หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 087
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 087
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้ลมหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เราได้สำรวจกายของเราแล้วหรือยัง สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง
ใจของทุกคนก็ปรารถนาฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน แต่การเกิดของเขามีอยู่ ใจกับความคิดเขายังรวมกันอยู่ ความรู้ตัว เราก็ยังไม่ได้สร้างให้ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้เกิดความเคยชิน แล้วก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์ให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต การเกิดของความคิด ถ้าเรารู้เท่าทันตั้งแต่เริ่มก่อตัว ใจของเราคลายออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ เราถึงจะมองเห็นหนทางที่ถูกต้อง เพียงแค่เริ่มต้น
การตามดู การรู้ การเห็น กำลังสติของเราต้องตามค้นคว้าดูรู้ทุกอริยาบถ นอกจากจะนอนหลับ ทุกเรื่องในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนถ้าไม่รู้เข้าถึงจุดนี้ มันก็ปฏิบัติแค่เพียงรูปแบบ ปฏิบัติอยู่ในระดับของบุญของกุศล เดินปัญญา ทำความเข้าใจตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ไม่ถึงจุดหมาย แต่ก็ดีอยู่ เป็นการสร้างบารมี ถ้าถึงวาระเวลาประจวบเหมาะก็จะเดินเป็นปัญญา เข้าใจในการแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจได้ชัดเจน
ให้พยายามรีบทำความเข้าใจเสียขณะที่กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่ง วันโน้นจะทำ วันนี้จะทำ เราต้องพยายามฝึกตั้งแต่กำลังกายของเรายังแข็งแรง ถ้าสภาพร่างกายของเราอ่อนแอแล้วมันก็ยาก ยากที่จะฝึกได้ เน้นสติลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ความรู้สึกรับรู้ อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย อยู่ที่การเดินนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย
ทุกวิธีเป็นอุบายที่จะให้มีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จุดมุ่งหมายลึกลงไปอีกก็รู้ฐานของใจของเรา แล้วก็คลายใจออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตามดู ตามรู้ ตามเห็นให้จบ ทำความเข้าใจให้แจ้งๆ ในกองสังขารของตัวเองเราเอง ในหลักของอริยสัจ ความจริงที่พระพุทธองค์พระองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย มีอยู่แล้ว ท่านได้ค้นพบวิธี อุบาย แนวทาง เราต้องมาสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สติไม่มี เราต้องสร้างให้มีให้ต่อเนื่อง เอาเรื่องของเราให้ได้ ทำเรื่องของเราให้จบ นอกนั้นก็จะล้นออกไปสู่สังคม สู่สมมติกับโลกธรรม โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา ของคู่กัน
สภาวะใจของทุกคนนั้น ใจเดิมแท้นั้นบริสุทธิ์ ความไม่เข้าใจ ความหลง เขาถึงหลงเกิด หลงเกิดยังไม่พอ ก็เป็นทาสของกิเลสความทะเยอทะยานอยากซึ่งเป็นยางเหนียว ยากที่จะคลาย ถ้าบุคคลไม่สร้างตบะให้เข้มแข็ง ใจของเราเกิดความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการเอาออก ด้วยการให้ ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับ พยายามให้อภัย ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเราก็จะคลายออกๆ จนคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ได้เมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะได้มองเห็นหนทาง
สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง รอบรู้ในดวงจิตว่ามันเกิดตรงไหน ฐานมันอยู่ตรงไหน ส่วนมากมันเกิดไปแล้ว รวมกันไปแล้ว ถ้าไม่เห็นตรงจุดนี้ก็ยากที่จะเดินปัญญาขั้นสูงด้วย หลวงพ่อจะย้ำเข้าไปหาเหตุตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ย้ำตั้งแต่เรื่องการเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ ลักษณะของสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าปล่อยเลยตามเลย เสียดายเวลา
ทุกลมหายใจเข้าออก ขณะจิต ขณะลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คนเราทิ้งปัจจุบันไป มันก็เป็นอนาคต อดีตเพียงแค่นาทีเดียวก็เป็นอดีตแล้ว นาทีถัดไปก็เป็นอนาคต พยายามรู้ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ใจของเราคลายได้ ตามดูได้ กำลังสติของเราก็จะเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง จนเป็นเอง ช่วงที่ยังไม่มีนี่แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมา ประคับประคอง ส่วนมากถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ก็พลั้งเผลอ เพราะว่าความคิดเก่า ปัญญาเก่าเขาปิดกั้นไว้หมด
เราต้องสร้างความรู้ตัว เจริญสติให้เข้มแข็ง เข้าไปหาเหตุหาผล จนจิตของเราคลายออกได้ ตามดูได้ รู้เห็นได้ จิตยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ทุกเรื่องสติปัญญาต้องแหลมคมเร็วไวต่อเนื่อง รู้ไม่ทันต้นเหตุก็ดับควบคุมเอาไว้ เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเจริญสติเข้าไปสู่วิปัสสนา ไม่ใช่ว่าไปนั่งแบบไม่รู้อะไร เดินแบบไม่รู้อะไร
คนเราจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยเพราะว่าเกิดจากการเจริญสติ เกิดจากการทำความเข้าใจ เกิดจากการแยกรูปแยกนาม ให้รู้ว่าเห็นปัจจุบันธรรมนี่แหละ จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการละ จนใจเกิดความรู้เห็นตามความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เพียงแค่ความคิด ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ไม่เกิด ในเมื่อเราคลายความหลงออกจากขันธ์ห้าแล้ว เราก็มาดับความเกิด แล้วมาละกิเลส ไม่ต้องไปเอาตัวใหญ่ๆ หรอกเอาตัวเล็กๆ พวกนิวรณธรรม พวกมลทินที่มันเกิด
ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ขุดคุ้ยลงไปจนมันไม่เหลือ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ เพียงแค่ย้ำให้รู้พื้นฐานต้นเหตุให้ได้เสียก่อน ถ้ารู้ต้นเหตุแล้ว ถ้าบุคคลที่มีความเพียรแล้วจะไม่ปล่อยทิ้ง จะตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง แก้ไขให้ได้ ใช้สติปัญญาไปทำความเข้าใจให้ได้ หนุนกำลังสติปัญญาไปใช้กับสมมติให้เต็มเปี่ยม จนล้นออกไปสู่สังคม สู่สมมติภายนอก มีตั้งแต่ประโยชน์ มีตั้งแต่อานิสงส์ในโลกนี้ โลกหน้าอย่าเพิ่งพูดถึง เอาโลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน พยายามเอา
ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม อย่าปล่อยให้สภาพร่างกายเสื่อมโทรมลงไปแล้วก็มันลำบากนะ ยิ่งแก่ไปก็ยิ่งลำบาก เราฝึกตั้งแต่หนุ่มๆ นั่นแหละจะเห็นชัดเจน ตั้งแต่มีกำลังความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าพากันให้ความอยากผ่านภาระใจของเราไป เราพยายามดับ พยายามละ ชนะตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่ามาตั้งแต่ตัวเราเองก็เป็นภาระให้ตัวเราเอง หนักภาระให้กับคนอื่น ภาระหนัก เป็นหนักให้กับสถานที่
ทำอย่างไรเราถึงจะทำกาย ทำใจของเราให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ต่อส่วนรวม ต่อสังคม เราก็ต้องพยายามเอา ชัยชนะเราแล้วมีตั้งแต่จะสร้างประโยชน์ฝากฝังเอาไว้ในใจของเรา ฝากฝังเอาไว้กับสมมติเท่านั้นเอง พยายามนะพระเราชีเรา มีอะไรก็ช่วยกัน หนักเอาเบาสู้ อย่าพากันเกียจคร้าน อย่าสร้างสะสมความเกียจคร้าน ให้สร้างสะสมความขยันหมั่นเพียร สร้างกระสมความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันที่มาอาศัยวัดอยู่ เราก็ต้องพยายามช่วยกัน อย่ามาสร้างความรกรุงรัง
เราต้องพยายามมีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ รู้จักช่วยกัน ไม่ใช่ว่าขอให้ฉันได้อยู่ดีมีความสุข ภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องช่วยกันหมด พยายามยังสถานที่ให้เป็นบุญ ให้เป็นกุศล ให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป จากกองบุญอันน้อยๆ ก็จะกลายเป็นของกองบุญอันใหญ่มหาศาลในวันข้างหน้า
ทุกวันนี้ก็เริ่มเป็นของบุญใหญ่แล้วแหละ แต่ละวันๆ ฆราวาสญาติโยมมา ทั้งพระทั้งอะไรมา มาไหว้ มาเยี่ยมมาเยือน เห็นแล้วก็ภูมิใจ แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงมาก็มีความสุขนั่นแหละ จะเป็นสถานแหล่งบุญของทุกคน ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ไม่พิจารณา ให้พิจารณาเสียก่อน อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ กว่าจะยังสมมติตรงนี้ให้บริบูรณ์ได้ก็ผ่านกาล ผ่านเวลา ผ่านความเพียร ผ่านความเสียสละของทุกคนหล่อหลอมรวมกัน พวกเราก็มาสร้างสานต่อ ดูแลรักษาต่อให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นอัตโนมัติทั้งภายนอก ทั้งภายใน เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป เป็นบุคคลที่ตื่นใหม่ๆ ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นบุคคลที่เกียจคร้าน สร้างสะสมกิเลสเข้าทับถมดวงใจของตัวเราเอง ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
ใจของทุกคนก็ปรารถนาฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน แต่การเกิดของเขามีอยู่ ใจกับความคิดเขายังรวมกันอยู่ ความรู้ตัว เราก็ยังไม่ได้สร้างให้ต่อเนื่อง เราก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้เกิดความเคยชิน แล้วก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์ให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต การเกิดของความคิด ถ้าเรารู้เท่าทันตั้งแต่เริ่มก่อตัว ใจของเราคลายออกจากความคิดได้เมื่อไหร่ เราถึงจะมองเห็นหนทางที่ถูกต้อง เพียงแค่เริ่มต้น
การตามดู การรู้ การเห็น กำลังสติของเราต้องตามค้นคว้าดูรู้ทุกอริยาบถ นอกจากจะนอนหลับ ทุกเรื่องในชีวิตของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนถ้าไม่รู้เข้าถึงจุดนี้ มันก็ปฏิบัติแค่เพียงรูปแบบ ปฏิบัติอยู่ในระดับของบุญของกุศล เดินปัญญา ทำความเข้าใจตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ ไม่ถึงจุดหมาย แต่ก็ดีอยู่ เป็นการสร้างบารมี ถ้าถึงวาระเวลาประจวบเหมาะก็จะเดินเป็นปัญญา เข้าใจในการแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจได้ชัดเจน
ให้พยายามรีบทำความเข้าใจเสียขณะที่กำลังกายของเรายังแข็งแรงอยู่ อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่ง วันโน้นจะทำ วันนี้จะทำ เราต้องพยายามฝึกตั้งแต่กำลังกายของเรายังแข็งแรง ถ้าสภาพร่างกายของเราอ่อนแอแล้วมันก็ยาก ยากที่จะฝึกได้ เน้นสติลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ความรู้สึกรับรู้ อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย อยู่ที่การเดินนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย
ทุกวิธีเป็นอุบายที่จะให้มีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จุดมุ่งหมายลึกลงไปอีกก็รู้ฐานของใจของเรา แล้วก็คลายใจออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ตามดู ตามรู้ ตามเห็นให้จบ ทำความเข้าใจให้แจ้งๆ ในกองสังขารของตัวเองเราเอง ในหลักของอริยสัจ ความจริงที่พระพุทธองค์พระองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย มีอยู่แล้ว ท่านได้ค้นพบวิธี อุบาย แนวทาง เราต้องมาสร้างให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา สติไม่มี เราต้องสร้างให้มีให้ต่อเนื่อง เอาเรื่องของเราให้ได้ ทำเรื่องของเราให้จบ นอกนั้นก็จะล้นออกไปสู่สังคม สู่สมมติกับโลกธรรม โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา ของคู่กัน
สภาวะใจของทุกคนนั้น ใจเดิมแท้นั้นบริสุทธิ์ ความไม่เข้าใจ ความหลง เขาถึงหลงเกิด หลงเกิดยังไม่พอ ก็เป็นทาสของกิเลสความทะเยอทะยานอยากซึ่งเป็นยางเหนียว ยากที่จะคลาย ถ้าบุคคลไม่สร้างตบะให้เข้มแข็ง ใจของเราเกิดความอยาก เราก็ละความอยากด้วยการเอาออก ด้วยการให้ ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็พยายามดับ พยายามให้อภัย ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเราก็จะคลายออกๆ จนคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ได้เมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะได้มองเห็นหนทาง
สัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง รอบรู้ในดวงจิตว่ามันเกิดตรงไหน ฐานมันอยู่ตรงไหน ส่วนมากมันเกิดไปแล้ว รวมกันไปแล้ว ถ้าไม่เห็นตรงจุดนี้ก็ยากที่จะเดินปัญญาขั้นสูงด้วย หลวงพ่อจะย้ำเข้าไปหาเหตุตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ย้ำตั้งแต่เรื่องการเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาให้ได้ทุกอิริยาบถ ลักษณะของสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าปล่อยเลยตามเลย เสียดายเวลา
ทุกลมหายใจเข้าออก ขณะจิต ขณะลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คนเราทิ้งปัจจุบันไป มันก็เป็นอนาคต อดีตเพียงแค่นาทีเดียวก็เป็นอดีตแล้ว นาทีถัดไปก็เป็นอนาคต พยายามรู้ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ ใจของเราคลายได้ ตามดูได้ กำลังสติของเราก็จะเป็นมหาสติ มหาปัญญา จนไม่ได้สร้าง จนเป็นเอง ช่วงที่ยังไม่มีนี่แหละ เราพยายามสร้างขึ้นมา ประคับประคอง ส่วนมากถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ก็พลั้งเผลอ เพราะว่าความคิดเก่า ปัญญาเก่าเขาปิดกั้นไว้หมด
เราต้องสร้างความรู้ตัว เจริญสติให้เข้มแข็ง เข้าไปหาเหตุหาผล จนจิตของเราคลายออกได้ ตามดูได้ รู้เห็นได้ จิตยอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละ ทุกเรื่องสติปัญญาต้องแหลมคมเร็วไวต่อเนื่อง รู้ไม่ทันต้นเหตุก็ดับควบคุมเอาไว้ เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเจริญสติเข้าไปสู่วิปัสสนา ไม่ใช่ว่าไปนั่งแบบไม่รู้อะไร เดินแบบไม่รู้อะไร
คนเราจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยเพราะว่าเกิดจากการเจริญสติ เกิดจากการทำความเข้าใจ เกิดจากการแยกรูปแยกนาม ให้รู้ว่าเห็นปัจจุบันธรรมนี่แหละ จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้ ในการละ จนใจเกิดความรู้เห็นตามความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เพียงแค่ความคิด ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ไม่เกิด ในเมื่อเราคลายความหลงออกจากขันธ์ห้าแล้ว เราก็มาดับความเกิด แล้วมาละกิเลส ไม่ต้องไปเอาตัวใหญ่ๆ หรอกเอาตัวเล็กๆ พวกนิวรณธรรม พวกมลทินที่มันเกิด
ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ ขุดคุ้ยลงไปจนมันไม่เหลือ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ เพียงแค่ย้ำให้รู้พื้นฐานต้นเหตุให้ได้เสียก่อน ถ้ารู้ต้นเหตุแล้ว ถ้าบุคคลที่มีความเพียรแล้วจะไม่ปล่อยทิ้ง จะตามทำความเข้าใจทุกเรื่อง แก้ไขให้ได้ ใช้สติปัญญาไปทำความเข้าใจให้ได้ หนุนกำลังสติปัญญาไปใช้กับสมมติให้เต็มเปี่ยม จนล้นออกไปสู่สังคม สู่สมมติภายนอก มีตั้งแต่ประโยชน์ มีตั้งแต่อานิสงส์ในโลกนี้ โลกหน้าอย่าเพิ่งพูดถึง เอาโลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน พยายามเอา
ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม อย่าปล่อยให้สภาพร่างกายเสื่อมโทรมลงไปแล้วก็มันลำบากนะ ยิ่งแก่ไปก็ยิ่งลำบาก เราฝึกตั้งแต่หนุ่มๆ นั่นแหละจะเห็นชัดเจน ตั้งแต่มีกำลังความอยากเล็กๆ น้อยๆ เราก็อย่าพากันให้ความอยากผ่านภาระใจของเราไป เราพยายามดับ พยายามละ ชนะตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่ามาตั้งแต่ตัวเราเองก็เป็นภาระให้ตัวเราเอง หนักภาระให้กับคนอื่น ภาระหนัก เป็นหนักให้กับสถานที่
ทำอย่างไรเราถึงจะทำกาย ทำใจของเราให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ต่อส่วนรวม ต่อสังคม เราก็ต้องพยายามเอา ชัยชนะเราแล้วมีตั้งแต่จะสร้างประโยชน์ฝากฝังเอาไว้ในใจของเรา ฝากฝังเอาไว้กับสมมติเท่านั้นเอง พยายามนะพระเราชีเรา มีอะไรก็ช่วยกัน หนักเอาเบาสู้ อย่าพากันเกียจคร้าน อย่าสร้างสะสมความเกียจคร้าน ให้สร้างสะสมความขยันหมั่นเพียร สร้างกระสมความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันที่มาอาศัยวัดอยู่ เราก็ต้องพยายามช่วยกัน อย่ามาสร้างความรกรุงรัง
เราต้องพยายามมีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ รู้จักช่วยกัน ไม่ใช่ว่าขอให้ฉันได้อยู่ดีมีความสุข ภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างเราต้องช่วยกันหมด พยายามยังสถานที่ให้เป็นบุญ ให้เป็นกุศล ให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป จากกองบุญอันน้อยๆ ก็จะกลายเป็นของกองบุญอันใหญ่มหาศาลในวันข้างหน้า
ทุกวันนี้ก็เริ่มเป็นของบุญใหญ่แล้วแหละ แต่ละวันๆ ฆราวาสญาติโยมมา ทั้งพระทั้งอะไรมา มาไหว้ มาเยี่ยมมาเยือน เห็นแล้วก็ภูมิใจ แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงมาก็มีความสุขนั่นแหละ จะเป็นสถานแหล่งบุญของทุกคน ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ไม่พิจารณา ให้พิจารณาเสียก่อน อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ กว่าจะยังสมมติตรงนี้ให้บริบูรณ์ได้ก็ผ่านกาล ผ่านเวลา ผ่านความเพียร ผ่านความเสียสละของทุกคนหล่อหลอมรวมกัน พวกเราก็มาสร้างสานต่อ ดูแลรักษาต่อให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นอัตโนมัติทั้งภายนอก ทั้งภายใน เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม เตรียมพร้อมที่จะอยู่ เตรียมพร้อมที่จะไป เป็นบุคคลที่ตื่นใหม่ๆ ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นบุคคลที่เกียจคร้าน สร้างสะสมกิเลสเข้าทับถมดวงใจของตัวเราเอง ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา