หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 22
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 22
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 22
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 มีนาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา พยายามดูรู้ ให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้างความรับรู้ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม จาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 เป็น 10 จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง เอาไปอบรมใจของเรา ไปอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ใจของเราให้เป็น
การเกิดของใจ เราดับความเกิดของใจได้หรือไม่ ดับความคิดนั่นแหละ ความคิดที่เกิดจากใจความคิดที่เกิดจากใจส่งออกไปภายนอก สาเหตุแห่งทุกข์ นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สมุทัย’ เราดับความเกิดของใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน
ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงอะไร หลงความคิด หลงขันธ์ห้า หลงอารมณ์ ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาถึงเวลามาอยู่ในภพมนุษย์ คือมาสร้างร่างกายมาสร้างขันธ์ห้า ของเรานี่แหละ เราก็มาอาศัยอยู่ในกายนี้แหละ หลงอยู่ในกายมนุษย์ มายึดมั่นถือมั่น อยู่ในกายมนุษย์ อยู่ในขันธ์ห้า ก้อนนี้ ขณะที่ยังอาศัยกายก้อนนี้อยู่ ก็ยังเกิดต่ออีก ความคิดเกิดต่ออีก หลงเกิดอีก หลงเกิดอีกยังไม่พอ ก็ไปหลงเป็นทาสของกิเลสอีก
กิเลสก็มีทั้งหยาบทั้งไม่หยาบ ทั้งความโลภความโกรธ ความยินดียินร้าย ทั้งความอยากทั้งไม่อยากสารพัดอย่าง เพราะว่าการเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติ ให้ลงที่กายของเราให้ได้ ให้ต่อเนื่อง ก็เพื่อที่จะไปอบรมใจของเรา อบรมใจของเรายังไม่ได้ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ เข้าไปหยุดเสียก่อนให้ใจของเราช้าลง กำลังสติของเราก็จะมากขึ้น
ส่วนศรัทธานั้นทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการฝักใฝ่สนใจ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ฝักใฝ่ในการทำบุญด้วยการให้ทาน ศรัทธาตรงนี้มีอยู่ แต่ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ก็ต้องเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์
แต่ละวันๆ ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง เรารู้จักสำรวจจิตใจของเรา มีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อม ใจของเรามีพรหมวิหารหรือไม่ จิตใจของเรามีความเสียสละ ละกิเลสหรือเปล่า มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ จิตใจของเรามีความกตัญญูกตเวทีหรือเปล่า มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ
วิมุตติคือตัวใจ ตราบใดที่ใจยังไม่คลายจากขันธ์ห้า หรือแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์อันละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป เราก็จะเข้าใจเพียงแค่ปัญญาโลกีย์แต่ก็ยังดับทุกข์ที่ใจของเรายังไม่ได้ เราก็ต้องพยายาม
พยายามสร้างตบะ สร้างความเพียร สร้างความอดทน หมั่นวิเคราะห์ หมั่นเจริญสติ รู้จักลักษณะของคำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ให้ต่อเนื่อง กว่าจะต่อเนื่องเป็นมหาสติได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เพียรในการขัดเกลากิเลส เพียรในการสร้างคุณงามความดี เพียรในการที่จะชำระสะสางใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แก้ไขตัวเรา อยู่คนเดียวก็แก้ไขใจของเรา อยู่หลายคนก็แก้ไขใจของเรา
คนทั่วไปจะไม่ค่อยจะสนใจในการเจริญสติ มีตั้งแต่จะคิด คิดเอา การฝึกหัดปฏิบัติใจนี่คิดเอาไม่ได้เด็ดขาด เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ใจคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมา
ใจเกิดกิเลส ก็ละกิเลส หนุนกำลังสติปัญญาไปคิดแทน คนไม่ตายก็ต้องคิด แต่ความคิดนั้นก็คิดด้วยสติ คิดด้วยปัญญา เราต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน ความรู้ตัวหรือว่าสติของเรานี่สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งเรียกว่า ‘ผู้รู้’ ส่วนใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึดเราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปควบคุมอบรม ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยถึงจะวางได้ ใจเกิดกิเลสก็ละกิเลส ท่านถึงบอกว่าเป็นการทวนกระแส ทวนกระแสกิเลส
เราก็ต้องพยายามทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชี เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปดูรู้ที่เหตุ เหตุเกิดจากที่ไหน ก็เกิดจากภายในของเรา เกิดจากใจของเรา ความเกิดของใจเป็นอย่างไร ใจถึงได้มาสร้างภพมนุษย์ แล้วก็เกิดต่ออีก ความคิดของเรา ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด เกิดประโยชน์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าวาจาก็ไม่รู้จักรักษา ยิ่งใจก็ยิ่งยากที่จะรักษาอีก ท่านถึงบอกให้รักษาทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ การกระทำของเราให้ถึงพร้อม อย่าดีแต่พูด คิดด้วย ทำด้วย ถึงด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะเกิดประโยชน์ อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา
คำสอนแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินตาม ในสิ่งที่ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หรือไม่ การเจริญสติคำว่า ‘สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก’ เป็นอย่างไร เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกก็ขาดการทำความเข้าใจที่ต่อเนื่อง จะไปเอาธรรมที่สูงได้อย่างไร เพียงแค่สติก็ไม่ได้เจริญ การดับ การละ การวิเคราะห์ การแยก การขัดเกลากิเลส ก็ไม่ค่อยจะเอา
จะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่ธรรม แสวงหาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้วก็ครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ก็มากขึ้นๆๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเข้าเกาะกุมจิตใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะขัดรู้จักเกลา มันก็ยากที่จะเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ได้
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่ไม่ตั้งใจผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจสักกี่ครั้ง เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายในโดยตรง เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ ควบคุมใจอบรมใจตลอดเวลา
ใจของคนเรานี้เปรียบเสมือนกับนักโทษใหญ่เลยทีเดียว เขาทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สารพัดอย่างทั้งเป็นทาสกิเลส เราก็มาคอยขัดเกลากิเลสออกให้จิตใจของเราเบาบาง ใจของเรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออกจิตใจของเรา มีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม จิตใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามขัดเกลาเอาออก ช่วยเหลืออนุเคราะห์
ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลสไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ความสงบ ความหมดจดก็จะตามมา การละกิเลสไม่มี อยากจะได้ตั้งแต่ความบริสุทธ์ มันจะได้อย่างไร การเจริญสติไม่มี ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงจะปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามเจริญสติจนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมา ว่างอยู่ในความว่าง เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘สมมติ วิมุตติ’ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
การเจริญสติ หนุนกำลังสติไปใช้ จนรู้แจ้งเห็นจริง สติสมาธิปัญญา เขาก็จะรักษาเรา ช่วงใหม่ๆ เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักรักษา รู้จักทำความเข้าใจ คำว่าศีลปกติเป็นอย่างไร ศีลสมมติศีลวิมุตติ ศีลสังคม อธิจิต อธิศีล อธิวินัย ภายใน ใจสะอาดใจบริสุทธิ์ การละชั่ว การสร้างคุณงามความดี ทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์นั่นแหละคือหัวใจของหลักของการปฏิบัติ แต่ละวันๆ เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง เพียงแค่ความเกิดก็เป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก
การพูดนี้ง่ายอยู่ แต่การลงมือจริงๆ นี่ยาก ถ้าเป็นบุคคลที่ไม่มีความเพียรก็ยากที่จะเข้าถึงบุคคลที่จะเข้าถึงทรัพย์ภายในได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย มองเห็นความเป็นจริง รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุง หาวิธีการหาแนวทาง
ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ทำอย่างไรใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวตำหนิคนโน้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ที่นั่นเป็นอย่างนั้น ที่นั่นเป็นอย่างนี้ ใจของเราไม่ดีถึงจะไปตำหนิภายนอก ถ้าใจของเราดี ข้างนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าข้างนอกดีถึงขนาดไหนถ้าใจของเราไม่ดี ใจของเรามันก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม
ท่านถึงบอกให้แก้ไขใจ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายในใจของเรา รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีความขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ตรงนั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ตรงนั้นด้วยละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความเสียสละ สร้างความอดทน มีสัจจะ มีความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่เล่น อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
ทั้งพระใหม่ พระเก่า ทั้งสามเณร ลูกเณรที่จะมาบวช ก็พยายามขยันหมั่นเพียรให้อยู่ในคำชี้แนะของท่านอาจารย์จิตร์ หรือว่าอาจารย์โก๋ ช่วยดูแลลูกเณร พยายามขยันหมั่นเพียร อย่าไปเกียจคร้านที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน เราก็ต้องช่วยกันดู ดูแลห้องส้วม ห้องน้ำ ตรงไหนไม่ดี เราก็ช่วยกันทำ ตรงไหนที่มันสกปรกเราก็ช่วยกันทำ ไม่ใช่แค่ปฏิบัติธรรม ทำอะไรไม่เป็น มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็ลำบากบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น เอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่
บุคคลที่ฝึกหัดปฏิบัติธรรมต้องเป็นบุคคลที่มีความขยัน ขยันหมั่นเพียร มีความเพียรเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน เอาความถูกต้อง เราต้องสร้างความถูกต้องภายในของเรา ให้ปรากฏความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากขันธ์ห้า เป็นอย่างไรกำลังสติของเราตามดูรู้เห็น พุ่งแรงจนเป็นมหาสติ มหาปัญญา ค้นคว้าจนไม่มีอะไรให้เหลือที่จะค้นคว้า จนนั่งดูมีแต่ดูกับรู้ มองเห็นความเป็นจริง
หลังจากอานิสงส์ภายในเต็มแล้ว งานภายในจบ เราก็สร้างงานภายนอกให้เป็นประโยชน์ งานสมมติให้เป็นประโยชน์ การพูด การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจริงๆ ก็ต้องพยายามกันนะ พยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
สมมติเราก็ไม่ได้ลำบากเหมือนกับสมัยก่อน สมัยก่อนยิ่งลำบากมากมาย เพียงแค่ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอนนี่ก็อยู่ตามร่มไม้ อยู่ตามหลุมศพ แม้ตั้งแต่ที่พัก ที่นั่ง แม้แต่ศาลาพวกนี้ก็ไม่มีลำบาก แม้แต่ถ้วยชามจะใส่กับข้าวกับปลากิน หลวงพ่อก็ต้องไปขุดเอาตามหลุมศพเลยทีเดียวมาไว้ใส่กับข้าวกับปลา อาหารการอยู่ การขบการฉันก็ลำบาก เพราะอานิสงส์ยังไม่เต็มเปี่ยม
ทุกวันนี้อานิสงส์สมมติก็เต็มเปี่ยม อะไรก็ไม่ได้ลำบาก พวกเราก็ต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณาใช้ให้เกิดประโยชน์ ประหยัด มัธยัสถ์ อะไรที่จะเกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน เราทำปัจจุบันให้ดี ก็จะส่งผลถึงอนาคต เรามาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา สาเหตุมาจากไหนพระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ ตั้งแต่ก่อนก็ไม่มีอะไรอยู่เราสมัยก่อนก็อยู่รูปเดียวมาเรื่อยๆ ก็เพิ่มขึ้นมา คนโน้นคนนี้ก็มาอยู่ด้วย
เรามีบุญร่วมกันนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่รวมกัน ในเมื่อมาอยู่ร่วมกันแล้ว ความสมัครสมานสามัคคีความรับผิดชอบ ความเสียสละ มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าไปอคติกัน อย่าไปเพ่งโทษกัน อย่าไปจับกลุ่มจับก้อน กลุ่มกูกลุ่มมึง ชิงดี ชิงเด่นกัน เรามีหน้าที่ที่จะมาศึกษาทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ชี้ลงที่เหตุ เหตุเกิดเหตุดับภายในของเรา ให้มันถึงจุดหมาย
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 มีนาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา พยายามดูรู้ ให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้างความรับรู้ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
หายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม จาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 เป็น 10 จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง เอาไปอบรมใจของเรา ไปอบรมใจของเราให้ได้ ใช้ใจของเราให้เป็น
การเกิดของใจ เราดับความเกิดของใจได้หรือไม่ ดับความคิดนั่นแหละ ความคิดที่เกิดจากใจความคิดที่เกิดจากใจส่งออกไปภายนอก สาเหตุแห่งทุกข์ นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สมุทัย’ เราดับความเกิดของใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน
ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง หลงอะไร หลงความคิด หลงขันธ์ห้า หลงอารมณ์ ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งมาถึงเวลามาอยู่ในภพมนุษย์ คือมาสร้างร่างกายมาสร้างขันธ์ห้า ของเรานี่แหละ เราก็มาอาศัยอยู่ในกายนี้แหละ หลงอยู่ในกายมนุษย์ มายึดมั่นถือมั่น อยู่ในกายมนุษย์ อยู่ในขันธ์ห้า ก้อนนี้ ขณะที่ยังอาศัยกายก้อนนี้อยู่ ก็ยังเกิดต่ออีก ความคิดเกิดต่ออีก หลงเกิดอีก หลงเกิดอีกยังไม่พอ ก็ไปหลงเป็นทาสของกิเลสอีก
กิเลสก็มีทั้งหยาบทั้งไม่หยาบ ทั้งความโลภความโกรธ ความยินดียินร้าย ทั้งความอยากทั้งไม่อยากสารพัดอย่าง เพราะว่าการเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติ ให้ลงที่กายของเราให้ได้ ให้ต่อเนื่อง ก็เพื่อที่จะไปอบรมใจของเรา อบรมใจของเรายังไม่ได้ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ เข้าไปหยุดเสียก่อนให้ใจของเราช้าลง กำลังสติของเราก็จะมากขึ้น
ส่วนศรัทธานั้นทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ศรัทธาในการทำบุญ ในการให้ทาน ในการฝักใฝ่สนใจ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ฝักใฝ่ในการทำบุญด้วยการให้ทาน ศรัทธาตรงนี้มีอยู่ แต่ยังดับทุกข์ไม่ได้ สิ่งที่จะดับทุกข์ได้ก็ต้องเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์
แต่ละวันๆ ใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง เรารู้จักสำรวจจิตใจของเรา มีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อม ใจของเรามีพรหมวิหารหรือไม่ จิตใจของเรามีความเสียสละ ละกิเลสหรือเปล่า มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ จิตใจของเรามีความกตัญญูกตเวทีหรือเปล่า มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป กล้าหาญในสิ่งที่ควรกล้าหาญทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ
วิมุตติคือตัวใจ ตราบใดที่ใจยังไม่คลายจากขันธ์ห้า หรือแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์อันละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป เราก็จะเข้าใจเพียงแค่ปัญญาโลกีย์แต่ก็ยังดับทุกข์ที่ใจของเรายังไม่ได้ เราก็ต้องพยายาม
พยายามสร้างตบะ สร้างความเพียร สร้างความอดทน หมั่นวิเคราะห์ หมั่นเจริญสติ รู้จักลักษณะของคำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ ให้ต่อเนื่อง กว่าจะต่อเนื่องเป็นมหาสติได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เพียรในการขัดเกลากิเลส เพียรในการสร้างคุณงามความดี เพียรในการที่จะชำระสะสางใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แก้ไขตัวเรา อยู่คนเดียวก็แก้ไขใจของเรา อยู่หลายคนก็แก้ไขใจของเรา
คนทั่วไปจะไม่ค่อยจะสนใจในการเจริญสติ มีตั้งแต่จะคิด คิดเอา การฝึกหัดปฏิบัติใจนี่คิดเอาไม่ได้เด็ดขาด เราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ใจคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมา
ใจเกิดกิเลส ก็ละกิเลส หนุนกำลังสติปัญญาไปคิดแทน คนไม่ตายก็ต้องคิด แต่ความคิดนั้นก็คิดด้วยสติ คิดด้วยปัญญา เราต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน ความรู้ตัวหรือว่าสติของเรานี่สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งเรียกว่า ‘ผู้รู้’ ส่วนใจของเรานั้นเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึดเราก็ต้องมาเจริญสติเข้าไปควบคุมอบรม ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล จนใจมองเห็นความเป็นจริงใจยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยถึงจะวางได้ ใจเกิดกิเลสก็ละกิเลส ท่านถึงบอกว่าเป็นการทวนกระแส ทวนกระแสกิเลส
เราก็ต้องพยายามทั้งพระ ทั้งโยม ทั้งชี เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปดูรู้ที่เหตุ เหตุเกิดจากที่ไหน ก็เกิดจากภายในของเรา เกิดจากใจของเรา ความเกิดของใจเป็นอย่างไร ใจถึงได้มาสร้างภพมนุษย์ แล้วก็เกิดต่ออีก ความคิดของเรา ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะทำ ก่อนที่จะพูด เกิดประโยชน์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าวาจาก็ไม่รู้จักรักษา ยิ่งใจก็ยิ่งยากที่จะรักษาอีก ท่านถึงบอกให้รักษาทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ การกระทำของเราให้ถึงพร้อม อย่าดีแต่พูด คิดด้วย ทำด้วย ถึงด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย ถึงจะเกิดประโยชน์ อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา
คำสอนแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะดำเนินตาม ในสิ่งที่ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้หรือไม่ การเจริญสติคำว่า ‘สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก’ เป็นอย่างไร เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกก็ขาดการทำความเข้าใจที่ต่อเนื่อง จะไปเอาธรรมที่สูงได้อย่างไร เพียงแค่สติก็ไม่ได้เจริญ การดับ การละ การวิเคราะห์ การแยก การขัดเกลากิเลส ก็ไม่ค่อยจะเอา
จะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่ธรรม แสวงหาตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้วก็ครั้งหนึ่ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ก็มากขึ้นๆๆ กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเข้าเกาะกุมจิตใจอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะขัดรู้จักเกลา มันก็ยากที่จะเข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ได้
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว ขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่ไม่ตั้งใจผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจสักกี่ครั้ง เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายในโดยตรง เราต้องหัดวิเคราะห์ หัดวิเคราะห์ หัดสังเกต รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด รู้จักดับ ควบคุมใจอบรมใจตลอดเวลา
ใจของคนเรานี้เปรียบเสมือนกับนักโทษใหญ่เลยทีเดียว เขาทั้งเกิด ทั้งหลง ทั้งยึด สารพัดอย่างทั้งเป็นทาสกิเลส เราก็มาคอยขัดเกลากิเลสออกให้จิตใจของเราเบาบาง ใจของเรามีความโลภเราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออกจิตใจของเรา มีความโกรธ เราก็พยายามละความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม จิตใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามขัดเกลาเอาออก ช่วยเหลืออนุเคราะห์
ทำในสิ่งตรงกันข้ามกับกิเลส ใจของเราก็จะเบาบางจากกิเลสไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ความสงบ ความหมดจดก็จะตามมา การละกิเลสไม่มี อยากจะได้ตั้งแต่ความบริสุทธ์ มันจะได้อย่างไร การเจริญสติไม่มี ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงจะปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามเจริญสติจนเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจคลายออกจากขันธ์ห้าหงายขึ้นมา ว่างอยู่ในความว่าง เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘สมมติ วิมุตติ’ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
การเจริญสติ หนุนกำลังสติไปใช้ จนรู้แจ้งเห็นจริง สติสมาธิปัญญา เขาก็จะรักษาเรา ช่วงใหม่ๆ เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เราก็รู้จักรักษา รู้จักทำความเข้าใจ คำว่าศีลปกติเป็นอย่างไร ศีลสมมติศีลวิมุตติ ศีลสังคม อธิจิต อธิศีล อธิวินัย ภายใน ใจสะอาดใจบริสุทธิ์ การละชั่ว การสร้างคุณงามความดี ทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์นั่นแหละคือหัวใจของหลักของการปฏิบัติ แต่ละวันๆ เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง เพียงแค่ความเกิดก็เป็นกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดทั้งอยาก ทั้งไม่อยาก
การพูดนี้ง่ายอยู่ แต่การลงมือจริงๆ นี่ยาก ถ้าเป็นบุคคลที่ไม่มีความเพียรก็ยากที่จะเข้าถึงบุคคลที่จะเข้าถึงทรัพย์ภายในได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย มองเห็นความเป็นจริง รู้จักแก้ไข รู้จักปรับปรุง หาวิธีการหาแนวทาง
ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ทำอย่างไรใจของเราถึงจะบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวตำหนิคนโน้นเป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ ที่นั่นเป็นอย่างนั้น ที่นั่นเป็นอย่างนี้ ใจของเราไม่ดีถึงจะไปตำหนิภายนอก ถ้าใจของเราดี ข้างนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้าข้างนอกดีถึงขนาดไหนถ้าใจของเราไม่ดี ใจของเรามันก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม
ท่านถึงบอกให้แก้ไขใจ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายในใจของเรา รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรม ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีความขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ตรงนั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ตรงนั้นด้วยละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความเสียสละ สร้างความอดทน มีสัจจะ มีความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่เล่น อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา
ทั้งพระใหม่ พระเก่า ทั้งสามเณร ลูกเณรที่จะมาบวช ก็พยายามขยันหมั่นเพียรให้อยู่ในคำชี้แนะของท่านอาจารย์จิตร์ หรือว่าอาจารย์โก๋ ช่วยดูแลลูกเณร พยายามขยันหมั่นเพียร อย่าไปเกียจคร้านที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน เราก็ต้องช่วยกันดู ดูแลห้องส้วม ห้องน้ำ ตรงไหนไม่ดี เราก็ช่วยกันทำ ตรงไหนที่มันสกปรกเราก็ช่วยกันทำ ไม่ใช่แค่ปฏิบัติธรรม ทำอะไรไม่เป็น มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็ลำบากบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น เอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่
บุคคลที่ฝึกหัดปฏิบัติธรรมต้องเป็นบุคคลที่มีความขยัน ขยันหมั่นเพียร มีความเพียรเป็นเลิศ มีความรับผิดชอบเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กิน ไม่เห็นแก่นอน เอาความถูกต้อง เราต้องสร้างความถูกต้องภายในของเรา ให้ปรากฏความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากขันธ์ห้า เป็นอย่างไรกำลังสติของเราตามดูรู้เห็น พุ่งแรงจนเป็นมหาสติ มหาปัญญา ค้นคว้าจนไม่มีอะไรให้เหลือที่จะค้นคว้า จนนั่งดูมีแต่ดูกับรู้ มองเห็นความเป็นจริง
หลังจากอานิสงส์ภายในเต็มแล้ว งานภายในจบ เราก็สร้างงานภายนอกให้เป็นประโยชน์ งานสมมติให้เป็นประโยชน์ การพูด การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือจริงๆ ก็ต้องพยายามกันนะ พยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
สมมติเราก็ไม่ได้ลำบากเหมือนกับสมัยก่อน สมัยก่อนยิ่งลำบากมากมาย เพียงแค่ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอนนี่ก็อยู่ตามร่มไม้ อยู่ตามหลุมศพ แม้ตั้งแต่ที่พัก ที่นั่ง แม้แต่ศาลาพวกนี้ก็ไม่มีลำบาก แม้แต่ถ้วยชามจะใส่กับข้าวกับปลากิน หลวงพ่อก็ต้องไปขุดเอาตามหลุมศพเลยทีเดียวมาไว้ใส่กับข้าวกับปลา อาหารการอยู่ การขบการฉันก็ลำบาก เพราะอานิสงส์ยังไม่เต็มเปี่ยม
ทุกวันนี้อานิสงส์สมมติก็เต็มเปี่ยม อะไรก็ไม่ได้ลำบาก พวกเราก็ต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณาใช้ให้เกิดประโยชน์ ประหยัด มัธยัสถ์ อะไรที่จะเกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน เราทำปัจจุบันให้ดี ก็จะส่งผลถึงอนาคต เรามาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา สาเหตุมาจากไหนพระพุทธองค์ท่านชี้ลงที่เหตุ ตั้งแต่ก่อนก็ไม่มีอะไรอยู่เราสมัยก่อนก็อยู่รูปเดียวมาเรื่อยๆ ก็เพิ่มขึ้นมา คนโน้นคนนี้ก็มาอยู่ด้วย
เรามีบุญร่วมกันนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่รวมกัน ในเมื่อมาอยู่ร่วมกันแล้ว ความสมัครสมานสามัคคีความรับผิดชอบ ความเสียสละ มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าไปอคติกัน อย่าไปเพ่งโทษกัน อย่าไปจับกลุ่มจับก้อน กลุ่มกูกลุ่มมึง ชิงดี ชิงเด่นกัน เรามีหน้าที่ที่จะมาศึกษาทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ชี้ลงที่เหตุ เหตุเกิดเหตุดับภายในของเรา ให้มันถึงจุดหมาย
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้ถึงจุดหมายกัน