ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 38 วันที่ 7 พฤษภาคม 2557

ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 38 วันที่ 7 พฤษภาคม 2557
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
ตามความเป็นจริง_หลวงพ่อกล้วย ลำดับที่ 38 วันที่ 7 พฤษภาคม 2557
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
ตามความเป็นจริง ชุดที่ 2 (ลำดับที่ 21-40)
ถอดความฉบับเต็ม
ตามความเป็นจริง ลำดับที่ 38
วันที่ 7 พฤษภาคม 2557


ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง ให้เชื่อมโยง ขณะที่นั่งฟังอยู่นี้แหละ น้อมสำเหนียก แล้วก็มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา


นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าไปเพ่ง อย่าไปบังคับ อย่าไปฝืน


เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้ว่า ลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าลมเข้าลมออก ลมเข้าลมออกให้เชื่อมโยง ความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มใหม่


ฝึกจนเกิดความเคยชิน อันนี้เขาเรียกว่า ‘ฝึกสติรู้กายอยู่กับปัจจุบัน’


อยู่กับปัจจุบันธรรม คือ ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ฝึกแล้วก็รู้เท่าทันรู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร เราก็จะเห็นเป็นสองส่วน ทีนี้มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ซึ่งภาษาธรรมะ ท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เขาผุดขึ้นมา ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราจะเห็นใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด


ถ้าเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ ใจก็จะดีดออก เขาเรียกว่า ‘แยกออกจากกัน’ เขาเรียกว่า ‘แยกออกจากกัน’ แล้วใจก็จะหงายขึ้นมาจากก่อน เหมือนกับเขาคว่ำอยู่ เหมือนกับสมมติเข้าครอบงำ เขาหงายขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘พลิก’ เขาเรียกว่า ‘หงาย’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวของเราก็จะตามเห็นความเกิด ความดับ ของขันธ์ห้า ว่าเป็นเรื่องอะไร เป็นกุศล หรือว่าอกุศล หรือว่าเป็นกลางๆ เป็นเรื่องอดีต หรือว่าเรื่องอนาคต


นี่แหละ ใจของเราไปหลงเอาตรงนี้ ทำให้เกิดความหลง ทำให้เกิดอัตตาตัวตน


เพียงแค่ความหลงยังไม่พอ ใจของเรายังเกิดกิเลสอีก กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดอีก เราต้องมาจัดการกับกิเลสอีก ละกิเลสได้หมดยังไม่พออีก เราต้องมาดับความเกิดของใจอีก หนุนกำลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน


การพูดนี่ ห้านาทีพูดจบ แต่การกระทำการลงมือนี่ มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราละเมื่อนั้น ความคิดเข้ามาเมื่อไหร่เราตามดูเมื่อนั้น ทำความเข้าใจหมดทุกเรื่อง จนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ จนกระทั่งใจของเราไม่เกิดนั่นแหละ


เรารู้จักวิธี รู้จักแนวทางแล้ว แนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย แล้วก็มาชี้แนะจำแนกแจกแจง เราประพฤติตาม การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การปรับสภาพใจของเราให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ไม่มีความแข็งกระด้าง ละทิฏฐิละมานะ มันเกิดเมื่อไหร่เราจัดการกับมันเมื่อนั้น


สติปัญญานี่แหละ จะเป็นครูบาอาจารย์คอยสอนเรา คอยเตือนเรา ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน ไม่มีประโยชน์ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอน คนนี้เขาสอน เรารู้จักสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ละได้ หรือละไม่ได้ เราก็รีบแก้ไข มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน


ไม่เหลือวิสัย เราต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ให้เต็มเปี่ยม หลายสิ่งหลายอย่างก็ล้วนแต่เป็นบุญ ใจของเราเป็นบุญ มองเห็นเป็นบุญทั้งนั้น บุญจากทั้งข้างนอกข้างข้างใน เรารีบแก้ไข


เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้


พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง