หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 52 วันที่ 14 มิถุนายน 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 52 วันที่ 14 มิถุนายน 2563
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 52 วันที่ 14 มิถุนายน 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
คัดย่อ
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 52
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 14 มิถุนายน 2563

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ เพื่อสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราเพื่อให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเนียกไปด้วย มีเสียงก็สักแต่ว่าเสียง

ลองสูดหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่งลมหายใจ การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากใจก็จะหยุดระงับลงไป สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ฝึกให้เป็นอัตโนมัติเขาเรียกว่า ‘เจริญสติ’ หรือว่า ‘มาสร้างผู้รู้’ เพื่อที่จะรู้เท่า รู้ทัน รู้ลักษณะของใจ

ใจที่ปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสเรารู้จักละ รู้จักควบคุม รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ของดีอยู่ในกายของเราเยอะ แต่เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปดูชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เห็นการเกิดการดับ เห็นการแยกการคลาย ที่ท่านบอกว่า ‘เป็นกองเป็นขันธ์’ กองรูป กองนาม กองวิญญาณในกายของเรา มีเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ ที่จะต้องศึกษาจิตวิญญาณของเราให้เข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ให้เป็นเป้าหมายให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง

แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็เกื้อหนุนกันอยู่ โลกธรรมก็อาศัยกันอยู่ จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ ที่ท่านบอกว่า ‘สมมติกับวิมุตติ’ สมมติเป็นอย่างไร วิมุตติเป็นอย่างไร สัจจะสมมติเป็นอย่างนี้ สัจจะทางวิมุตติเป็นอย่างนี้ แต่เขาก็อาศัยกันอยู่เราก็ต้องเจริญสติ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ เข้าไปทำความเข้าใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถึงจะเป็นสัมมาทิฐิความเห็นถูกที่แท้จริง เห็นการเกิดการดับ เห็นความไม่เที่ยงในกายของเรา ที่ท่านบอกว่า ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’

แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อย ส่วนศรัทธาความเชื่อมั่นเชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึง เราอาจจะคิดเห็นด้วยปัญญาของโลกของโลกีย์ มันก็ถูกอยู่ระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วเราต้องเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์จนเห็นลักษณะของใจ คลายออกจากอาการของความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน ซึ่งก็มีกันทุกคน มีกันทุกคน เว้นเสียแต่ว่า พวกเราจะเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ได้รู้เท่ารู้ทันรู้กันรู้แก้ รู้จักทำความเข้าใจให้ถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง

ส่วนการสร้างบารมีต่างๆ นั้นทุกคนก็สร้างกันมาดี ฝักใฝ่ในบุญในกุศลในการทำบุญในการให้ทาน แต่ละวันเราต้องพยายาม สำรวจใจของเราว่ามีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความกตัญญูมีความเสียสละ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปหรือไม่ มีความกล้าหาญอาจหาญในทางที่ถูก เราก็พยายามวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาทุกเรื่องในชีวิตของเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เรามีสติรู้กายของเราหรือไม่ ใจปกติเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ ในใจที่ไม่ส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างนี้ สติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนใจได้หรือไม่ แต่เวลานี้กำลังสติที่เราสร้างขึ้นมามีไม่เพียงพอ หรืออาจจะมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ กว่าจะระลึกได้ทีเป็นชั่วโมง เป็นวัน เราต้องพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน จนกลายเป็นสติ มหาสติ จากมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็กลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในใจของเรา รอบรู้ในดวงวิญญาณในกายของเรา ซึ่งก็มีกันอยู่ทุกคน

ถ้าเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ เราจะเห็นความเป็นจริงตรงนี้ ร่างกายของเรานี่แหละ..คือสนามรบเป็นอย่างดีเลยทีเดียว อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีวาสนา ทุกคนก็มีโอกาส ทุกคนก็มีวาสนา เว้นแต่ว่าพวกเราจะสนใจหรือไม่ เราก็ทำให้ต่อเนื่องกันหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน

ส่วนการสร้างตบะสร้างบารมีทำบุญให้ทาน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ฝักใฝ่ในการทำบุญตรงนี้ ฐานบุญตรงนี้มีอยู่ แต่เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ ธรรมชาติของใจนั้น บริสุทธิ์กันทุกคน บริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่รู้ ใจถึงเกิด แล้วก็เป็นทาสของกิเลส หมักหมมสะสมทับถมดวงใจของตัวเราเอาไว้ มันก็เลยปิดกั้นความบริสุทธิ์ตรงนี้เอาไว้ เรามาคลายมาละ มาสะสางจนกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์เหมือนเดิม ก็ต้องพยายามกัน

สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้ อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พาไปศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง