หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 70

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 70
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 70
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 70
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 20 มิถุนายน 2562

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจ เข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ

การสูดลมหายใจยาว สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน หายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อย่าไปเพ่ง ถ้าเพ่งสมองก็ตึง อย่าไปจดจ่อ ถ้าเราเอาใจไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น วางกายให้เป็นธรรมชาติ แล้วก็สูดลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ แล้วเราก็พยายามสร้างความรู้ตัว เวลาลมกระทบปลายจมูก จะมีสัมผัสของลมอ่อนๆ กระทบปลายจมูกอยู่ ความรู้สึกรับรู้ตรงนั้นแหละ ที่ท่านเรียกว่า 'สติรู้กาย' ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ เขาเรียกว่า 'สติสัมปชัญญะ' มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ตัวอยู่ขณะปัจจุบัน ขณะทุกลมหายใจเข้าออก ตรงนี้แหละที่ไม่ค่อยจะได้ฝึกกันเท่าไหร่

ส่วนใจนั้นมีศรัทธาน้อมเข้ามา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ตรงนั้นมีความเชื่ออยู่ ฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน ความเสียสละทั้งภาระหน้าที่การงาน ทั้งสมมติต่างๆ ตรงนั้นก็พอมีอยู่ แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปอบรมใจ รู้เท่ารู้ทันการเกิดของใจ ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ ก็เลยเวลาเกิดความทุกข์ใจเกิดกิเลส ก็เลยละไม่ทันดับไม่ทัน อาจจะดับได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่การดับการสังเกต การวิเคราะห์ จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ที่ท่านเรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ' ความเห็นถูก เห็นถูกทุกอย่าง ถ้าเห็นถูกตั้งแต่ต้นก็จะเห็นถูกไปตลอด ท่านถึงว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก

สัมมาทิฏฐิ คือข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด หรือว่าหนทาง 8 สาย เห็นถูก ดำริถูก การงานชอบ ดำริชอบ ทุกอย่างก็จะไปในทางที่ถูก ถ้าผิดตั้งแต่แรก คือถ้ายังแยกไม่ได้ ความเห็นผิดก็ปิดกั้นเอาไว้อยู่ เราอาจจะเห็นถูกระดับของสมมติ แต่ระดับวิมุตติการเดินปัญญา การแยก การทำความเข้าใจ ยังเข้าไม่ถึงตัวละเอียด ความเกิดของใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด

เรารู้ว่าใจของเราเกิดเมื่อเขาเกิดได้ครึ่งเรื่อง กลางเรื่อง ปลายเรื่อง เขาร่วมกันกับขันธ์ห้า เราก็รู้เพียงแค่ว่า เราคิดเราทำ ทำตามความคิดตามอารมณ์ ทำตามอำนาจของกิเลส ทำด้วยความหลง แต่เราก็ว่าตัวเราไม่ค่อยจะหลงเท่าไหร่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว ถ้ายังแยกแยะไม่ได้นี่หลงหมดเลย จะหลงมากหลงน้อย หลงบุญหลงบาปหลงเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด

ความเกิดนี่มีมากันตั้งแต่แรก ตั้งแต่ยังไม่เกิดอยู่ในกายเนื้อ เขาหลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นสำหรับจิตวิญญาณ จนกระทั่งถึงเขามาก่อร่างสร้างตัว เกิดอยู่ในภพมนุษย์ซึ่งมีธาตุสี่ขันธ์ห้า ตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณเข้ามาครอบครอง ครอบครองก็ยังไม่พอก็ยังเกิดต่ออีก ความคิดของเรานั่นแหละ บางทีก็เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม

สติที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ต้องเข้มแข็งต่อเนื่อง เอาไปอบรมใจของเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา เป็นคนหัดสังเกตหัดวิเคราะห์… ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าใจเกิดกิเลส กิเลสหยาบ หรือว่ากิเลสละเอียดเข้ามาครอบงำ

คำว่า ‘นิวรณธรรม’ ต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นใจของเราไม่ให้รับความสงบเป็นลักษณะอย่างไร ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะไปปฏิบัติเอาตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักละกิเลส ไม่เห็น ไม่เห็นการเกิดการดับ ไม่เห็นการแยกการคลาย ก็ปฏิบัติด้วยความหลง หลงอยู่ในบุญ หลงอยู่ในการปฏิบัติ เราต้องรู้จักมองเห็นจุดมุ่งหมายที่เราจะเข้าไปถึง คือความสะอาดความบริสุทธิ์

แนวทางคำสอนของพระพุทธองค์ สัจธรรมมีมาหลายร้อยหลายพันปี ก็ยังอยู่เหมือนเดิม สัจจะก็ยังอยู่เหมือนเดิม อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐก็ยังอยู่เหมือนเดิม ธาตุสี่ขันธ์ห้าก็มีกันอยู่ทุกคน แต่เราขาดการเจริญสติที่จะเข้าไปอบรมใจจนรู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ รู้กันรู้แก้ แล้วแต่อุบายแล้วแต่วิธีของแต่ละบุคคล

ใจเกิดความโลภ ก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ก็ละความโกรธ ด้วยการทำสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความโลภความโกรธ เราก็พยายามให้อภัยอโหสิกรรม ใจเกิดความอยากเราก็รู้จักดับความอยาก มาจำแนกแจกแจงในกายก้อนนี้

ความอยากเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไรเพียงแค่เรื่องความอยากความหิวยังทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ การกะประมาณในการขบฉันของตัวเองล่ะ แต่ละวันๆ จะมีมากมีน้อยก็ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก เกิดความยินดี ยินร้ายยินดีในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ท่านถึงบอกให้ละความอยากละความหวัง ละความหวังละความอยาก แต่การสังเกต การสร้างความรู้ตัวของเรามีให้ต่อเนื่อง สักวันใจของเราก็จะเผยตัวออกมาให้เราได้เห็น เห็นใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ว่างจากการเกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ว่างจากขันธ์ห้า ใจที่คลายจากขันธ์ห้า ว่างจากกิเลส

ถ้าเรารู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็มีความสุข มีความสุขในการดู ในการรู้ ในการแก้ไขของตัวเรา รู้จักแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา โทษตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนไม่มีอะไรที่จะให้ค้นคว้า จนมองเห็นความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เกิดมา ก็เกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม

คำว่า 'กรรม' เราต้องรู้ให้ลึกว่า กรรมในตัวของเราก็คือขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจซึ่งเป็นนามธรรม กายของเราก็คือก้อนกรรม ทีนี้ใจของเรายังไปเกิดกิเลสเข้าไปยึดมั่นถือมั่นอีก ก็เป็นตัวก่อกรรมอีก เราต้องมาชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล หมั่นขัดหมั่นเกลา ละอายเกรงกลัวในการทำบาป สร้างบุญ กล้าหาญ มีความกล้าหาญในการสร้างอานิสงส์ ในการสร้างคุณงามความดี สูงขึ้นไป ก็ละหมด มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา ละบาป สร้างบุญ ไม่ยึดติดในบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญอยู่กับวัด ไปที่ไหนเราก็มีความสุข สติปัญญาสมาธิ เขาก็จะรักษาเรา

ช่วงใหม่ๆ สติไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา สมาธิไม่มี เราก็ต้องสร้างขึ้นมา ใจยังเกิดยังหลง ก็ตามดูให้รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ บุคคลที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ทั้งกลางวันกลางคืน หมั่นเพียรในการขัดเกลากิเลส หมั่นเพียรในการสำรวจ ในการทำความเข้าใจ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ปล่อยให้มองข้าม แม้แต่ความอยาก ความอยากความเกิดตัวน้อยๆ การเกิดการปรุงแต่ง เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ ตัวใหญ่มันจะเกิดได้อย่างไร

เราพยายามสร้างพรหมวิหารสร้างความเมตตาเข้าไปทดแทน สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรหนักเอาเบาสู้ ไม่มีความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กินไม่เห็นแก่นอน

เรารู้จักวิธีการแล้วแนวทางแล้วก็เร่งรีบทำความเพียร ถ้าเราเข้าใจเราก็เอาภาระหน้าที่การงานของเรานั่นแหละเป็นหลักของการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยใจรับรู้ไปด้วย อะไรจะเกิดประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านประโยชน์อยู่ปัจจุบัน

ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ทำความเข้าใจกับภาษาโลก คำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เป็นอย่างไร ‘สมมติ วิมุตติ’ เป็นอย่างไร ถ้าเราจะเข้าใจเรื่องอัตตา อนัตตา เราต้องเจริญสติเข้าไปจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าเสียก่อน หรือว่าแยกรูปแยกนามเสียก่อน

เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ถ้าเปรียบเทียบฝ่ามืออยู่ข้างล่างหลังมืออยู่ข้างบน ก็สมมติครอบงำวิมุตติอยู่ ตัวใจเหมือนกับฝ่ามือ สมมติก็เหมือนกับหลังมือ ถ้าใจคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นนามธรรม ฝ่ามือก็หงายขึ้นมา ความว่างอนัตตาก็ปรากฏ สมมติก็อยู่ข้างล่าง แต่เขาก็ยังอยู่ด้วยกัน แต่เรารู้ด้วยปัญญา ทำความเข้าใจ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ เราก็ยิ่งทำความเข้าใจ อย่าไปปล่อยปละละเลย ไม่ใช่ว่าทำบ้างไม่ทำบ้าง เหมือนกับการขึ้นบันได ก็ขึ้นได้ทีละขั้น 2 ขั้น ก็ถอยลงมา

เราต้องพยายามเดินปัญญาขัดเกลากิเลส ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร เราละกิเลสได้ตัวไหนบ้าง ตัวไหนเรายังละไม่ได้เราก็พยายามแก้ไข อยู่คนเดียวเราก็ดูใจของเรา อยู่หลายคนเราก็ดูใจของเรา เป็นหน้าที่ของเราทุกคน

ทีนี้เราก็มายัง ทำความเข้าใจกับสมมติในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปัจจัยสี่ โลกธรรมต่างๆ ซึ่งอำนวยความสะดวกในระดับของสมมติ ถ้าสมมติของเราไม่เพียบพร้อม ทางสมมติของเราก็ลำบาก สมมติในกายของเรา สมมติรอบกายของเรา กายของเรานี้เป็นก้อนสมมติ ถ้าเราเข้าใจ จำแนกแจกแจง คลายใจออกรับรู้ซึ่งอยู่ในกาย แล้วก็บริหารด้วยสติบริหารด้วยปัญญา ไม่ทำด้วยอำนาจของกิเลส ของความอยาก ทำมากทำน้อยก็เป็นความรับผิดชอบด้วยสติ ด้วยปัญญา

พระพุทธองค์ท่านเน้นลงไปให้เห็นเหตุตั้งแต่การเกิดของด้านจิตวิญญาณ แล้วก็ออกมาทางกาย ทางวาจา แล้วการกระทำ จนล้นออกไปสู่สมมติ ล้นออกไปสู่สังคม อยู่ด้วยความสงบความสุข เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ

พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ถ้ามามัวแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เราก็จะไม่ได้ทรัพย์อันสูงในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ ความขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างนี้ ความรับผิดชอบเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปยึดไปติดไปหวังอะไร การกระทำของเรามีความรับผิดชอบ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ ก็จะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง