หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 61 วันที่ 12 กรกฎาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 61 วันที่ 12 กรกฎาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 61
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ เราได้น้อมดูรู้กายของเราแล้วหรือยัง เราได้ทำความเข้าใจกับคำว่า‘สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ แล้วหรือยัง เพียงแค่การเจริญ การสร้าง การทำให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ยังยากลำบากอยู่ เราอาจจะรู้อยู่เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว กระท่อนกระแท่น ก็เลยรู้ไม่ถึงต้นเหตุ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้เชื่อมโยง ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า 'สัมปชัญญะ' ตรงนี้ก็ยังยากอยู่
เรื่องศรัทธาความเสียสละบารมีส่วนอื่นนั้นมีอยู่ การทำบุญการให้ทาน ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ฝักใฝ่สนใจในการทำบุญ ในการยังสมมติของตัวเราเองให้อยู่ดีมีความสุข ตรงนี้มีอยู่ แต่การเจริญสติเอาสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ไปรู้เท่ารู้ทันเห็นลักษณะการเกิดของใจ เห็นลักษณะอาการเกิดของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรม กายของเรานี้เป็นส่วนรูปธรรม ส่วนความคิดต่างๆ เป็นนามธรรม เราเข้าไม่ถึงตรงนั้น เราไม่เห็นตรงนั้นเราก็เลยไปยึด เหมาเอาหมด ก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก
ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้เจริญสติให้รู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม ในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง วิญญาณของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกาย วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การเกิดการดับ ทำไมวิญญาณหรือว่าตัวใจถึงเป็นทาสของกิเลส ความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความยินดียินร้ายสารพัดอย่าง
ตราบใดที่ใจยังมีความเกิดอยู่ เขาก็มีความหลง ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขาหลงมาหลายชั้น หลงมาหลายภพ ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จนกระทั่งมาเกิดเป็นมนุษย์ คือร่างกายของเรานี่แหละ เขาเรียกว่า‘ภพมนุษย์’
พวกเรามีโอกาสมากที่สุดที่เกิดมาทันยุคของพระพุทธองค์ ซึ่งท่านก็ได้ค้นพบวิธีการ แนวทาง แล้วก็เอามาจำแนกแจกแจง ให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี้แหละได้ประพฤติปฏิบัติ ชี้เหตุชี้ผล ให้เห็นเหตุเห็นผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ เพราะว่าความจริงมีอยู่ในกายของเรา
ใจของทุกคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจ ก็เลยเอากิเลสมาปกปิดเอาไว้ เอาความเกิดมาปกปิดเอาไว้ การเกิด เกิดทางด้านรูปธรรม เกิดทางด้านนามธรรม เกิดทางกายเนื้อพวกเราก็เกิดมาแล้ว คือภพของเรานี่แหละภพมนุษย์นี่แหละ ท่านจึงให้เจริญสติหรือว่ามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างนี้ ใจที่ปล่อยวางความยึดมั่นในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ เราก็จะได้รู้ ได้เห็น ได้ทำความเข้าใจ ใจของเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย ใจของเราก็จะปล่อยก็จะวางได้เร็ว ก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ ดูแต่ละวันๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจที่เป็นสมาธิ ใจเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
คำว่าหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งก็มีอยู่ในกายของเรา ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก อัตตาอนัตตาเป็นอย่างนี้ อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายเป็นอย่างนี้ ขันธ์ห้ามี ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นอย่างนี้ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเกิดความดับ เห็นอนัตตาเห็นความว่างเปล่า เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา
คนเราเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่าร่างกายนี้มันเป็นก้อนทุกข์ มันทนไม่ได้ ถึงวาระเวลาเขาก็แตกดับ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา เราก็ดูแลรักษาเขาไป พยายามตักตวงสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นให้เต็มเปี่ยมขณะที่ยังมีกำลัง อยู่ในภพมนุษย์นี่แหละ สร้างบุญสร้างกุศลได้มากที่สุด มีสติมีปัญญามากที่สุด แต่ขอให้เป็นสติปัญญาในทางสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก ทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจ
อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เวลาโน้นจะดูเวลานี้จะทำ หนาวนัก ร้อนนัก ขี้เกียจเข้าครอบงำ จงเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรตลอดเวลา เป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เพียรในการชำระกิเลส เพียรในการทำความเข้าใจ
ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้นะ ใจที่เป็นสมาธิ สมาธิด้วยปัญญาหรือสมาธิด้วยการข่มเอาไว้ สมาธิด้วยปัญญา ก็คือการเจริญสติเข้าไปเห็นใจกับขันธ์กออกจากกัน หงายขึ้นมา เขาเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม ' เนี่ยแหละ ความเห็นถูกในหลักธรรม ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เห็นถูกแล้วยังไม่พอ เราต้องตามทำความเข้าใจเห็นการเกิดการดับ รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของตัวเรา มีเรื่องเดียวนี่แหละที่จะต้องสะสางให้ถึงจุดหมายปลายทางในชีวิตของมนุษย์ ไม่ใช่ไปผัดวันประกันพรุ่ง
ท่านก็ยังบอกให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ไม่ให้เชื่องมงาย ศรัทธาต้องมีปัญญา ปัญญาก็ต้องเกิดจากการเจริญภาวนา การเจริญสติ เอาสติไปใช้ การเจริญสติ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่เจริญ ก็แค่ได้ทำ ได้สร้างขึ้นมา เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย ใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา ชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ จนค้นคว้าจนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้ค้นคว้า มีแต่ดูกับรู้
ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด แต่เราก็ว่าเราไม่หลงหรอก เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องจาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง เป็นนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที จนเอาสติปัญญาของเราไปรู้เท่ารู้ทันได้นั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าสติปัจจุบันธรรมเราไม่มีเลย มีตั้งแต่สติปัญญาในทางโลก คือความคิดเก่าๆ ของเรานั่นแหละ มันก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังดับทุกข์ไม่ได้ หลุดพ้นไม่ได้ ก็ต้องพยายามกัน
หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์สร้างตบะ สร้างบารมี ตั้งแต่คิดดี ทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
แต่อย่าลืม...ในการเจริญสติ ในการเจริญภาวนาในการพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากก็มีตั้งแต่ความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
เรามาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริง สิ่งพวกนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเข้าถึงตรงนี้ได้ ถ้าไม่มีความเพียรก็ยาก ก็ได้แค่การทำบุญให้ทาน อาจจะควบคุมใจได้บ้างเป็นช่วง เป็นระดับ เป็นระยะ แต่การชี้เหตุที่ผล แยก คลายออก ตามดู รู้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร หมั่นสนใจขัดเกลาเอาออก
ในหลักธรรมแล้วทั้งอยาก ทั้งหวัง ท่านก็ให้ละหมดนั่นแหละ ทั้งความอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก คนทั่วไปทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งยึด สารพัดอย่าง ก็ค่อยคลาย ก็ค่อยเป็น
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ สักวันเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญทำเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกันพากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้เรื่องชีวิตของเรา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ เราได้น้อมดูรู้กายของเราแล้วหรือยัง เราได้ทำความเข้าใจกับคำว่า‘สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน’ แล้วหรือยัง เพียงแค่การเจริญ การสร้าง การทำให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ยังยากลำบากอยู่ เราอาจจะรู้อยู่เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว กระท่อนกระแท่น ก็เลยรู้ไม่ถึงต้นเหตุ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้เชื่อมโยง ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า 'สัมปชัญญะ' ตรงนี้ก็ยังยากอยู่
เรื่องศรัทธาความเสียสละบารมีส่วนอื่นนั้นมีอยู่ การทำบุญการให้ทาน ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม ฝักใฝ่สนใจในการทำบุญ ในการยังสมมติของตัวเราเองให้อยู่ดีมีความสุข ตรงนี้มีอยู่ แต่การเจริญสติเอาสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ไปรู้เท่ารู้ทันเห็นลักษณะการเกิดของใจ เห็นลักษณะอาการเกิดของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรม กายของเรานี้เป็นส่วนรูปธรรม ส่วนความคิดต่างๆ เป็นนามธรรม เราเข้าไม่ถึงตรงนั้น เราไม่เห็นตรงนั้นเราก็เลยไปยึด เหมาเอาหมด ก็เลยเกิดอัตตาตัวตน กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก
ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้เจริญสติให้รู้เท่ารู้ทัน รู้จักทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล อันนี้ส่วนรูป อันนี้ส่วนนาม ในกายของเรานี้มีอะไรบ้าง วิญญาณของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกาย วิญญาณในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร การเกิดการดับ ทำไมวิญญาณหรือว่าตัวใจถึงเป็นทาสของกิเลส ความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความยินดียินร้ายสารพัดอย่าง
ตราบใดที่ใจยังมีความเกิดอยู่ เขาก็มีความหลง ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขาหลงมาหลายชั้น หลงมาหลายภพ ตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จนกระทั่งมาเกิดเป็นมนุษย์ คือร่างกายของเรานี่แหละ เขาเรียกว่า‘ภพมนุษย์’
พวกเรามีโอกาสมากที่สุดที่เกิดมาทันยุคของพระพุทธองค์ ซึ่งท่านก็ได้ค้นพบวิธีการ แนวทาง แล้วก็เอามาจำแนกแจกแจง ให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี้แหละได้ประพฤติปฏิบัติ ชี้เหตุชี้ผล ให้เห็นเหตุเห็นผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ เพราะว่าความจริงมีอยู่ในกายของเรา
ใจของทุกคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจ ก็เลยเอากิเลสมาปกปิดเอาไว้ เอาความเกิดมาปกปิดเอาไว้ การเกิด เกิดทางด้านรูปธรรม เกิดทางด้านนามธรรม เกิดทางกายเนื้อพวกเราก็เกิดมาแล้ว คือภพของเรานี่แหละภพมนุษย์นี่แหละ ท่านจึงให้เจริญสติหรือว่ามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะรู้เท่ารู้ทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างนี้ ใจที่ปล่อยวางความยึดมั่นในขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ เราก็จะได้รู้ ได้เห็น ได้ทำความเข้าใจ ใจของเราก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรมากมาย ใจของเราก็จะปล่อยก็จะวางได้เร็ว ก็ต้องพยายามหัดวิเคราะห์ ดูแต่ละวันๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจที่เป็นสมาธิ ใจเกิดส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
คำว่าหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งก็มีอยู่ในกายของเรา ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้เมื่อไหร่ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คำว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก อัตตาอนัตตาเป็นอย่างนี้ อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายเป็นอย่างนี้ ขันธ์ห้ามี ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นอย่างนี้ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเกิดความดับ เห็นอนัตตาเห็นความว่างเปล่า เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา
คนเราเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่าร่างกายนี้มันเป็นก้อนทุกข์ มันทนไม่ได้ ถึงวาระเวลาเขาก็แตกดับ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา เราก็ดูแลรักษาเขาไป พยายามตักตวงสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นให้เต็มเปี่ยมขณะที่ยังมีกำลัง อยู่ในภพมนุษย์นี่แหละ สร้างบุญสร้างกุศลได้มากที่สุด มีสติมีปัญญามากที่สุด แต่ขอให้เป็นสติปัญญาในทางสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก ทำความเข้าใจให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจ
อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เวลาโน้นจะดูเวลานี้จะทำ หนาวนัก ร้อนนัก ขี้เกียจเข้าครอบงำ จงเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรตลอดเวลา เป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เพียรในการชำระกิเลส เพียรในการทำความเข้าใจ
ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้นะ ใจที่เป็นสมาธิ สมาธิด้วยปัญญาหรือสมาธิด้วยการข่มเอาไว้ สมาธิด้วยปัญญา ก็คือการเจริญสติเข้าไปเห็นใจกับขันธ์กออกจากกัน หงายขึ้นมา เขาเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม ' เนี่ยแหละ ความเห็นถูกในหลักธรรม ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย เห็นถูกแล้วยังไม่พอ เราต้องตามทำความเข้าใจเห็นการเกิดการดับ รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของตัวเรา มีเรื่องเดียวนี่แหละที่จะต้องสะสางให้ถึงจุดหมายปลายทางในชีวิตของมนุษย์ ไม่ใช่ไปผัดวันประกันพรุ่ง
ท่านก็ยังบอกให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ไม่ให้เชื่องมงาย ศรัทธาต้องมีปัญญา ปัญญาก็ต้องเกิดจากการเจริญภาวนา การเจริญสติ เอาสติไปใช้ การเจริญสติ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็ได้แค่เจริญ ก็แค่ได้ทำ ได้สร้างขึ้นมา เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจได้ด้วย ใจของเราอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา ชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ จนค้นคว้าจนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้ค้นคว้า มีแต่ดูกับรู้
ใจเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด แต่เราก็ว่าเราไม่หลงหรอก เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องจาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง เป็นนาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที จนเอาสติปัญญาของเราไปรู้เท่ารู้ทันได้นั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าสติปัจจุบันธรรมเราไม่มีเลย มีตั้งแต่สติปัญญาในทางโลก คือความคิดเก่าๆ ของเรานั่นแหละ มันก็อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังดับทุกข์ไม่ได้ หลุดพ้นไม่ได้ ก็ต้องพยายามกัน
หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างอานิสงส์สร้างตบะ สร้างบารมี ตั้งแต่คิดดี ทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์
แต่อย่าลืม...ในการเจริญสติ ในการเจริญภาวนาในการพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากก็มีตั้งแต่ความคิดที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า มันก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
เรามาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริง สิ่งพวกนี้ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเข้าถึงตรงนี้ได้ ถ้าไม่มีความเพียรก็ยาก ก็ได้แค่การทำบุญให้ทาน อาจจะควบคุมใจได้บ้างเป็นช่วง เป็นระดับ เป็นระยะ แต่การชี้เหตุที่ผล แยก คลายออก ตามดู รู้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร หมั่นสนใจขัดเกลาเอาออก
ในหลักธรรมแล้วทั้งอยาก ทั้งหวัง ท่านก็ให้ละหมดนั่นแหละ ทั้งความอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยาก คนทั่วไปทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งยึด สารพัดอย่าง ก็ค่อยคลาย ก็ค่อยเป็น
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ สักวันเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญทำเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกันพากันไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้เรื่องชีวิตของเรา