หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 126

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 126
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 126
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 126
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 29 ธันวาคม 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบายวางใจให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย หยุดภาระหน้าที่การงานทางสมมติ เราก็หยุดมาแล้ว ทีนี้เราก็มาหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ถึงเราจะหยุดไม่ได้ทุกเรื่อง ก็ขอให้หยุดขณะที่เรากำลังเจริญสติอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วย น้อมสำเหนียก

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย ให้ใจของเราได้สงบระงับลงไป การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเรารู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่า 'สติรู้กาย' เราพยายามสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความขยันในการเจริญสติตรงนี้ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ ทั้งที่ใจบางครั้งบางคราวก็ปกติอยู่ ทั้งที่ใจของเราก็มีศรัทธาเป็นบุญอยู่ พากันสร้างบารมีอยู่ในระดับหนึ่งของสมมติ แต่ขาดการเจริญสติที่จะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ

ใจที่ปกติเขาเรียกว่า 'สมาธิ' การเกิดของใจ อาการที่เขาเกิด เขาปรุงแต่งนั่นแหละความคิดของเรา ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมที่เกิดจากตัวใจ แล้วก็เกิดจากอาการของใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด เขาเคลื่อนเข้าไปรวม ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนร่างกายของเราก็เป็นก้อนรูป ถ้าเราเห็นใจกับอาการของขันธ์ห้าเคลื่อนเข้าไปรวม เขาจะคลายออกจากกัน เขาจะแยกออกจากกัน ใจของเราก็จะหงายขึ้นมา อันนี้ถึงเรียกว่า ‘เห็นถูกในทางธรรม’ เขาเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ'

แต่เวลานี้เราอาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ ยังไม่ใช่เห็นถูกที่แท้จริง เราพยายามหัดสังเกต ส่วนสติ ส่วนปัญญา หรือว่าส่วนสมอง เราพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ สังเกตไม่ทันก็เริ่มใหม่ ส่วนใจของคนเรานั้นเร็วไว เพราะว่าเขาเกิดมานาน เขาลงมานาน เขาเป็นเพื่อนกับขันธ์ห้ามานาน เราก็ใช้สมถะหยุดเอาไว้ก่อนถ้าเราไม่เห็นต้นเหตุ เพียงแค่สมถะก็ยังดับได้ยาก ก็ต้องพยายาม พยายามทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย

พยายามหัดวิเคราะห์ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ การปรุงแต่งของใจส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ เราต้องเห็นเขาแยกเขาคลาย เราก็ตามดู เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่า 'อัตตา' เป็นลักษณะอย่างนี้ 'อนัตตา' เป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าใจแยกออกมาตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เราก็จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในกายของเราเป็นของไม่เที่ยง ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แต่เราเห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน เรายังจำแนกแจกแจงไม่ได้ คิดก็รู้ว่าคิด ทำก็รู้ว่าทำ บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง เราต้องหัดสังเกต หัดวิเคราะห์ หัดจำแนกแจกแจง

แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราต้องพยายามอบรมใจของเรา แก้ไขใจของเรา เรามีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมหรือไม่ หรือว่ามีความเกียจคร้านเข้าครอบงำ สะสมตั้งแต่ความเกียจคร้าน ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้น ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลส ทวนกระแสความเกิดของใจ ของขันธ์ห้า

ความคิดเก่านั้นมีอยู่เดิม ปัญญาเก่าก็มีอยู่เดิม เขาเรียกว่า 'ปัญญาโลกีย์' ซึ่งเป็นปัญญาที่เข้าไปทำความสะอาด ดับทุกข์ที่ใจของเรายังไม่ได้ นอกจากปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา เข้าไปทำความเข้าใจ เข้าไปรู้เข้าไปเห็น เข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ ว่าเป็นเรื่องอะไร แล้วก็ทำความเข้าใจ จนมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสาระประโยชน์อะไร แล้วก็ค่อยละ เพราะว่าความจริงจะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา จนใจของเราเกิดความเบื่อหน่ายได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้

ถ้ากำลังสติไม่ตามทำความเข้าใจ เห็นเหตุเห็นผลจริงๆ ก็ยากที่เขาจะปล่อยวาง แต่เราก็อย่าไปทิ้ง เราพยายามสร้างความเพียรให้ต่อเนื่อง ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภด้วยการให้ด้วยการเอาออก ใจเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัย อโหสิกรรม เลือกมองเฉพาะส่วนที่ดีๆ ส่วนไหนที่ไม่ดี เราก็อย่าเอาไปเก็บมาคิด สูงขึ้นไปก็มองเฉพาะ คิดเฉพาะสิ่งที่ดี แล้วก็ไม่ยึดติด สำหรับใจไม่ให้เกิดเสียเลย ดับความเกิดของใจ ให้สติ เอาสติปัญญา ฝึกฝนสติปัญญาไปเกิดแทนทำหน้าที่แทน

ตราบใดที่ยังมีความเกิด ก็ต้องมีความตาย ความเกิดนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด เรายังละกิเลสหยาบๆ ยังไม่ได้ ยังคลายความหลงไม่ได้ คือแยกรูปแยกนามไม่ได้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามได้อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูก แต่การตามทำความเข้าใจต้องเข้มข้น การทำความเข้าใจ การละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมต่างๆ

ใจของเรามีความกังวล มีความลังเล มีความฟุ้งซ่านหรือไม่ ใจของเรามีมลทิน อคติเพ่งโทษคนโน้นคนนี้ เราก็รู้จักแก้ไข แก้ไขทั้งภายใน แก้ไขทั้งภายนอก เหตุจากภายนอกทำให้ใจของเราเกิด เราก็มาดับที่ใจ แล้วก็แก้ไขข้างนอกด้วย เพราะว่าคนเรายังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยสมมติอาศัยโลกธรรมอยู่ เรายังอยู่ร่วมกันอยู่ เราก็ต้องศึกษาทำความเข้าใจ

กายของเราเข้าไปร่วมสมมติ ให้ใจรับรู้ ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ แม้สติปัญญาของเราถ้าเป็นอกุศลเราก็ต้องให้ดับให้หยุดไม่ให้เกิด ให้เกิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์แต่ไม่ให้ยึดอีก สลับซับซ้อนมากเลยทีเดียว ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้องจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ

ถ้าสมมติของเราไม่เพียบพร้อม สมมติของเราไม่บริบูรณ์ ก็ยากที่จะเข้าถึง เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้สักต้น ถ้าเราปล่อยไปตามยถากรรมเขาก็เจริญช้า ถ้าเราหมั่นให้น้ำให้ฝุ่นให้ปุ๋ย คอยดูแล เขาก็เจริญเติบโตได้เร็วได้ไวขึ้น เราไม่อยากจะได้ดอกเราไม่อยากจะได้ผล แต่เราก็ได้ เพราะว่าการกระทำของเรามี การปฏิบัติใจก็เหมือนกัน

เราสำรวจใจของเราอยู่ตลอดเวลา ใจของเรามีความแข็งกร้าว แข็งกระด้าง ใจของเรามีความกังวลฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักแก้ไข ใจของเรามีความเกียจคร้าน เราก็รู้จักแก้ไข เราเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ มีความอดทน มีสัจจะกับตัวเราเอง หมั่นแก้ไขตัวเราเอง

กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดการดับของใจ ใจส่งออกไปภายนอกจะน้อมเข้าสู่หลักของอริยสัจ 'สมุทัย' เขาเรียกว่า 'ทุกขสมุทัย' ใจเกิดส่งออกไปภายนอกแล้วก็ไปรวมกับขันธ์ห้าอีก ไปหลงอีก อีกชั้นหนึ่ง แล้วก็ไปหลงเป็นทาสกิเลส ทั้งหยาบทั้งละเอียดอีก เพิ่มไปหลายชั้น ใจของคนเรานี้หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด

พระพุทธองค์ท่านให้เน้นลงอยู่ที่กายของเรา ให้เจริญสติลงอยู่ที่กายของเรา เอาใจของเราให้อยู่ ช่วงใหม่ๆ ใจของเราก็เร็วไว เราก็พยายามควบคุมใจของเรา ใช้สมถะบ้าง ใช้ตบะบารมีบ้าง ความอดทนอดกลั้นความเสียสละสารพัดอย่าง กระหนาบแล้วกระหนาบอีกๆ หมั่นลงโทษใจของเรา แก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย

เหมือนกับนักโทษประหาร นักโทษประหารนี้เขาต้องใส่โซ่ตรวนเข้าไปในห้องขังอย่างแน่นหนา นักโทษประหารเขาก็ประพฤติปฏิบัติตัวดีขึ้น ก็ลดหย่อนให้เป็นจำคุกตลอดชีวิต หลังจากนั้นก็ประพฤติปฏิบัติตัวดีขึ้นมาเรื่อยๆ เขาก็ลดโทษลงไปเรื่อยๆ ก็ค่อยปลดโซ่ตรวนให้เป็นอิสระขึ้นมาบ้าง เขาก็แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองจนเป็นนักโทษชั้นดี จนลดโทษลงมาเรื่อยๆ จนประพฤติปฏิบัติตัวดีจนถูกปล่อยให้เป็นอิสรภาพ

ใจของเราก็เหมือนกัน เราหมั่นแก้ไข แก้ไขบ่อยๆ ทำความเข้าใจบ่อยๆ อบรมบ่อยๆ เขาก็จะค่อยมองเห็นความเป็นจริง มองเห็นเหตุเห็นผล ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา ไปคิดเอา การนึกคิดนั่นแหละ ความเกิดของใจก็ปิดตัวเองเอาไว้ ทั้งขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ก็ปิดตัวใจเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็ปิดตัวใจของเราเอาไว้ หลายชั้นจริงๆ เราต้องมาแก้ไข มาแก้ไขมาปรับปรุง กิเลสมากักขังดวงใจของเราเอาไว้ เหมือนกับดินพอกหางหมู แน่นหนา เราก็หมั่นขัดหมั่นเก่าหมั่นขูด

บุคคลที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว ก็ต้องเป็นบุคคลที่สร้างบุญมาก่อน แล้วก็ขยันหมั่นเพียร มีความเพียรเป็นเลิศ มีความปรารถนาที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ก็คือนิพพาน ถ้าเรามามัวเมาเล่น ยากที่จะเข้าถึงๆ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรจริงๆ หมั่นเพียรทั้งภายนอก หมั่นเพียรทั้งภายใน ยังสมมติของเราไม่ให้ลำบาก ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่ถ่ายที่เยี่ยว ที่อยู่ที่กินเราไม่ได้ลำบาก เราไม่ได้ดิ้นรน เพราะว่าการกระทำของพวกเรามี

แค่ความรับผิดชอบระดับสมมติ เราก็ทำให้สมบูรณ์แบบ ก็จะส่งผลถึงตัวใจ ใจก็จะเริ่มคลายได้เร็วได้ไว ถ้าเราปล่อยปละละเลย เพราะว่าเขาหมักหมมมานาน แม้แต่จิตใจของตัวเราแท้ๆ ก็ยังปิดกั้นตัวเอง เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้แต่ขันธ์ห้าก็ปิดกั้นตัวเราเอง แม้แต่การปล่อยวางแล้ว แม้แต่ใจว่าง ความว่างก็ยังหาเรื่องให้ตัวเราเอง แม้แต่สติปัญญาก็ยังเข้าข้างตัวเอง เราพยายามฝึกฝนให้ใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ

ในเมื่อใจไม่เกิด ดำก็เหมือนเดิม ขาวก็เหมือนเดิม กุศล หรือว่าอกุศลก็มีโทษเหมือนกันคือ 'ความเกิด' ถึงอกุศลก็จะไปในทางที่ลำบาก กุศลก็ไปในทางที่มีความสุข แต่ก็ยังเกิดอยู่เหมือนเดิม ท่านให้ละทั้งสองอย่างนั่นแหละ อยู่เหนือบุญเหนือบาป สร้างบุญแต่ไม่ยึดติดในบุญ เราก็ได้บุญเพราะว่าการกระทำของเรามี เราขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราหมด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ เพราะว่าใจไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง เขาเรียกว่า 'จิตเที่ยง' นิพพานก็ไม่ไปอยู่ที่ไหน นิพพานก็อยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ 'จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง' ท่านถึงบอกว่าให้ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ ทำความเข้าใจให้รู้เรื่อง

การเจริญสติ ก็รู้จักเอาสติไปใช้ จนสติของเรากลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา ใหม่ๆ นี่ก็ต้องฝึก ทั้งฝึกทั้งฝืน ทั้งสารพัดอย่าง อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยการดำเนินที่ถูกต้อง

ถ้าเราเข้าใจ ดำเนินได้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ใจมองเห็นความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การละมี การดับมี การสำรวจว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ ลักษณะหน้าตาอาการสิ่งที่เขาเกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง ที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ที่ว่าพระพุทธองค์ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แต่พวกเรามองเห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่ท่านมองเห็นเป็นกองเป็นขันธ์ แล้วก็มองเห็นเป็นหลักของอนัตตา ความว่างเปล่า ที่พวกเรายังมองกันไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลาทุกลมหายใจเข้าออกนั่นแหล่ะ ท่านถึงเรียกว่า 'ทุกขณะจิต' ทุกขณะลมหายใจเข้าออกเรียกว่า 'ปัจจุบันธรรม'

แต่เวลานี้กำลังสติของเรารู้ไม่เห็นถึงขนาดนั้น เพราะว่าขาดการเจริญสติ แล้วก็ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสังเกต ส่วนมากก็ทำได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ปล่อยปละละเลย แต่ศรัทธาความเชื่อมั่น การทำบุญให้ทานตรงนั้นมีอยู่ แต่การเจริญสติที่เข้าไปอบรมใจ ละกิเลสหยาบ ละกิเลสละเอียด ละสังโยชน์ต่างๆ ข้ามพ้นสู่วัฏฏะสงสารต่างๆ เข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถ้าไม่มีความเพียรเป็นเลิศ ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายาม

หลวงพ่อก็ได้แต่พูดของเก่า ย้ำของเก่าอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ได้ไปพูดเรื่องไหนเลย ตั้งแต่ 30 กว่าปีก่อน ถ้าพวกท่านไม่ทำ ไม่ดำเนิน ก็ยากที่จะเข้าถึง ก็ต้องพยายามกัน

แต่ละวันแต่ละเดือนผ่านไปเร็วไว ความเกิดความดับภายในของเรา แต่เช้าเขาเกิดสักกี่เที่ยว กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริมหรือไม่ หรือเกิดขึ้นที่ใจ เราต้องจำแนกแจกแจง กายของเรา เราก็รู้จักบริหาร ดำเนินไปจนกว่าเขาจะถึงวาระถึงเวลาที่เขาจะแตกดับ เขาก็ต้องแตกดับ ให้พยายามรีบตักตวงสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้น หากำไรในกายก้อนนี้ให้ได้ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เดี๋ยวเสียดายเวลา

ทั้งพระทั้งโยมทั้งชี ก็มีธาตุสี่ขันธ์ห้าเหมือนกัน เราช่วยเหลือกันได้ในระดับหนึ่งในระดับของสมมติ ชี้แนะแนวทางกันได้ แต่การลงมือจริงๆ การปฏิบัติจริงๆ ต้องให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรานั่นแหละ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ไหนหรอก แม้แต่พระพุทธองค์ท่านเป็นองค์ค้นพบชี้แนวทางให้ ถ้าพวกเราไม่ได้ดำเนินตามที่ท่านชี้แนะเอาไว้ให้ ก็ยากที่จะเข้าถึง

ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นเรา ใครเห็นเรา คนนั้นเห็นธรรม เห็นใจตัวเอง รู้จักแก้ไขใจตัวเอง นั่นแหละ ใครเห็นใจ คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ใครดำเนิน ละกิเลส ขัดเกลาทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ได้ พระพุทธเจ้าก็จะมาอยู่ในใจของเรา ทำใจให้เป็นพระ นี่แหละ พยายามดำเนินกัน อย่าพากันเสียเวลาทิ้งโดยไร้ประโยชน์

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญทำเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง