หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 32 วันที่ 7 พฤษภาคม 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 32 วันที่ 7 พฤษภาคม 2563
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 32 วันที่ 7 พฤษภาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 32
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วยวัด ป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พวกท่านพากันได้สร้างความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติ ให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็ให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็เริ่มเสียนะ

นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าถึงเราจะหยุดไม่ได้เด็ดขาด เราก็หยุดขณะที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ย้อนเข้าไปดูที่กายของเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สักสองสามเที่ยว

การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ’สติรู้กาย’ ถ้าความรู้สึกไม่ชัดเจน เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ อย่าไปบีบลมหายใจ อย่าไปบังคับลมหายใจ

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการทำความเข้าใจกันมากทีเดียว จะเอาตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ ปัญญาโลกๆ การนึกการคิด การปรุงการแต่ง สารพัดอย่าง นั่นแหละคือ ‘ความหลง’ เขาหลงอยู่ ถ้าไม่หลง เขาก็ไม่เกิด

ท่านถึงให้เจริญสติ รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ สติเราไม่ได้สร้าง เราไม่ได้เจริญ เราจะเอาสติปัญญาไปอบรมใจของเราได้อย่างไร เพียงแค่สร้างสติให้ได้เสียก่อน ถ้าเราทำให้ต่อเนื่อง กำลังสติของเราก็จะเริ่มมีมากขึ้น มากขึ้นๆ จนเป็นอัตโนมัติ ในการดู ในการรู้ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ใจที่เกิดส่งออกไปภายนอก ลักษณะหน้าตาอาการเขาเริ่มเกิดเป็นอย่างนี้ อาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิด ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมที่เราไม่ตั้งใจคิดก็ผุดขึ้นมา เป็นกองเป็นขันธ์ เป็นเรื่องอะไรบ้าง

เราต้องหัดวิเคราะห์ทุกเรื่องในร่างกายของเรา ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เวลาโน้นถึงจะดูเวลานี้ถึงจะดู แต่เวลานี้ ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ปัญญาโลกีย์เขาปิดกั้นเอาไว้หมด เราอย่าเพิ่งเอามานึกมาคิด เรามาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญผู้รู้ มาสร้างผู้รู้ให้เข้มแข็ง ให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะเอาไปใช้การใช้งานให้ได้

ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีธรรม ทุกคนมีบุญ ทุกคนมีธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม มีธรรม มีคุณธรรม แต่ไม่รู้ตัวธรรม คือตัวใจ รู้ตั้งแต่หน้าตา รู้ตั้งแต่อาการของเขา คิดก็รู้ ทำก็รู้ ด้วยปัญญาโลกๆควบคุมได้เป็นบางเรื่อง บางครั้งบางคราว แต่ไม่ได้ถึงตัวตนของใจที่แท้จริง ตัวตนของใจที่แท้จริง ก็คือความว่างนั่นแหละ

ในความว่างนั้นมีใจอยู่ มีวิญญาณอยู่ เหมือนกับในศาลาหลังนี้แหละ มีอากาศอยู่ แต่เรามองไม่เห็น แต่เราก็รับรู้ว่ามีอยู่ ในกายของเราก็เหมือนกัน มีวิญญาณอยู่ แต่ก็ขอให้รู้ รู้ความปกติ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ เวลาเขาก่อตัว เขาเกิด เราก็ใช้สติเข้าไปดับ ดับก็ถึงตัวของเขาทันที

แต่เวลานี้ เรารู้ไม่ทัน เราต้องพยายามศึกษาธรรมชาติในกายของเรา เขาทำหน้าที่อย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ส่วนรูปทำหน้าที่อย่างไร ส่วนนามทำหน้าที่อย่างไร เขารวมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนได้อย่างไร เราต้องจำแนกแจกแจงให้รู้เห็นเป็นกอง เป็นขันธ์ ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์

เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย เห็นใจเกิดกุศล หรือว่าอกุศล เหตุภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายใน เราต้องดู กายทวารเขาทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เห็นไหม ไก่มันร้องกระต๊ากๆ หูก็ได้ยินเสียง เสียงก็สักแต่ว่าเสียงใจก็มีหน้าที่รับรู้ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ผลักไส ไม่ดึงเข้ามา นี่แหละเขาทำหน้าที่ของเขา ใจของเราก็ยังปกติอยู่ เราต้องทำความเข้าใจให้รู้ละเอียดทุกเรื่องในชีวิตของเรา ขณะที่ยังมีลมหายใจ

กายของเรานี่แหละ คือสนามรบอันยิ่งใหญ่ จะไปหาธรรมะ หานอกกาย หาไม่เจอหรอก ศรัทธาความเชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม ฝักใฝ่ในบุญในกุศล ตรงนี้มีกันทุกคน จะมีมากมีน้อย ก็ขึ้นอยู่กำลังศรัทธา กำลังสติปัญญาของแต่ละบุคคล แต่การเจริญสติ เราต้องพยายามทำ พยายามสร้างให้มีให้เกิด แล้วรู้จักเอาไปใช้การใช้งาน อยู่คนเดียว เราก็ดูเรา รู้เรา แก้ไขเรา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่เข้าใจ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ จะเสียเปรียบกิเลสคนนู้นคนนี้ เราดูเรา ชนะเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดี สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน

สร้างการรู้สึกรับรู้ การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคน ก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียว ขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสรรค์ต่อ ทำความเข้าใจ ให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง