ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 53 วันที่ 10 กรกฎาคม 2557
ชื่อตอน
ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 53 วันที่ 10 กรกฎาคม 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
ตามความเป็นจริง ชุดที่ 3 (ลำดับที่ 41-60)
ถอดความฉบับเต็ม
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 53
วันที่ 10 กรกฎาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ไม่ต้องนึกต้องคิดต้องปรุงแต่งอะไร ใจของเราสงบชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ทำความเข้าใจ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบลงมาทันที
เราพยายามทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ฝึกศึกษาบ่อยๆ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้รู้ทุกอิริยาบถ ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ใจของเราก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่การปรารถนา การเกิดของใจนั้น ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เพียงแค่การเกิดการส่งไปภายนอก การปรุงการแต่งนั้น เขาหลง เขาถึงเกิด แต่เขาก็หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อที่เราสวดเราท่องว่า ‘ขันธ์ห้าเป็นของทุกข์’ มาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ทั้งตัวใจก็เกิดความทะเยอทะยานอยาก ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกอีก
ในหลักธรรมของพระพุทธองค์นั้น ท่านบอกว่า ‘ไม่มีอะไร มีแต่ความว่างเปล่า’ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนั้น รู้เห็นตรงนั้น เราก็ต้องมาเจริญสติ เน้นลงอยู่ที่กายของเรา เข้าไปดูรู้เหตุรู้ผล รู้การเกิดการดับของวิญญาณ เขาเกิดอย่างไรความคิดกับใจเขารวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ถ้าเราไม่มีกำลังสติเพียงพอ ก็ยากที่จะเห็นยากที่จะเข้าใจ เราต้องสร้างความเพียร แล้วก็สร้างตบะบารมี สร้างความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศเลยทีเดียว แล้วก็ขัดเกลากิเลสของเราอยู่ตลอดเวลา
ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการให้อภัย เราเอาออกในระดับของสมมติ ลึกลงไปจนแยกรูปแยกนาม ให้อภัยทานอโหสิกรรม ในส่วนทางทางด้านปรมัตถธรรม ทางด้านจิตวิญญาณ การฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้จิต ไม่รู้ใจ ก็ปฏิบัติเข้าไม่ถึงใจ เราจะเอาอะไรเข้าไปรู้ใจ เราก็ต้องเจริญสติ
เพียงแค่การเจริญกับการสร้าง พวกเรายังทำไม่ต่อเนื่องกัน เราจะรู้เท่าทันใจได้อย่างไร เราจะละกิเลสได้อย่างไร เพียงแค่การเจริญการสร้างก็กำลังมีไม่เพียงพอ นั่นก็ต้องพยายามฝึกตามแนวทางของพระพุทธองค์ ท่านบอกให้ดำเนินอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จะเกิดอย่างนี้ วางทิฏฐิหยุดทิฏฐิ ดับความคิดดับความกังวลต่างๆ ทิฏฐิมานะของเราต้องละออกให้มันหมด
เราต้องพยายาม ไม่รู้วันนี้ ก็พรุ่งนี้ต้องรู้ ตราบใดที่เรายังเดิน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ เมื่อรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย นั่นแหละ หมดความสงสัย มีตั้งแต่กำลังสติปัญญา ก็จะกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผล เห็นเหตุเห็นผลทั้งทางด้านสมมติทั้งทางด้านวิมุตติ หมดความสงสัย มีตั้งแต่จะขัดเกลากิเลสให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายาม
แต่เวลานี้กำลังสติมีไม่เพียงพอ ศรัทธาก็มีอยู่ แต่เป็นศรัทธาที่ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ศรัทธาอยู่ในบุญ อยู่ในกุศลเท่านั้น เราก็ต้องพยายามเดิน ไม่ถึงช้า ก็ต้องถึงเร็ว ถึงวาระถึงเวลาก็จะเป็นเอง ถ้าวิบากกรรมมันคลาย ถ้าวิบากกรรมไม่คลาย จะทำยังไง จะดิ้นรนยังไงก็ไม่ถึง ถ้าอานิสงส์บุญบารมีของเราเต็ม ความเสียสละของเราเต็มหรือเปล่า การขัดเกลา การสังเกตการณ์วิเคราะห์ การตามทำความเข้าใจ ขันติ วิริยะ ความเพียร มีความจริงใจต่อตัวเราอยู่ตลอดเวลาก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ถ้าเราบอกตัวเราไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น เราอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์อะไร เราจงสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม คนเรามองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ถึงไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ ทั้งที่ทรัพย์ก็มีอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ
วันที่ 10 กรกฎาคม 2557
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ไม่ต้องนึกต้องคิดต้องปรุงแต่งอะไร ใจของเราสงบชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ทำความเข้าใจ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ใจของเราก็จะสงบลงมาทันที
เราพยายามทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ฝึกศึกษาบ่อยๆ ฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้รู้ทุกอิริยาบถ ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญ ใจของเราก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่การปรารถนา การเกิดของใจนั้น ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เพียงแค่การเกิดการส่งไปภายนอก การปรุงการแต่งนั้น เขาหลง เขาถึงเกิด แต่เขาก็หลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อที่เราสวดเราท่องว่า ‘ขันธ์ห้าเป็นของทุกข์’ มาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ทั้งตัวใจก็เกิดความทะเยอทะยานอยาก ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกอีก
ในหลักธรรมของพระพุทธองค์นั้น ท่านบอกว่า ‘ไม่มีอะไร มีแต่ความว่างเปล่า’ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึงตรงนั้น รู้เห็นตรงนั้น เราก็ต้องมาเจริญสติ เน้นลงอยู่ที่กายของเรา เข้าไปดูรู้เหตุรู้ผล รู้การเกิดการดับของวิญญาณ เขาเกิดอย่างไรความคิดกับใจเขารวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ถ้าเราไม่มีกำลังสติเพียงพอ ก็ยากที่จะเห็นยากที่จะเข้าใจ เราต้องสร้างความเพียร แล้วก็สร้างตบะบารมี สร้างความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศเลยทีเดียว แล้วก็ขัดเกลากิเลสของเราอยู่ตลอดเวลา
ใจของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการให้อภัย เราเอาออกในระดับของสมมติ ลึกลงไปจนแยกรูปแยกนาม ให้อภัยทานอโหสิกรรม ในส่วนทางทางด้านปรมัตถธรรม ทางด้านจิตวิญญาณ การฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าเราไม่รู้จิต ไม่รู้ใจ ก็ปฏิบัติเข้าไม่ถึงใจ เราจะเอาอะไรเข้าไปรู้ใจ เราก็ต้องเจริญสติ
เพียงแค่การเจริญกับการสร้าง พวกเรายังทำไม่ต่อเนื่องกัน เราจะรู้เท่าทันใจได้อย่างไร เราจะละกิเลสได้อย่างไร เพียงแค่การเจริญการสร้างก็กำลังมีไม่เพียงพอ นั่นก็ต้องพยายามฝึกตามแนวทางของพระพุทธองค์ ท่านบอกให้ดำเนินอย่างนี้ ทำอย่างนี้ จะเกิดอย่างนี้ วางทิฏฐิหยุดทิฏฐิ ดับความคิดดับความกังวลต่างๆ ทิฏฐิมานะของเราต้องละออกให้มันหมด
เราต้องพยายาม ไม่รู้วันนี้ ก็พรุ่งนี้ต้องรู้ ตราบใดที่เรายังเดิน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ เมื่อรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย นั่นแหละ หมดความสงสัย มีตั้งแต่กำลังสติปัญญา ก็จะกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผล เห็นเหตุเห็นผลทั้งทางด้านสมมติทั้งทางด้านวิมุตติ หมดความสงสัย มีตั้งแต่จะขัดเกลากิเลสให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายาม
แต่เวลานี้กำลังสติมีไม่เพียงพอ ศรัทธาก็มีอยู่ แต่เป็นศรัทธาที่ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ศรัทธาอยู่ในบุญ อยู่ในกุศลเท่านั้น เราก็ต้องพยายามเดิน ไม่ถึงช้า ก็ต้องถึงเร็ว ถึงวาระถึงเวลาก็จะเป็นเอง ถ้าวิบากกรรมมันคลาย ถ้าวิบากกรรมไม่คลาย จะทำยังไง จะดิ้นรนยังไงก็ไม่ถึง ถ้าอานิสงส์บุญบารมีของเราเต็ม ความเสียสละของเราเต็มหรือเปล่า การขัดเกลา การสังเกตการณ์วิเคราะห์ การตามทำความเข้าใจ ขันติ วิริยะ ความเพียร มีความจริงใจต่อตัวเราอยู่ตลอดเวลาก็ต้องพยายามกันนะ
ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ถ้าเราบอกตัวเราไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น เราอย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่มีประโยชน์อะไร เราจงสอนตัวเรา แก้ไขตัวเรา สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าไปมองข้าม คนเรามองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ถึงไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ ทั้งที่ทรัพย์ก็มีอยู่
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปศึกษาทำความเข้าใจต่อกันนะ