การได้ฟัง การได้อ่าน ทุกคนมีมากันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ ผ่านกาลผ่านเวลาผ่านร้อนผ่านหนาวกันมา แสวงหาความสุข ถึงได้ออกมาทำบุญให้ทาน มาฝึกมาทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ฝึกใจของเราก็ไม่มีใครจะฝึกเราให้เราได้เลย แม้แต่พระพุทธองค์ท่านก็เป็นแค่เพียงผู้บอกผู้ชี้แนะแนวทางให้
ถ้าเราไม่ปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจมันก็ยากที่จะเข้าถึง ปฏิบัติไม่ถูกที่ ปฏิบัติไม่อยู่ในแนวครรลองครองธรรม มันก็ห่างไกลอีก หลายสิ่งหลายอย่างกว่าจะเข้าถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ความไม่ต้องการกลับมาเกิด มันก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย อุปสรรคทั้งภายนอกอุปสรรคภายใน เหตุจากภายนอกทำให้เกิดจากภายใน เหตุจากภายในเราต้องแก้ภายใน แก้ทั้งข้างในแก้ทั้งข้างนอก ทั้งโลกทั้งธรรม เพราะว่าโลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน
กายของเรานี้แหละก้อนโลก ตราบใดที่ใจของเรายังคลายจากขันธ์ห้าไม่ได้ ใจของเราก็ยังไม่ตกกระแสธรรม ถึงคลายได้แยกได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจขาดการละกิเลสมันก็เหมือนเดิม เราก็ต้องพยายามเอา จะไปโทษใครไม่ได้ โทษตัวเราคนเดียว แก้ไขตัวเราคนเดียว มีเรื่องๆ ของเราคนเดียว นอกนั้นก็มีตั้งแต่ความอนุเคราะห์ ความเมตตา ช่วยเหลือกันในระดับของสมมติ ส่วนวิมุตติความหลุดพ้นก็ต้องแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ก่อนที่จะเข้าถึงการดับทุกข์หลุดพ้นได้ เราก็ต้องแก้ไขทั้งสมมติทั้งวิมุตติ
สมมติของเรามีความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ความสะดวกสบายทางสมมติเป็นอย่างไร ที่พักที่อาศัยที่ถ่ายที่เยี่ยวที่อยู่ที่กินก็มีพอไม่ได้ลำบาก ถ้าไม่มีล่ะ? ลำบาก อาหารจะตกท้องก็ไม่มี จะปฏิบัติจะเอาตั้งแต่ธรรม แต่ท้องมันก็ร้องหิว หิวอยู่อย่างนั้นมันก็ไปไม่ไหว มันก็ต้องควบคู่กันทั้งสองอย่าง ทั้งโลกทั้งธรรมเพราะท่านก็ว่าธรรมกับโลกอาศัยกันอยู่ โลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ แต่เวลานี้เขายังหลงยังรวมกันอยู่ ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายเพื่อที่จะให้รู้ลึกถึงต้นเหตุของใจ แล้วก็แก้ไขตัวเรา พยายามเอานะ
ส่วนการขัดเกลากิเลส ส่วนการเจริญสติ ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรให้เป็นเลิศ จนเห็นเหตุเห็นผลชี้เหตุชี้ผลว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญอะไรควรดำเนิน หมดความสงสัยหมดความลังเลพยายามก้าวเดินให้ถึงจุดหมาย ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ