หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 38 วันที่ 14 พฤษภาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 38 วันที่ 14 พฤษภาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 38
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2563
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพยายามหัดวิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเรา ยิ่งเวลาจะขบจะฉันนี่แหละสำคัญ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เราต้องจำแนกแจกแจงแยกความอยากความหิวออกจากกัน โดยที่มีสติปัญญาดูรู้อยู่ กายเกิดความหิว ใจเกิดความอยาก ถ้าใจปรุงแต่งเกิดความอยากก็รู้จักดับ รู้จักหยุด กายหิวใจเกิดความอยาก อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม กิเลสมันสั่งงานบอกว่าเอาเยอะๆ เราก็ต้องพยายามควบคุมใจให้อยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา ควบคุมบ่อยๆ
แต่เวลานี้กำลังสติมีกันน้อย แต่ไม่ค่อยจะทราบกัน แต่ไม่ค่อยจะมี มีก็แต่ปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกๆปัญญาโลกอาจจะอยู่ในคุณงามความดี อยู่ในระดับของสมมติ แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทั้งส่วนกองรูปกองนามให้ชัดเจน ใจถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ฝึกบ่อยๆ ละกิเลสบ่อยๆ ขัดเกลาบ่อยๆ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความอ่อนโยน มีความอ่อนน้อม มีความเสียสละ เป็นผู้ให้ ก็เป็นหลักของการปฏิบัติ ปฏิบัติกับตัวเราแล้วก็ล้นออกไปสู่พี่สู่น้อง สู่พ่อสู่แม่ สู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อีกสักหน่อยก็ต้องจากกันหมดนั่นแหละ เพราะว่าทุกคนมีความเกิดก็มีความตาย ความเกิดทางกายเนื้อ ก็ตายทางด้านกายเนื้อ กลับคืนสู่สภาวะเดิม ลึกลงไปความเกิดทางด้านจิตวิญญาณ เกิดๆ ดับๆ ตรงนี้แหละ เราไม่เข้าใจกันเพราะว่าขาดกำลังสติที่จะเข้าไปพิจารณา ทั้งที่ใจปรารถนา อยากได้บุญ อยากอยู่กับบุญ อยากทำบุญ ตรงนี้มีกันทุกคน ทำบุญ เราก็ได้บุญ รอให้ได้สูงขึ้นไปอีก คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ความสบายใจ ความใจที่ไม่มีกิเลส
คนเราจะขึ้นสู่ที่สูงได้ก็อาศัยอำนาจแห่งบุญ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้านบนเรือน เราก็อาศัยบันไดจากขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย บันไดก็มีราวบันไดประกอบกันเข้า คนเราจะขึ้นสู่ที่สูง เรามีทานหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีการฝักใฝ่สนใจ มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อ มีความกตัญญูกตเวที มีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่า ถึงจะขึ้นสู่ที่สูงได้
ถ้ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ กิเลสก็ไม่ละ มันจะเดินขึ้นสู่ที่สูงได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เอื้ออำนวยกันหมด ตราบใดที่เรายังปรารถนา ตราบใดที่เรายังเดิน สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง
บุญเราก็ไม่ทิ้ง เราพยายามทำ บุญสมมติ ความเสียสละอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันถ้าคนเราไม่มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ไม่มีหมู่มีคณะมีเพื่อนมีฝูงไปอยู่ที่ไหนก็อดๆ อยากๆ เราพยายามทำ เป็นผู้ให้
ให้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ให้กำลังทรัพย์วัตถุสิ่งของ อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จิตใจของเราก็เบาบางจากกิเลส เราไม่อยากจะให้ใจของเราถึงความบริสุทธิ์ได้เร็วเราก็ถึง เพราะว่าการละกิเลสของเรามี ถ้าเราเป็นผู้ให้ไม่ได้ เสียสละไม่ได้ ใจของเราก็ไม่เบาบางจากกิเลส
จุดมุ่งหมายของการให้ก็คือ การละกิเลสออกจากใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เอื้ออนุเคราะห์กันหมด ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ วิญญาณของภพภูมิของเหล่ามนุษย์ ของเทวดา เราก็มีวิญญาณ แต่มีกายเนื้อ แต่ภพภูมิอื่นนั้น เขาไม่มีกายเนื้อ เขามีแต่วิญญาณ ก็เป็นภพภูมิที่เสวยผลบุญผลกรรมอยู่ พวกเรากายเนื้อแตกดับ ก็วิญญาณของเราก็ไปด้วยแรงบุญ ถ้าเราสร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้เราก็ไปด้วยแรงบุญ
สูงขึ้นไปก็สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป สร้างแต่บุญแต่ไม่ยึดติดในบุญ เราก็อยู่กับบุญเราก็ได้บุญ เพราะว่าเราได้สร้างสะสมเอาไว้ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ
เราอย่าไปอคติ อย่าไปเพ่งโทษ อันโน้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี ใจของเราไม่ดีแล้วนะ เราถึงไปเพ่งโทษคนอื่นไม่ดี สิ่งนั้นไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้ว ถึงภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เห็นเป็นธรรมดา ไม่มีใครอยากทำใจของตัวเองให้ตกต่ำ เพราะความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ เพราะความหลง ใจถึงไปอย่างนั้น เรามาแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ วิบากกรรมสมมติมันคลายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเราก็จะมองเห็นทาง ตราบใดที่วิบากกรรมยังไม่คลายจะทำยังไงมันก็ไม่เข้าใจ ถ้าวิบากกรรมคลายแล้ว อะไรก็โล่งโปร่ง ดูอะไรก็เป็นบุญเป็นกุศลไปหมด ถ้าใจเป็นบุญ ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะอย่างไร
ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งวันหมดลมหายใจ เราต้องแก้ไขเราให้ได้ อย่างน้อยๆก็ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำมากทำน้อย บุญใกล้บุญไกล ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ได้หมด มีหมด วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มี ภพหน้ามี ให้พยายามทำกัน… ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยงกันสักนิดนึงดีกว่าไม่ได้ทำนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราจะหยุดไม่ได้ ดับความเกิดของใจไม่ได้ เราก็พยายามหยุดขณะที่เรากำลังสร้างความรู้ตัวนี่แหละ
พยายามทำให้ต่อเนื่อง หายใจเข้าสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจนหายใจออกความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาหายใจเข้าหายใจออกนั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายสร้างความรู้ตัวตรงนี้ จนเอาไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่ารู้ทัน รู้จักลักษณะของใจ ใจเกิดเราก็รู้ ใจปรุงแต่งเราก็รู้ใจเกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก
แต่เวลานี้ผู้รู้หรือว่าสติของเรามีไม่เพียงพอ มันก็เลยมีตั้งแต่ตัวใจนั้นก็เป็นธาตุรู้ เขาก็รู้ แต่ความเกิดความหลงเข้าครอบงำอยู่ เราก็ต้องมาฝึก มาขัด มาเกลา มาทำความเข้าใจ ทีละเล็กละน้อย ผ่านวิบากกรรมต่างๆ ได้ ก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
คนเรานี่เกิดมาด้วยแรงกรรมนะ ด้วยแรงกรรม เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรม กรรมทางด้านรูปธรรม กรรมทางด้านนามธรรม เราไปอยู่ที่โน่นที่นี่ เป็นการสร้างบารมี ไปจุดโน้นบ้าง จุดนี้บ้างไปลำบาก ไปมีทุกข์มีสุขสารพัดอย่าง แต่ละจุดแต่ละที่มันก็ต้องผ่านวิบากกรรมตรงนั้นมาหมดนั่นแหละ บางคนก็ไปเจอวิบากกรรมที่ดี บางคนก็ไปเจอวิบากกรรมที่เลวร้าย เราก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรม
เราก็มาแก้ไขตัวเราขณะที่ปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว เราอย่าเอาเรื่องอดีตเข้ามาคิด ตัวใจคิด คิดเรื่องอดีต คิดเรื่องอนาคต นี่เป็นปัญญาเรื่องของกรรม ทีนี้เราก็มาแยกแยะ ชี้เหตุชี้ผล เอาสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละไปคิด ไปคิดแทนทำหน้าที่แทน คิดเรื่องอดีต คิดเรื่องอนาคต ใจก็ว่างนิ่งรับรู้อยู่ในกายของเรา เขาเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’ แต่ถ้าใจเกิด ใจคิด คิดเรื่องธรรมพิจารณาเรื่องธรรมมันก็เป็น ‘กิเลสธรรม’ ใจยังเกิด ยังหลงอยู่
เราต้องมาจำแนกแจกแจง ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีความฝักใฝ่ มีความสนใจมีการขัดเกลากิเลส รู้จักลักษณะของคำว่าสติ รู้ตัวอยู่กับปัจจุบันให้ชัดเจน รู้จักลักษณะของใจให้ชัดเจน สูงขึ้นไปอีก ก็รู้จักลักษณะอาการของขันธ์ห้า ส่วนรูปส่วนนามให้ชัดเจน ถึงจะมองเห็นหนทางว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ
แต่เวลานี้มันยังรวมกันไปทั้งก้อน อิรุงตุงนังอยู่ ก็ขอให้อยู่ในบุญก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงนะ ก็ยังดี
ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่า ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2563
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพยายามหัดวิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเรา ยิ่งเวลาจะขบจะฉันนี่แหละสำคัญ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เราต้องจำแนกแจกแจงแยกความอยากความหิวออกจากกัน โดยที่มีสติปัญญาดูรู้อยู่ กายเกิดความหิว ใจเกิดความอยาก ถ้าใจปรุงแต่งเกิดความอยากก็รู้จักดับ รู้จักหยุด กายหิวใจเกิดความอยาก อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย เอาน้อยๆ ก็กลัวไม่อิ่ม กิเลสมันสั่งงานบอกว่าเอาเยอะๆ เราก็ต้องพยายามควบคุมใจให้อยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา ควบคุมบ่อยๆ
แต่เวลานี้กำลังสติมีกันน้อย แต่ไม่ค่อยจะทราบกัน แต่ไม่ค่อยจะมี มีก็แต่ปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกๆปัญญาโลกอาจจะอยู่ในคุณงามความดี อยู่ในระดับของสมมติ แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ทั้งส่วนกองรูปกองนามให้ชัดเจน ใจถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ ฝึกบ่อยๆ ละกิเลสบ่อยๆ ขัดเกลาบ่อยๆ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ใจของเรามีความอ่อนโยน มีความอ่อนน้อม มีความเสียสละ เป็นผู้ให้ ก็เป็นหลักของการปฏิบัติ ปฏิบัติกับตัวเราแล้วก็ล้นออกไปสู่พี่สู่น้อง สู่พ่อสู่แม่ สู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อีกสักหน่อยก็ต้องจากกันหมดนั่นแหละ เพราะว่าทุกคนมีความเกิดก็มีความตาย ความเกิดทางกายเนื้อ ก็ตายทางด้านกายเนื้อ กลับคืนสู่สภาวะเดิม ลึกลงไปความเกิดทางด้านจิตวิญญาณ เกิดๆ ดับๆ ตรงนี้แหละ เราไม่เข้าใจกันเพราะว่าขาดกำลังสติที่จะเข้าไปพิจารณา ทั้งที่ใจปรารถนา อยากได้บุญ อยากอยู่กับบุญ อยากทำบุญ ตรงนี้มีกันทุกคน ทำบุญ เราก็ได้บุญ รอให้ได้สูงขึ้นไปอีก คือความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ความสบายใจ ความใจที่ไม่มีกิเลส
คนเราจะขึ้นสู่ที่สูงได้ก็อาศัยอำนาจแห่งบุญ เหมือนกับเราจะขึ้นบนบ้านบนเรือน เราก็อาศัยบันไดจากขั้นแรกถึงขั้นสุดท้าย บันไดก็มีราวบันไดประกอบกันเข้า คนเราจะขึ้นสู่ที่สูง เรามีทานหรือไม่ เรามีความเสียสละ เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีการฝักใฝ่สนใจ มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อ มีความกตัญญูกตเวที มีสัจจะกับตัวเองหรือเปล่า ถึงจะขึ้นสู่ที่สูงได้
ถ้ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ กิเลสก็ไม่ละ มันจะเดินขึ้นสู่ที่สูงได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เอื้ออำนวยกันหมด ตราบใดที่เรายังปรารถนา ตราบใดที่เรายังเดิน สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง
บุญเราก็ไม่ทิ้ง เราพยายามทำ บุญสมมติ ความเสียสละอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันถ้าคนเราไม่มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ไม่มีหมู่มีคณะมีเพื่อนมีฝูงไปอยู่ที่ไหนก็อดๆ อยากๆ เราพยายามทำ เป็นผู้ให้
ให้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ให้กำลังทรัพย์วัตถุสิ่งของ อนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จิตใจของเราก็เบาบางจากกิเลส เราไม่อยากจะให้ใจของเราถึงความบริสุทธิ์ได้เร็วเราก็ถึง เพราะว่าการละกิเลสของเรามี ถ้าเราเป็นผู้ให้ไม่ได้ เสียสละไม่ได้ ใจของเราก็ไม่เบาบางจากกิเลส
จุดมุ่งหมายของการให้ก็คือ การละกิเลสออกจากใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เอื้ออนุเคราะห์กันหมด ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ วิญญาณของภพภูมิของเหล่ามนุษย์ ของเทวดา เราก็มีวิญญาณ แต่มีกายเนื้อ แต่ภพภูมิอื่นนั้น เขาไม่มีกายเนื้อ เขามีแต่วิญญาณ ก็เป็นภพภูมิที่เสวยผลบุญผลกรรมอยู่ พวกเรากายเนื้อแตกดับ ก็วิญญาณของเราก็ไปด้วยแรงบุญ ถ้าเราสร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้เราก็ไปด้วยแรงบุญ
สูงขึ้นไปก็สร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ อยู่เหนือบุญเหนือบาป สร้างแต่บุญแต่ไม่ยึดติดในบุญ เราก็อยู่กับบุญเราก็ได้บุญ เพราะว่าเราได้สร้างสะสมเอาไว้ ทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็มีส่วนแห่งบุญ
เราอย่าไปอคติ อย่าไปเพ่งโทษ อันโน้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี ใจของเราไม่ดีแล้วนะ เราถึงไปเพ่งโทษคนอื่นไม่ดี สิ่งนั้นไม่ดี ถ้าใจของเราดีแล้ว ถึงภายนอกไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม เห็นเป็นธรรมดา ไม่มีใครอยากทำใจของตัวเองให้ตกต่ำ เพราะความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ เพราะความหลง ใจถึงไปอย่างนั้น เรามาแก้ไข ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ วิบากกรรมสมมติมันคลายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเราก็จะมองเห็นทาง ตราบใดที่วิบากกรรมยังไม่คลายจะทำยังไงมันก็ไม่เข้าใจ ถ้าวิบากกรรมคลายแล้ว อะไรก็โล่งโปร่ง ดูอะไรก็เป็นบุญเป็นกุศลไปหมด ถ้าใจเป็นบุญ ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะอย่างไร
ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งวันหมดลมหายใจ เราต้องแก้ไขเราให้ได้ อย่างน้อยๆก็ให้อยู่ในกองบุญเอาไว้ ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำมากทำน้อย บุญใกล้บุญไกล ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ได้หมด มีหมด วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนนี้มี เดือนหน้ามี ภพนี้มี ภพหน้ามี ให้พยายามทำกัน… ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยงกันสักนิดนึงดีกว่าไม่ได้ทำนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราจะหยุดไม่ได้ ดับความเกิดของใจไม่ได้ เราก็พยายามหยุดขณะที่เรากำลังสร้างความรู้ตัวนี่แหละ
พยายามทำให้ต่อเนื่อง หายใจเข้าสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจนหายใจออกความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาหายใจเข้าหายใจออกนั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายสร้างความรู้ตัวตรงนี้ จนเอาไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่ารู้ทัน รู้จักลักษณะของใจ ใจเกิดเราก็รู้ ใจปรุงแต่งเราก็รู้ใจเกิดความโลภ ความโกรธ ความอยาก
แต่เวลานี้ผู้รู้หรือว่าสติของเรามีไม่เพียงพอ มันก็เลยมีตั้งแต่ตัวใจนั้นก็เป็นธาตุรู้ เขาก็รู้ แต่ความเกิดความหลงเข้าครอบงำอยู่ เราก็ต้องมาฝึก มาขัด มาเกลา มาทำความเข้าใจ ทีละเล็กละน้อย ผ่านวิบากกรรมต่างๆ ได้ ก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
คนเรานี่เกิดมาด้วยแรงกรรมนะ ด้วยแรงกรรม เราต้องมาศึกษาเรื่องกรรม กรรมทางด้านรูปธรรม กรรมทางด้านนามธรรม เราไปอยู่ที่โน่นที่นี่ เป็นการสร้างบารมี ไปจุดโน้นบ้าง จุดนี้บ้างไปลำบาก ไปมีทุกข์มีสุขสารพัดอย่าง แต่ละจุดแต่ละที่มันก็ต้องผ่านวิบากกรรมตรงนั้นมาหมดนั่นแหละ บางคนก็ไปเจอวิบากกรรมที่ดี บางคนก็ไปเจอวิบากกรรมที่เลวร้าย เราก็ยกให้เป็นเรื่องของกรรม
เราก็มาแก้ไขตัวเราขณะที่ปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว เราอย่าเอาเรื่องอดีตเข้ามาคิด ตัวใจคิด คิดเรื่องอดีต คิดเรื่องอนาคต นี่เป็นปัญญาเรื่องของกรรม ทีนี้เราก็มาแยกแยะ ชี้เหตุชี้ผล เอาสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละไปคิด ไปคิดแทนทำหน้าที่แทน คิดเรื่องอดีต คิดเรื่องอนาคต ใจก็ว่างนิ่งรับรู้อยู่ในกายของเรา เขาเรียกว่า ‘ปัญญาธรรม’ แต่ถ้าใจเกิด ใจคิด คิดเรื่องธรรมพิจารณาเรื่องธรรมมันก็เป็น ‘กิเลสธรรม’ ใจยังเกิด ยังหลงอยู่
เราต้องมาจำแนกแจกแจง ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีความฝักใฝ่ มีความสนใจมีการขัดเกลากิเลส รู้จักลักษณะของคำว่าสติ รู้ตัวอยู่กับปัจจุบันให้ชัดเจน รู้จักลักษณะของใจให้ชัดเจน สูงขึ้นไปอีก ก็รู้จักลักษณะอาการของขันธ์ห้า ส่วนรูปส่วนนามให้ชัดเจน ถึงจะมองเห็นหนทางว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ
แต่เวลานี้มันยังรวมกันไปทั้งก้อน อิรุงตุงนังอยู่ ก็ขอให้อยู่ในบุญก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ สร้างความรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยงให้ต่อเนื่องกันสักนิดนึงนะ ก็ยังดี
ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่า ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ