หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 104
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 104
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 104
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 กันยายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้เจริญสติเอาไปอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง เรารู้จักวิเคราะห์ชีวิตของเรา รู้จักวิเคราะห์ความเป็นอยู่ของเราว่าอะไรควรแก้ไข อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนินแล้วหรือยัง
หลวงพ่อก็พูดของเก่าเรื่องเก่ามาร่วม 30 ปี พูดของเก่านี่แหละ แต่พวกท่านไม่ดำเนินให้มีให้เกิดขึ้นให้เห็นที่ใจของตัวเอง ก็เลยบางครั้งก็เข้าใจบ้าง บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ส่วนมากก็เข้าใจระดับของสมมตินิดๆ หน่อยๆ ส่วนวิมุตติ การแยกการคลาย หรือว่าแยกรูปแยกนาม
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา หรือว่าดับความเกิดของใจของเราตั้งแต่ต้นเหตุ ส่วนมากก็ดับไม่ค่อยได้ ใจของเราไปรวมกับขันธ์ห้าจนเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็รู้อยู่เมื่อเขารวมกันแล้ว คิดก็รู้ทำก็รู้ มันรู้อยู่ในความหลงอยู่ แต่เราก็ว่าเราไม่หลง เราไม่หลงในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วต้องแยกต้องคลาย
ถึงใจไม่เข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ใจก็บางครั้งเขาก็สงบอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับของที่คว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา คือยังไม่ได้คลาย ไม่ได้คลายความหลง แต่ก็โดนสมมติเข้าครอบงำ ครอบงำอยู่ สงบอยู่ ปกติอยู่ ก็โดนสมมติเข้าครอบงำอยู่ แต่เราไม่รู้ เราก็รู้ว่าใจของเราสงบ ปกติ แต่ไม่รู้ว่าใจของเรายังไม่ได้หงาย ยังไม่ได้แยกรูปแยกนามออกมารับรู้รับเห็นตามความเป็นจริง ใจมาอาศัยกายอยู่ การเกิดของใจก็ยังมีอยู่ การเกิดของขันธ์ห้าก็ยังมีอยู่ ใจก็ยังเกิดกิเลสอยู่ บางทีก็กิเลสหยาบบางทีก็กิเลสละเอียด มีกันอยู่ทุกคนนั่นแหละ บางทีก็ปล่อยวางได้ แต่ยังละไม่ได้ อุเบกขาได้ แต่ยังละไม่ได้เด็ดขาด เขาก็ยังเกิดอยู่ ก็ต้องพยายามขัดเกลาตัวเรา แก้ไขตัวเรา
ภาระหน้าที่ทางสมมติ เราก็รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่เป็นพันธะไม่เป็นภาระให้ตัวเอง ไม่เป็นภาระให้คนอื่น เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ จากความรับผิดชอบก็มีตั้งแต่ความสุข
หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา หมั่นพูดกับใจ พร่ำสอนใจ มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็รู้ใจ อยู่คนเดียวก็รู้ใจ รู้ความปกติ รู้ความบริสุทธิ์ของใจ แต่เวลานี้เรารู้ ใจเป็นธาตุรู้ เกิดก็รู้คิดก็รู้ เรารู้อยู่ในระดับของความหลงอยู่ ถ้าไม่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ละเอียด แยกแยะได้จริงๆ มันก็ยากอยู่นะ
แต่ก็อย่าไปทิ้งในการเจริญบารมีในการสร้างบารมี แต่ละวันเรามีความเสียสละ เรามีความรับผิดชอบ เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา รู้จักสำรวมกาย รู้จักสำรวมวาจา แล้วก็รู้จักสำรวมใจ อดพูดอดคิด สังเกตดูก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด ใจหรือเกิดจากขันธ์ห้า หรือเกิดจากส่วนสมองส่วนสติปัญญา เราก็ต้องแจงให้ได้ใช้ให้เป็นว่าอะไรเป็นอะไร งานสมมติงานวิมุตติ งานโลกงานธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ เราห้ามคนอื่นพูดไม่ได้หรอก ห้ามคนอื่นคิดไม่ได้หรอก เขาจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา เขาจะพูดอย่างไรก็เรื่องของเขา บางทีเขาก็มาพูดเรื่องของเรา แต่เป็นเรื่องของเขา เราก็เอามาใส่ใจเรา ทิ่มแทงกันไปทิ่มแทงกันมา มีตั้งแต่คนปัญญานิ่มเท่านั้นแหละที่เป็นทาสของกิเลส คนที่มีสติมีปัญญา เขาไม่เอามาใส่ใจตัวเองหรอก
อะไรที่มันผิดพลาดรีบแก้ไข แก้ไขทั้งภายนอกแก้ไขทางภายใน บุคคลที่มีสติมีปัญญามีความฉลาด ฟังนิดเดียวไปถึงจุดหมายปลายทางคือฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องพยายามกัน ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ แก้ไขไม่ได้ก็ไปตามวิบากของกรรม ก็ขอให้เป็นกรรมดีไว้ สร้างกุศลกรรม สูงขึ้นไปก็ละหมดนั่นแหละ
ละทั้งอัตตาตัวตน ละทิฐิ ละมานะ ละกิเลส ละดำละขาว ละบาปละชั่ว สร้างบุญกุศลไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาปนั่นแหละ มันถึงจะถึงความบริสุทธิ์ได้ แต่ต้องดับความเกิดของใจอีกนั่นแหละ ถ้าไม่อยากจะเกิด
ความเกิดนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่ปิดบังใจของเราเอาไว้ มันเกิดหลายชั้น เกิดตั้งแต่ยังไม่ได้มาสร้างกายเนื้อ เขาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพโน้นภพนี้บ้าง มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์นี่ พระพุทธองค์ถึงเน้นลงเอาตัวใจที่อยู่ในกายนี้ให้มันได้ ทำไมมันถึงมาสร้างขันธ์ห้า มาหลงขันธ์ห้า มายึดติดขันธ์ห้ายังไม่พอ ขณะที่อาศัยกายนี้อยู่ก็ยังเกิดต่ออีก เกิดต่ออีกยังไม่พอ ก็ยังเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสก็ยังไม่พอ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก โอ้...มันหลายชั้นจริงๆ นะ หลายชั้นมากมาย ทั้งหยาบทั้งละเอียด เราก็ต้องมาดูกัน
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีในการวิเคราะห์ในการพิจารณา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ให้เริ่มลงมือทำ มันเกิดเมื่อไหร่ก็จัดการกับมันเมื่อนั้น จบที่เรา จบที่ใจของเรา หาต้นเหตุ พระพุทธองค์ชี้ลงที่เหตุ ดับที่เหตุมันก็ไม่มีเชื้ออีกต่อไป จบในภพนี้ให้ได้ ธาตุขันธ์แตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปเลย
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 กันยายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้เจริญสติเอาไปอบรมใจของเราได้แล้วหรือยัง เรารู้จักวิเคราะห์ชีวิตของเรา รู้จักวิเคราะห์ความเป็นอยู่ของเราว่าอะไรควรแก้ไข อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนินแล้วหรือยัง
หลวงพ่อก็พูดของเก่าเรื่องเก่ามาร่วม 30 ปี พูดของเก่านี่แหละ แต่พวกท่านไม่ดำเนินให้มีให้เกิดขึ้นให้เห็นที่ใจของตัวเอง ก็เลยบางครั้งก็เข้าใจบ้าง บางครั้งก็ไม่เข้าใจ ส่วนมากก็เข้าใจระดับของสมมตินิดๆ หน่อยๆ ส่วนวิมุตติ การแยกการคลาย หรือว่าแยกรูปแยกนาม
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา หรือว่าดับความเกิดของใจของเราตั้งแต่ต้นเหตุ ส่วนมากก็ดับไม่ค่อยได้ ใจของเราไปรวมกับขันธ์ห้าจนเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็รู้อยู่เมื่อเขารวมกันแล้ว คิดก็รู้ทำก็รู้ มันรู้อยู่ในความหลงอยู่ แต่เราก็ว่าเราไม่หลง เราไม่หลงในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วต้องแยกต้องคลาย
ถึงใจไม่เข้าไปรวมกับขันธ์ห้า ใจก็บางครั้งเขาก็สงบอยู่ ก็เปรียบเสมือนกับของที่คว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา คือยังไม่ได้คลาย ไม่ได้คลายความหลง แต่ก็โดนสมมติเข้าครอบงำ ครอบงำอยู่ สงบอยู่ ปกติอยู่ ก็โดนสมมติเข้าครอบงำอยู่ แต่เราไม่รู้ เราก็รู้ว่าใจของเราสงบ ปกติ แต่ไม่รู้ว่าใจของเรายังไม่ได้หงาย ยังไม่ได้แยกรูปแยกนามออกมารับรู้รับเห็นตามความเป็นจริง ใจมาอาศัยกายอยู่ การเกิดของใจก็ยังมีอยู่ การเกิดของขันธ์ห้าก็ยังมีอยู่ ใจก็ยังเกิดกิเลสอยู่ บางทีก็กิเลสหยาบบางทีก็กิเลสละเอียด มีกันอยู่ทุกคนนั่นแหละ บางทีก็ปล่อยวางได้ แต่ยังละไม่ได้ อุเบกขาได้ แต่ยังละไม่ได้เด็ดขาด เขาก็ยังเกิดอยู่ ก็ต้องพยายามขัดเกลาตัวเรา แก้ไขตัวเรา
ภาระหน้าที่ทางสมมติ เราก็รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่เป็นพันธะไม่เป็นภาระให้ตัวเอง ไม่เป็นภาระให้คนอื่น เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ จากความรับผิดชอบก็มีตั้งแต่ความสุข
หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา หมั่นพูดกับใจ พร่ำสอนใจ มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่หลายคนก็รู้ใจ อยู่คนเดียวก็รู้ใจ รู้ความปกติ รู้ความบริสุทธิ์ของใจ แต่เวลานี้เรารู้ ใจเป็นธาตุรู้ เกิดก็รู้คิดก็รู้ เรารู้อยู่ในระดับของความหลงอยู่ ถ้าไม่เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ละเอียด แยกแยะได้จริงๆ มันก็ยากอยู่นะ
แต่ก็อย่าไปทิ้งในการเจริญบารมีในการสร้างบารมี แต่ละวันเรามีความเสียสละ เรามีความรับผิดชอบ เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา รู้จักสำรวมกาย รู้จักสำรวมวาจา แล้วก็รู้จักสำรวมใจ อดพูดอดคิด สังเกตดูก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด ใจหรือเกิดจากขันธ์ห้า หรือเกิดจากส่วนสมองส่วนสติปัญญา เราก็ต้องแจงให้ได้ใช้ให้เป็นว่าอะไรเป็นอะไร งานสมมติงานวิมุตติ งานโลกงานธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ เราห้ามคนอื่นพูดไม่ได้หรอก ห้ามคนอื่นคิดไม่ได้หรอก เขาจะคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา เขาจะพูดอย่างไรก็เรื่องของเขา บางทีเขาก็มาพูดเรื่องของเรา แต่เป็นเรื่องของเขา เราก็เอามาใส่ใจเรา ทิ่มแทงกันไปทิ่มแทงกันมา มีตั้งแต่คนปัญญานิ่มเท่านั้นแหละที่เป็นทาสของกิเลส คนที่มีสติมีปัญญา เขาไม่เอามาใส่ใจตัวเองหรอก
อะไรที่มันผิดพลาดรีบแก้ไข แก้ไขทั้งภายนอกแก้ไขทางภายใน บุคคลที่มีสติมีปัญญามีความฉลาด ฟังนิดเดียวไปถึงจุดหมายปลายทางคือฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องพยายามกัน ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ แก้ไขไม่ได้ก็ไปตามวิบากของกรรม ก็ขอให้เป็นกรรมดีไว้ สร้างกุศลกรรม สูงขึ้นไปก็ละหมดนั่นแหละ
ละทั้งอัตตาตัวตน ละทิฐิ ละมานะ ละกิเลส ละดำละขาว ละบาปละชั่ว สร้างบุญกุศลไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาปนั่นแหละ มันถึงจะถึงความบริสุทธิ์ได้ แต่ต้องดับความเกิดของใจอีกนั่นแหละ ถ้าไม่อยากจะเกิด
ความเกิดนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่ปิดบังใจของเราเอาไว้ มันเกิดหลายชั้น เกิดตั้งแต่ยังไม่ได้มาสร้างกายเนื้อ เขาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพโน้นภพนี้บ้าง มาเกิดอยู่ในภพมนุษย์นี่ พระพุทธองค์ถึงเน้นลงเอาตัวใจที่อยู่ในกายนี้ให้มันได้ ทำไมมันถึงมาสร้างขันธ์ห้า มาหลงขันธ์ห้า มายึดติดขันธ์ห้ายังไม่พอ ขณะที่อาศัยกายนี้อยู่ก็ยังเกิดต่ออีก เกิดต่ออีกยังไม่พอ ก็ยังเป็นทาสกิเลสอีก กิเลสก็ยังไม่พอ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีก โอ้...มันหลายชั้นจริงๆ นะ หลายชั้นมากมาย ทั้งหยาบทั้งละเอียด เราก็ต้องมาดูกัน
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีในการวิเคราะห์ในการพิจารณา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ให้เริ่มลงมือทำ มันเกิดเมื่อไหร่ก็จัดการกับมันเมื่อนั้น จบที่เรา จบที่ใจของเรา หาต้นเหตุ พระพุทธองค์ชี้ลงที่เหตุ ดับที่เหตุมันก็ไม่มีเชื้ออีกต่อไป จบในภพนี้ให้ได้ ธาตุขันธ์แตกดับก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นไปเลย
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา