
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 46
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 46
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 46
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ
การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้ตัว เรามีความรู้ตัว ดูรู้อยู่ที่ปลายจมูก เหมือนกับนายประตูทวารคอยสังเกตดูว่ารถคันไหนจะวิ่งเข้าก็รู้อยู่ รถคนไหนจะวิ่งออกก็รู้อยู่ ลมหายใจเข้า มีความสัมผัสปลายจมูกของเรา
ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ การสูดลมหายใจยาวๆ นี่สัมผัสความรู้สึกรับรู้ก็จะชัดเจน ทั้งหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เรารู้ให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง เราก็จะรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ อาการของใจที่ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้ อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด เป็นอาการของขันธ์ใดขันธ์หนึ่งในขันธ์ห้า ผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรารู้ทันขณะเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะดีดออกหงายออกมา นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ นั่นแหละที่เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกเห็นถูก เห็นการแยกการคลาย คลายความยึดมั่นถือมั่น ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวของเราก็ตามเห็น การเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’
ถ้าตามดูทุกเรื่องทุกครั้ง กำลังสติของเราถึงจะพุ่งแรง พุ่งแรงจากกำลังสติก็จะกลายเป็นมหาสติต่อเนื่องเชื่อมโยง จากมหาสติ ตามค้นคว้าจนหมดความสงสัย หมดความลังเล ที่ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อันนี้ก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในดวงวิญญาณ เห็นความจริงปรากฏขึ้นด้วยปัญญา
ใจของเราคลายออกรับรู้อยู่ ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง’ รู้ลักษณะเห็นอาการ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความเกิดความดับอยู่ตลอดเวลา ตามทำความเข้าใจ จนไม่มีอะไรที่จะเหลือ ใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักแก้ไขใจส่งออกไปภายนอก ทั้งหลงขันธ์ห้า ทั้งเป็นทาสกิเลสด้วย เราก็จะทำความเข้าใจ นี่แหละคืออริยสัจความจริงอันประเสริฐ ใจส่งไปภายนอก เขาเรียก ‘สมุทัย’ สาเหตุแห่งทุกข์ สารพัดอย่างที่เราจะต้องทำความเข้าใจในชีวิตของเราทุกเรื่อง
เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ระลึกนึกถึงคุณของท่านว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านก็คงไม่ค้นพบแล้วเอามา ประกาศให้สัตว์โลกได้เห็น ได้รู้ได้ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าการละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสที่กายที่ใจ ท่านถึงว่า ‘กายกรรม มโนกรรม’ และก็ ‘วจีกรรม’ ไล่เลียงลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดับความเกิดของใจ ใจไม่เกิด ใจไม่เกิด มันก็ไม่มีกิเลส ความเกิดนั่นละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
แต่กิเลสมันหลายชั้นจริงๆ เราต้องค้นคว้าพิจารณาแก้ไข ค่อยขัด ค่อยเลาะ ค่อยเกา ค่อยเอาออก จากความโลภความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ เพราะว่าใจไม่เป็นกลาง ถ้าใจยังเกิด เป็นกิเลสหมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด แม้แต่บุญแม้แต่ความดีก็เป็นกิเลส
แต่ในหลักธรรมแล้วท่านก็ให้ละหมด อยู่เหนือบุญเหนือบาป สร้างบุญละบาป สร้างกุศล ไม่ยึดติดในบุญในกุศล อยู่เหนือบุญเหนือบาป ทำใจให้สะอาด ละอกุศลเจริญกุศล ทำใจให้บริสุทธิ์ จะเข้าสู่องค์โอวาทปาติโมกข์ คือทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ กลับมาเกิดกันไปอย่างไรมาอย่างไร
เราอย่าทำของยาก เราอย่าทำของง่ายให้เป็นของยาก จงพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย ไม่เอาใจ ไม่เอาอะไรสักอย่าง ในความไม่เอา ในความคลายออกให้มันหมด ถ้าเราคลายออกไปหมดแล้ว ก็เข้าถึงความบริสุทธิ์ของใจ ดับความเกิดของใจก็เข้าถึงตัวใจ ในกายของเรานี้มีใจรับรู้อยู่
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ หรืออาจจะไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ปัญญาโลกๆ ที่ตามอำเภอใจ ตามอำนาจกิเลสอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวเข้าไป ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผล ใช้ตบะอย่างยิ่งยวด ใจมีกิเลส ละกิเลส ใจมีความโกรธ ละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม เรามีความเกียจคร้าน สร้างความขยัน เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรารอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในวิญญาณในกายแล้วหรือยัง รอบรู้ในปัจจัยที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รอบรู้ในโลกธรรม
ทำความเข้าใจให้มันรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ถ้าเราเกียจคร้าน ไม่ว่าสมมติวิมุตติ ก็จะเอาตัวเองไม่รอด จงเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักทำความเข้าใจสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ
ถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วเอาอะไรมาฉุดเอาไว้ก็ไม่อยู่ ขณะที่ยังมีลมหายใจ ก็พยายามสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดีให้เต็มเปี่ยม จะได้เป็นบุคคลที่ไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อตามความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากใจเอาไว้ นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ
การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็มีความรู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้ตัว เรามีความรู้ตัว ดูรู้อยู่ที่ปลายจมูก เหมือนกับนายประตูทวารคอยสังเกตดูว่ารถคันไหนจะวิ่งเข้าก็รู้อยู่ รถคนไหนจะวิ่งออกก็รู้อยู่ ลมหายใจเข้า มีความสัมผัสปลายจมูกของเรา
ถ้าความรู้สึกไม่เด่นชัด เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ การสูดลมหายใจยาวๆ นี่สัมผัสความรู้สึกรับรู้ก็จะชัดเจน ทั้งหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เรารู้ให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่เดิม การเกิดของขันธ์ห้านั้นมีอยู่เดิม ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง เราก็จะรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ อาการของใจที่ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้ อาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด เป็นอาการของขันธ์ใดขันธ์หนึ่งในขันธ์ห้า ผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรารู้ทันขณะเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะดีดออกหงายออกมา นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ นั่นแหละที่เรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกเห็นถูก เห็นการแยกการคลาย คลายความยึดมั่นถือมั่น ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวของเราก็ตามเห็น การเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’
ถ้าตามดูทุกเรื่องทุกครั้ง กำลังสติของเราถึงจะพุ่งแรง พุ่งแรงจากกำลังสติก็จะกลายเป็นมหาสติต่อเนื่องเชื่อมโยง จากมหาสติ ตามค้นคว้าจนหมดความสงสัย หมดความลังเล ที่ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน อันนี้ก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในดวงวิญญาณ เห็นความจริงปรากฏขึ้นด้วยปัญญา
ใจของเราคลายออกรับรู้อยู่ ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง’ รู้ลักษณะเห็นอาการ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความเกิดความดับอยู่ตลอดเวลา ตามทำความเข้าใจ จนไม่มีอะไรที่จะเหลือ ใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ รู้จักละ รู้จักแก้ไขใจส่งออกไปภายนอก ทั้งหลงขันธ์ห้า ทั้งเป็นทาสกิเลสด้วย เราก็จะทำความเข้าใจ นี่แหละคืออริยสัจความจริงอันประเสริฐ ใจส่งไปภายนอก เขาเรียก ‘สมุทัย’ สาเหตุแห่งทุกข์ สารพัดอย่างที่เราจะต้องทำความเข้าใจในชีวิตของเราทุกเรื่อง
เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนเรื่องอะไร ระลึกนึกถึงคุณของท่านว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ถ้าไม่มีจริงท่านก็คงไม่ค้นพบแล้วเอามา ประกาศให้สัตว์โลกได้เห็น ได้รู้ได้ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ท่านถึงบอกให้เชื่อ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าการละกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสที่กายที่ใจ ท่านถึงว่า ‘กายกรรม มโนกรรม’ และก็ ‘วจีกรรม’ ไล่เลียงลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดับความเกิดของใจ ใจไม่เกิด ใจไม่เกิด มันก็ไม่มีกิเลส ความเกิดนั่นละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
แต่กิเลสมันหลายชั้นจริงๆ เราต้องค้นคว้าพิจารณาแก้ไข ค่อยขัด ค่อยเลาะ ค่อยเกา ค่อยเอาออก จากความโลภความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ เพราะว่าใจไม่เป็นกลาง ถ้าใจยังเกิด เป็นกิเลสหมด กิเลสหยาบกิเลสละเอียด แม้แต่บุญแม้แต่ความดีก็เป็นกิเลส
แต่ในหลักธรรมแล้วท่านก็ให้ละหมด อยู่เหนือบุญเหนือบาป สร้างบุญละบาป สร้างกุศล ไม่ยึดติดในบุญในกุศล อยู่เหนือบุญเหนือบาป ทำใจให้สะอาด ละอกุศลเจริญกุศล ทำใจให้บริสุทธิ์ จะเข้าสู่องค์โอวาทปาติโมกข์ คือทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ กลับมาเกิดกันไปอย่างไรมาอย่างไร
เราอย่าทำของยาก เราอย่าทำของง่ายให้เป็นของยาก จงพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย ไม่เอาใจ ไม่เอาอะไรสักอย่าง ในความไม่เอา ในความคลายออกให้มันหมด ถ้าเราคลายออกไปหมดแล้ว ก็เข้าถึงความบริสุทธิ์ของใจ ดับความเกิดของใจก็เข้าถึงตัวใจ ในกายของเรานี้มีใจรับรู้อยู่
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ หรืออาจจะไม่มีเลย มีตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ปัญญาโลกๆ ที่ตามอำเภอใจ ตามอำนาจกิเลสอยู่ตลอดเวลา เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวเข้าไป ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผล ใช้ตบะอย่างยิ่งยวด ใจมีกิเลส ละกิเลส ใจมีความโกรธ ละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม เรามีความเกียจคร้าน สร้างความขยัน เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรารอบรู้ในขันธ์ห้า รอบรู้ในวิญญาณในกายแล้วหรือยัง รอบรู้ในปัจจัยที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว รอบรู้ในโลกธรรม
ทำความเข้าใจให้มันรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ถ้าเราเกียจคร้าน ไม่ว่าสมมติวิมุตติ ก็จะเอาตัวเองไม่รอด จงเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร ขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักทำความเข้าใจสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ
ถึงเวลาก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วเอาอะไรมาฉุดเอาไว้ก็ไม่อยู่ ขณะที่ยังมีลมหายใจ ก็พยายามสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดีให้เต็มเปี่ยม จะได้เป็นบุคคลที่ไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อตามความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ