หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 096

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 096
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 096
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆนะ พระเราชีเรา พิจารณาปฏิสังขาโยก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราต้องวิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจของเรา ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน อยู่ในสภาวะอย่างไร เราต้องศึกษาค้นคว้าเข้าให้ถึงใจของเรา โอกาสที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ก็ยาก ได้เกิดมาแล้วก็อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ การเจริญสติ การดับ การแยกแยะ การคลายความหลง คลายความหลงคือใจคลายออกจากความคิด คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น รู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ไร่ ที่นา ที่บ้าน เราต้องแก้ไขตัวเราเอง เราขาดตกบกพร่องอะไรเราก็รีบแก้ไข

ใจของเราปกติ ใจของเรามีความสงบหรือว่าใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน หรือว่าใจของเรามีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก ความอยากไม่ใช่เฉพาะอยากในเรื่องอาหาร อยากในเรื่องอาหารนี่จะรู้ชัดเจน เพราะว่าเวลากายหิวแล้วใจจะปรุงแต่งความอยากได้เร็วได้ไว ท่านถึงให้พิจารณาความอยากมันก่อขึ้นที่ตรงไหนเราก็หยุด เราก็ดับ ทำความเข้าใจ จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ถ้าคนเราไม่เคยฝึกความอยากก็จะมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ อายุมากขึ้นเท่าไรความอยากก็เป็นทวีคูณ จนกระทั่งจะหมดลมหายใจก็ยังอยากโน่นอยากนี่ ยึดติดในสิ่งต่างๆ อันโน้นก็ของกูอันนี้ก็ของกู ใครแตะต้องไม่ได้ ความยึดความติด ผลสุดท้ายมีมากก็เอาอะไรไปไม่ได้แม้แต่กายของตัวเราเองก็ต้องทิ้ง

ขณะที่เรายังมีลมหายใจยังครองกายนี้อยู่เราก็พยายามสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง ให้กับตัวเรา ให้กับสังคม ให้กับสมมติให้กับโลก เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ความเป็นอยู่ก็มีความสุข จะไปจะมาก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าคนเรารู้จักให้ รู้จักคลายรู้จักเอาออก ให้ทุกอย่าง ให้ทางด้านวัตถุทาน เราก็ให้เพื่อความอนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดีไม่อคติไม่เพ่งโทษไม่ถือโกรธ ให้อภัยทาน ทานความโลภ ทานความโกรธ เจริญสติเข้าไปคลายความหลงเสียก่อนถึงจะคลายได้ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็จะคลายเลย การสร้างสติก็ยังมีนิดเดียว สร้างไม่ค่อยจะต่อเนื่อง บางทีก็สร้างอยู่บ้าง เล็กๆ น้อยๆ ก็ทิ้งขว้างไป เริ่มสร้างทีไรก็เริ่มใหม่ทุกที

การทำความเข้าใจ การเจริญสติต้องต่อเนื่อง มีความขยันหมั่นเพียร ใจของเราคลายได้เมื่อไร ก็ตามทำความเข้าใจแล้วก็ละ ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออก กิเลสหยาบก็คือความทะเยอทะยานอยาก ความหลง ความโลภนี่แหละ ความโกรธนี่แหละแสดงออก ใจผุดขึ้นมาก็แสดงออกทางกายทางวาจา สารพัดอย่างที่เขาจะเล่นงานเอา ดูแล้วก็น่าสงสาร แต่กลับชอบ แต่ไม่รู้จักละ มีแต่วิ่งหา ไม่ว่าพระว่าโยม พระเรานี่ก็พยายามพากันวิ่งหา ดับความอยากเสีย คลายออกให้มันหมด ไม่อยากจะได้มันก็มีมาเอง ถ้าใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ปรารถนาสิ่งไหนด้วยสติด้วยปัญญาเดี๋ยวก็มีมาเอง เทวดาร้อน เขาจัดสรรหามาให้ อยากจะร่วมบุญด้วยมาช่วยกัน พยายาม

แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราพยายามสร้างประโยชน์ให้กับตัวเรา ใจของเราสะอาด สงบ ปกติ จะทำโน่นทำนี่ก็เพื่อยังประโยชน์ ลึกลงไปก่อนที่จะคิด คิดในทางที่ดี คิดในทางกุศล ถ้าอกุศลก็พยายามละ สูงขึ้นไปอีกแม้แต่สติปัญญาคิด ก็ไม่ให้ใจของเราเข้าไปยินดียินร้าย จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ จัดระบบระเบียบของสมมติ คลาย มองหาความถูกต้องคือความเป็นกลางตัววิญญาณในขันธ์ห้าของเราให้เจอ พากันฝักใฝ่สนใจอยู่ แต่หาไม่ค่อยเจอเท่าไรเพราะว่าใจยังเกิดอยู่ ใจยังดิ้นอยู่ ใจยังวิ่ง

บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์มีปัญญาฟังนิดเดียว ลักษณะของใจที่สงบ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้นะ ใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ตา หู จมูก ลิ้นกายเขาทำหน้าที่อย่างนี้ ส่งเข้าไปถึงวิญญาณหรือว่าตัวใจของเรา ความรู้ตัวสติปัญญาส่วนบนส่วนสมองของเราเข้าไปสํารวจเอาไปใช้ เข้าไปทำหน้าที่แทน ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆๆๆ จนรู้จักจำแนกแจกแจง แต่เขาก็รวมกันอยู่ในกายก้อนนี้ซึ่งมีหนังเข้ามาห่อหุ้มอยู่ แต่ตัววิญญาณเขาก็ปกปิดตัวของเขาเอง ด้วยความคิด ด้วยอารมณ์ ด้วยอาการ มาปิดมิดไว้ชั้นลึก ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เขาก็ไม่เผยตัวออกมา ถ้าดับไม่ให้สนิทขณะไม่รู้ไม่เห็น ขณะที่เขาก่อตัว เราก็ไม่เห็นตัวตนของเขาอีก เขาปิดไว้หลายชั้น ตั้งแต่ตัวเขาก็เกิด

ความเกิดนี่ก็หลงแล้ว หลงมาเกิด หลงเกิดหลงคิด หลงเกิดหลงคิดก็ยังไม่พอ ส่งกําลังความทะเยอทะยานพุ่งออกไปอีก ความคิดที่เข้ามาปรุงแต่งอีก ร่วมกันเข้าไปอีก หลงเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง กายเนื้อมาปิดอีก หลงเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง กิเลส ความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเลต่างๆ ปิดไว้อีก อคติ มลทิน มองเห็นคนอื่นต่ำ เพ่งโทษคนอื่น อิจฉาริษยามาปิดไว้อีก เยอะๆ หลายชั้นๆ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็มาปิดไว้อีก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา ก็มาปิดกั้นไว้อีก จะมีกําลังค้นคว้าเอาออกให้หมดรึเปล่า ก็มีกําลังโดยการเจริญสติ ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ใจของเรามีความอยาก เราก็ดับความอยากด้วยการเอาออก ด้วยการให้ ด้วยการคลาย มีความเสียสละจากภายนอกก็ส่งผลถึงภายใน ใจของเรามีความโลภความโกรธเราก็พยายามดับ การได้ยินได้ฟัง การได้ศึกษามีกันมาตั้งนานแล้ว แต่เวลาดับเอาจริงๆ ไม่ค่อยจะสนใจกัน มันเกิดไปเผาไหม้จนหมดเกลี้ยงแล้ว เดี๋ยวค่อยรู้หรือไม่สนใจเลย จะเอาตั้งแต่บุญอย่างเดียว ขอให้ฉันได้ทำบุญ

การทำบุญการให้ทานนี่ก็เป็นเสบียง ไม่ให้อดไม่ให้อยาก ไม่ให้ลําบาก ดีหมดทุกอย่างนั่นแหละ เราต้องให้ถึงพร้อมหมด ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาจนปรับความสมดุลให้บริบูรณ์ อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันช่วยกัน อยู่ที่วัดก็ช่วยกัน ทุกอย่าง อย่าไปงอมืองอเท้า อย่าดีแต่พูด การกระทำก็ต้องถึงพร้อม มีความจริงใจ มีสัจจะ ชนะตัวเรา เราก็ชนะหมด อย่าเป็นภาระให้ตัวเอง อย่าเป็นภาระให้คนอื่น อย่าเป็นภาระให้สถานที่ เราต้องช่วยกันทุกอย่าง สร้างความรับผิดชอบให้มีในใจของเรา อยู่ที่ไหนก็จะเบาบาง มีความสุข อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์

ตั้งใจรับพรกันนะ

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งกันตามสบายนะ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งฟังไปด้วยน้อมสําเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูสิ อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ และก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบาย ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้เลย ให้เกิดความเคยชิน

ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่องเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ขณะที่เราสร้างความรู้ตรงนี้ให้มีมากขึ้นๆๆ จนต่อเนื่อง จากความไม่มี เราก็สร้างขึ้นมาให้มีเขาเรียกว่าการเจริญสติ เขาเรียกว่าสร้างผู้รู้ เข้าไปรู้ให้เท่าทันใจของเรา เวลานี้ใจของเรายังเกิดอยู่ เวลาเขาก่อตัว เวลาเขาปรุงเขาแต่ง เวลาความคิดผุดขึ้นมา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะเข้าไปควบคุม เข้าไปควบคุม จากเขาไม่สงบ ใจไม่สงบก็พยายามควบคุมให้สงบ ถ้าใจยังหลงอยู่ก็ไปหัดสังเกตจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ รอบรู้ในกองสังขาร เขาเรียกว่าวิปัสสนา

แต่เวลาได้ความรู้ตัว สติของเราบางคนก็มีน้อย บางคนก็แทบจะไม่มี นอกจากเราจะมาสร้างให้ต่อเนื่องแล้วเราถึงจะรู้ว่าเรานั่น จริงๆ ความรู้ตัวของเราไม่มีเลย มีตั้งแต่ใจเป็นผู้รู้ ใจเป็นผู้เกิด ใจเป็นผู้หลง ทั้งที่รู้อยู่ตรงนั้นอยู่ เราก็มาคลายเสีย มาเจริญสติเข้าไปควบคุมใจของเรา ใจของคนเรานี่ชอบคิด ชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง เรามาดับมาอดมาข่ม ช่วงใหม่ๆ ก็เป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส ถ้าใจของเราสงบนิ่งคลายออกจากความคิด ใจของเราถึงจะตกกระแสธรรมเข้าสู่การทำความเข้าใจที่แท้จริง ทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจ สติที่เราสร้างขึ้นมานี้หรือไปหมั่นพร่ำสอนใจของเรา อันนั้นถูกอันนี้ผิด แม้แต่การเกิดของใจเราก็ต้องดับ ถ้าใจของเราสงบ ใจไม่เกิดก็ต้องนิ่ง เขาเรียกว่าสมาธิ

ถ้าใจคลายออกจากอาการของใจเขาเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง นี่เราจะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ให้รู้เห็นตรงนี้เสียก่อน ทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อน เราก็จะมองทะลุปรุโปร่งในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านสอนคำว่าอัตตาเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร นิวรณธรรมเป็นเครื่องกางกั้นตัวใจของเราเป็นอย่างไร อริยสัจสี่เป็นอย่างไร คำสอนของท่านก็จะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงว่าสัจจะความจริงอันประเสริฐมีอยู่ เราก็จะเข้าใจในพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้ามีจริง 2000 กว่าปีมีจริง คำสอนของท่านมีจริง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีจริง ขอให้เราทำให้ถึงเถิด

วันนี้มี พรุ่งนี้มี แล้วก็การเจริญพรหมวิหาร การเจริญความเมตตามองหาหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรมาอย่างไร เราจะชำระสะสางกิเลสของเราได้หมดจดหรือไม่ อย่าออกนอกลู่นอกทาง อย่าออกนอกเรื่อง มีตั้งแต่เรื่องของเราทั้งนั้น ทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไขตัวเราให้ดี ยังสมมติความเป็นอยู่ของเราให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะส่งผล ทำวันนี้ให้ดีอนาคตก็จะออกมาดีเอง เพียงแค่การเจริญสติ พวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่อง กระท่อนกระแท่น แต่ใจก็วิ่งหาตั้งแต่ธรรม วิ่งหาตั้งแต่บุญ อยากจะได้ตั้งแต่บุญ อันนี้ก็เป็นอานิสงส์ความอยากนั่นแหละ ความทะเยอทะยานอยากนั่นแหละทำให้เราเข้าใจในธรรม แล้วก็มาเจริญสติเข้าไปดับความทะเยอทะยานอยาก คลายความหลงเสีย

ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ออกจากความคิด เขาก็ว่าง อัตตาสมมติก็มีอยู่ เราทำความเข้าใจก็ละกิเลสออกให้มันหมด เราละทีละเล็กทีละน้อย มันก็จะค่อยกระแท่นไปๆ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมมันมีอะไรบ้าง ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ก็ต้องพยามกันนะ ไม่ว่าพระว่าชี พากันขยันหมั่นเพียรกัน ไม่มีอะไรมากเลย ถ้าคนเราเข้าใจ ถ้าคนเรามีตั้งแต่ใจ ตั้งแต่อยู่ในบุญกุศล ทำใจให้เป็นบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ

สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกันให้ชัดเจน ความคิด อารมณ์ต่างๆ พันธะภาระหน้าที่ต่างๆ วางเอาไว้ อย่าเพิ่งเอาเก็บมาคิด ถึงใจจะคิดก็ต้องดับเสียก่อน ทำใจให้ว่าง สมองให้โล่ง กายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างกันต่อกัน อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือน เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง