
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 79
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 79
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 79
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว หยุดพันธะภาระหน้าที่ทางสมมติเราก็หยุดขณะที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเวลาหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสนใจกัน เวลาจะสร้างความรู้ตัวทีนี่ก็อึดอัด บางทีกายก็อึดอัด บางทีใจก็อึดอัด บางทีสมองก็อึดอัด บางทีก็กลืนน้ำลายบ้าง บางทีก็คันนู่นคันนี่ หยุกๆ หยิกๆ สารพัดอย่าง เราพยายามฝืนๆ ให้ผ่านพวกนี้ไปให้ได้ ให้มีความรู้ตัวอยู่ที่ลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ความสืบต่อความต่อเนื่องนั่นแหละ ที่ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เรามองข้าม เรามองข้าม เราจะเอาตั้งแต่ความคิดปัญญาเก่าๆ ไปนึกเอาไปคิดไปค้นหาเอา อันนั้นเขาเรียกว่า ‘ปัญญาทางโลกีย์’ ปัญญาที่เกิดจากการหลง ยังหลงอยู่ ใจยังเกิดอยู่ ท่านให้มาสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติตัวใหม่ไปอบรมใจ ไปควบคุมใจของเราให้ได้ เวลานี้ใจของเราเกิดด้วยหลงด้วยยึดด้วย การก่อตัวการปรุงแต่ง
เราเจริญสติอยู่กับลมหายใจบ่อยๆ ใจก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับกาย จนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้ จนสติครบ ปัญญาของเราสังเกตเห็น ใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมาได้ นั่นแหละเขาถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก
ความเห็นถูกในหลักธรรมเพียงแค่เริ่มต้น ถ้าแยกแยะได้ เห็นได้ ตามสติตามเห็นความเกิดความดับ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ในของหมายของหลักธรรมของพระพุทธองค์ตามเห็นการเกิดการตั้งอยู่การดับไปเราก็จะเห็นอนิจจังความไม่เที่ยงของความคิด หรือว่าภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘กองสังขาร’ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม
เกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ ตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ที่ท่านเปรียบเสมือนกับมายาไม่มีตัวตนแต่ใจของเราเข้าไปหลงไปรวมก็เลยเกิดตัวตน เกิดอัตตาตัวตนกายก็เลยหนักใจก็เลยหนักหนักแล้วก็ยังไม่พอใจก็มีความทะเยอทะยานอยาก ด้วยอำนาจของกิเลสอีก เอากิเลสมาทับถมตัวเองอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด แล้วก็เอาสมมติต่างๆ มาทับถมอีกจนเดินจะไม่ไหว
บุคคลมีสติมีปัญญาจะคลายออกให้มันหมด คลายออกให้มันหมด เหลือก็แต่ความว่างความบริสุทธิ์ กายสมมติก็มีอยู่ ใจวิมุตติก็ยังอยู่ ใจก็เบากายก็เบาเดินเหินเหมือนจะเหาะ ใจจะเกิดกิเลสก็รู้จักละ ทำความเข้าใจกับสมมติ สมมติอะไรที่เรายังเข้าไปข้องแวะ อะไรที่จะทำความสุขความเจริญ ไม่ยังสมมติของเราให้ได้ลำบาก ขณะที่ยังมีลมหายใจเราก็แสวงหา เราก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ใจของเราก็ยังบริสุทธิ์ ยังนิ่งยังว่าง ยังโล่งยังโปร่งอยู่
กายทำหน้าที่อย่างนี้นะ ใจทำหน้าที่อย่างนี้นะ สติปัญญาทำความเข้าใจชี้เหตุชี้ผล ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีการสังเกต เป็นบุคคลที่มีการวิเคราะห์ มีความกล้าหาญ อาจหาญ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความเด็ดขาด มีสัจจะกับตัวเอง เป็นคนพูดจริงทำจริง มีสัจจะ มีวิริยะมีความเพียร เป็นลูกโซ่ตามมา ไม่ใช่ว่าไปฟังธรรมทุกอย่างก็เป็นธรรมหมดถ้าใจของเราเป็นธรรม จะบุญหรือบาป ดำ หรือขาวก็เป็นธรรม ท่านให้ละดำสร้างขาว ละอกุศลเจริญกุศล สูงขึ้นไปก็คลายใจออกให้รับรู้ผิดถูกชั่วดีปัญญาไปแก้ไข
พระเราชีเราทั้งพระใหม่พระเก่าต้องเป็นผู้ใหม่ แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราดูสิ เรามาแก้ไขตัวเราได้แล้วหรือยัง เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่าเรามีความเสียสละ จิตใจของเรามีพรหมวิหาร มีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือว่ามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็มาแก้ไขเสีย มาแก้ไข รีบแก้ไขขณะที่กำลังกายของเรายังมีอยู่ หมดกำลังกายหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป
สติปัญญาในทางโลก เราก็พอที่จะมีทำความเข้าใจได้อยู่ อานิสงส์ผลบุญแต่ละคนก็สร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนบางท่านก็สร้างสมมติมาจนล้นปรี่ ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ถูกพ่อแม่สร้างไว้ให้หมดแล้วก็มี บางคนบางท่านก็มาขวนขวายมาแสวงหา ลำบากบ้าง อดบ้าง ได้ดีบ้างลุ่มๆ ดอนๆ ก็พยายามมาแก้ไขอยู่ปัจจุบัน มีความสุขในการทำความเข้าใจ อะไรมันขาดตกบกพร่อง ล้มลุกขึ้นมาแก้ไขใหม่ เพิ่มใหม่ ทำความเพียรใหม่ แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ให้อภัยซึ่งกันและกัน เริ่มต้นใหม่
ดูใจของเราให้มีความสุขอยู่กับสมมติต่างๆ มีความสุขกับสมมติ เคารพสมมติไม่ยึดติดสมมติสมมติว่าเป็นโน่นสมมติว่าเป็นนี่ แต่เราต้องคลายสมมติภายในให้ได้หรือว่าแยกรูปแยกนามภายในให้ได้เสียก่อน มีไม่เยอะหรอก มีอยู่ในกายก้อนนี้แหละของดีเยอะ เราพยายามรีบตักตวงสร้างกำไรขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่ สร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมจากภายในของเราล้นออกไปสู่ภายนอกสู่พี่สู่น้อง ตอนนี้เราต้องเดินของเราให้มันถึงจุดหมาย เป็นเรื่องของทุกคนเรามาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าอคติอย่าเพ่งโทษ ให้แก้ไขตัวเราขนาบตัวเราสอนตัวเรา และก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้ารู้จักหน้าที่ถ้ารู้จักรับผิดชอบ รู้จักพร่ำสอนตัวเรารู้จักแก้ไขตัวเรา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การวิเคราะห์การดับการสังเกตรู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด ความอ่อนน้อมถ่อมตน การละทิฏฐิ ละมานะ ละความเป็นแก่ตัว ละความแข็งกร้าวแข็งกระด้างของกิเลส ขจัดกิเลสออกให้มันหมด กิเลสมันก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันก็ทั้งมีกิเลสทั้งฝ่ายดีฝ่ายไม่ดี มันก็เล่นงานเรามาไม่รู้กี่ภพนั่นแหละ เราก็พยายามเอานะ พยายามกันทุกคนนั่นแหละสักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็ละ มันละไม่หมด วันนี้วันพรุ่งนี้เดือนนี้เดือนหน้ามันไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ขอให้เกิดอยู่ในบุญในกุศลเอาไว้
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันปวารณาเข้าพรรษากัน ญาติโยมก็คงจะมาเยอะ มาทำบุญตักบาตร ตกเย็นก็มีการเวียนเทียน รำลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ระลึกนึกถึงความบริสุทธิ์ความเมตตาของท่านบริสุทธิ์คุณของท่าน และก็พวกเราก็น้อมนำมาปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจ เราก็จะได้เข้าถึงองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำใจให้เป็นพระ ทำกายให้เป็นวัด เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ไปไหนเราก็จะได้เข้าวัด อยู่กลางทุ่งนา กลางที่ทำการทำงาน กลางโรงหนัง กลางตลาดเราก็ได้เข้าวัดเพราะเราเอากายเป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ มีความสุข ใจก็เป็นบุญอยู่กับบุญ ไปที่ไหนเราก็มีตั้งแต่ความสุข
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว หยุดพันธะภาระหน้าที่ทางสมมติเราก็หยุดขณะที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่กระทบปลายจมูกของเรานั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเวลาหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสนใจกัน เวลาจะสร้างความรู้ตัวทีนี่ก็อึดอัด บางทีกายก็อึดอัด บางทีใจก็อึดอัด บางทีสมองก็อึดอัด บางทีก็กลืนน้ำลายบ้าง บางทีก็คันนู่นคันนี่ หยุกๆ หยิกๆ สารพัดอย่าง เราพยายามฝืนๆ ให้ผ่านพวกนี้ไปให้ได้ ให้มีความรู้ตัวอยู่ที่ลมหายใจของเราให้ต่อเนื่อง ความสืบต่อความต่อเนื่องนั่นแหละ ที่ท่านเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เรามองข้าม เรามองข้าม เราจะเอาตั้งแต่ความคิดปัญญาเก่าๆ ไปนึกเอาไปคิดไปค้นหาเอา อันนั้นเขาเรียกว่า ‘ปัญญาทางโลกีย์’ ปัญญาที่เกิดจากการหลง ยังหลงอยู่ ใจยังเกิดอยู่ ท่านให้มาสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติตัวใหม่ไปอบรมใจ ไปควบคุมใจของเราให้ได้ เวลานี้ใจของเราเกิดด้วยหลงด้วยยึดด้วย การก่อตัวการปรุงแต่ง
เราเจริญสติอยู่กับลมหายใจบ่อยๆ ใจก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ มาอยู่กับกาย จนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้ จนสติครบ ปัญญาของเราสังเกตเห็น ใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมาได้ นั่นแหละเขาถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก
ความเห็นถูกในหลักธรรมเพียงแค่เริ่มต้น ถ้าแยกแยะได้ เห็นได้ ตามสติตามเห็นความเกิดความดับ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ ในของหมายของหลักธรรมของพระพุทธองค์ตามเห็นการเกิดการตั้งอยู่การดับไปเราก็จะเห็นอนิจจังความไม่เที่ยงของความคิด หรือว่าภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘กองสังขาร’ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม
เกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ ตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ที่ท่านเปรียบเสมือนกับมายาไม่มีตัวตนแต่ใจของเราเข้าไปหลงไปรวมก็เลยเกิดตัวตน เกิดอัตตาตัวตนกายก็เลยหนักใจก็เลยหนักหนักแล้วก็ยังไม่พอใจก็มีความทะเยอทะยานอยาก ด้วยอำนาจของกิเลสอีก เอากิเลสมาทับถมตัวเองอีก กิเลสหยาบกิเลสละเอียด แล้วก็เอาสมมติต่างๆ มาทับถมอีกจนเดินจะไม่ไหว
บุคคลมีสติมีปัญญาจะคลายออกให้มันหมด คลายออกให้มันหมด เหลือก็แต่ความว่างความบริสุทธิ์ กายสมมติก็มีอยู่ ใจวิมุตติก็ยังอยู่ ใจก็เบากายก็เบาเดินเหินเหมือนจะเหาะ ใจจะเกิดกิเลสก็รู้จักละ ทำความเข้าใจกับสมมติ สมมติอะไรที่เรายังเข้าไปข้องแวะ อะไรที่จะทำความสุขความเจริญ ไม่ยังสมมติของเราให้ได้ลำบาก ขณะที่ยังมีลมหายใจเราก็แสวงหา เราก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ใจของเราก็ยังบริสุทธิ์ ยังนิ่งยังว่าง ยังโล่งยังโปร่งอยู่
กายทำหน้าที่อย่างนี้นะ ใจทำหน้าที่อย่างนี้นะ สติปัญญาทำความเข้าใจชี้เหตุชี้ผล ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีการสังเกต เป็นบุคคลที่มีการวิเคราะห์ มีความกล้าหาญ อาจหาญ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความเด็ดขาด มีสัจจะกับตัวเอง เป็นคนพูดจริงทำจริง มีสัจจะ มีวิริยะมีความเพียร เป็นลูกโซ่ตามมา ไม่ใช่ว่าไปฟังธรรมทุกอย่างก็เป็นธรรมหมดถ้าใจของเราเป็นธรรม จะบุญหรือบาป ดำ หรือขาวก็เป็นธรรม ท่านให้ละดำสร้างขาว ละอกุศลเจริญกุศล สูงขึ้นไปก็คลายใจออกให้รับรู้ผิดถูกชั่วดีปัญญาไปแก้ไข
พระเราชีเราทั้งพระใหม่พระเก่าต้องเป็นผู้ใหม่ แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราดูสิ เรามาแก้ไขตัวเราได้แล้วหรือยัง เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือเปล่าเรามีความเสียสละ จิตใจของเรามีพรหมวิหาร มีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือว่ามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็มาแก้ไขเสีย มาแก้ไข รีบแก้ไขขณะที่กำลังกายของเรายังมีอยู่ หมดกำลังกายหมดลมหายใจก็มีแต่เรื่องบุญเรื่องบาป
สติปัญญาในทางโลก เราก็พอที่จะมีทำความเข้าใจได้อยู่ อานิสงส์ผลบุญแต่ละคนก็สร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนบางท่านก็สร้างสมมติมาจนล้นปรี่ ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ถูกพ่อแม่สร้างไว้ให้หมดแล้วก็มี บางคนบางท่านก็มาขวนขวายมาแสวงหา ลำบากบ้าง อดบ้าง ได้ดีบ้างลุ่มๆ ดอนๆ ก็พยายามมาแก้ไขอยู่ปัจจุบัน มีความสุขในการทำความเข้าใจ อะไรมันขาดตกบกพร่อง ล้มลุกขึ้นมาแก้ไขใหม่ เพิ่มใหม่ ทำความเพียรใหม่ แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ให้อภัยซึ่งกันและกัน เริ่มต้นใหม่
ดูใจของเราให้มีความสุขอยู่กับสมมติต่างๆ มีความสุขกับสมมติ เคารพสมมติไม่ยึดติดสมมติสมมติว่าเป็นโน่นสมมติว่าเป็นนี่ แต่เราต้องคลายสมมติภายในให้ได้หรือว่าแยกรูปแยกนามภายในให้ได้เสียก่อน มีไม่เยอะหรอก มีอยู่ในกายก้อนนี้แหละของดีเยอะ เราพยายามรีบตักตวงสร้างกำไรขณะที่ยังมีกำลังกายอยู่ สร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยมจากภายในของเราล้นออกไปสู่ภายนอกสู่พี่สู่น้อง ตอนนี้เราต้องเดินของเราให้มันถึงจุดหมาย เป็นเรื่องของทุกคนเรามาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าอคติอย่าเพ่งโทษ ให้แก้ไขตัวเราขนาบตัวเราสอนตัวเรา และก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้ารู้จักหน้าที่ถ้ารู้จักรับผิดชอบ รู้จักพร่ำสอนตัวเรารู้จักแก้ไขตัวเรา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การวิเคราะห์การดับการสังเกตรู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด ความอ่อนน้อมถ่อมตน การละทิฏฐิ ละมานะ ละความเป็นแก่ตัว ละความแข็งกร้าวแข็งกระด้างของกิเลส ขจัดกิเลสออกให้มันหมด กิเลสมันก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันก็ทั้งมีกิเลสทั้งฝ่ายดีฝ่ายไม่ดี มันก็เล่นงานเรามาไม่รู้กี่ภพนั่นแหละ เราก็พยายามเอานะ พยายามกันทุกคนนั่นแหละสักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็ละ มันละไม่หมด วันนี้วันพรุ่งนี้เดือนนี้เดือนหน้ามันไม่หมดจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า ตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ก็ขอให้เกิดอยู่ในบุญในกุศลเอาไว้
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันปวารณาเข้าพรรษากัน ญาติโยมก็คงจะมาเยอะ มาทำบุญตักบาตร ตกเย็นก็มีการเวียนเทียน รำลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ระลึกนึกถึงความบริสุทธิ์ความเมตตาของท่านบริสุทธิ์คุณของท่าน และก็พวกเราก็น้อมนำมาปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจ เราก็จะได้เข้าถึงองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำใจให้เป็นพระ ทำกายให้เป็นวัด เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ไปไหนเราก็จะได้เข้าวัด อยู่กลางทุ่งนา กลางที่ทำการทำงาน กลางโรงหนัง กลางตลาดเราก็ได้เข้าวัดเพราะเราเอากายเป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ มีความสุข ใจก็เป็นบุญอยู่กับบุญ ไปที่ไหนเราก็มีตั้งแต่ความสุข
วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ