หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 082

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 082
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 082
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ฝนฟ้าก็คงจะเริ่มไปแล้วมั้งนะ อากาศหนาวๆ เริ่มเย็น ได้ยินข่าวทราบข่าวว่าหิมะก็ลงเยอะอยู่เหมือนกัน หลายประเทศหิมะก็เริ่มลง พี่น้องก็ลำบากกันเยอะ เห็นว่าตุรกีอะไรแผ่นดินไหวก็ตายร่วมเกือบๆ จะพัน บาดเจ็บก็เยอะ เกิดเหตุเภทภัย แก้ไขไม่ได้ก็ยกให้เป็นกรรม วิบากกรรม ถ้ามองเห็นชัดเจนแล้ว พยายามทำความเข้าใจกับกรรม

แต่กายนี้เป็นก้อนกรรม ถึงวาระเวลาก็ต้องแตกดับ ขณะยังไม่ถึงวาระเวลา ก็พยายามสร้างกุศลกรรมเอาไว้ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เราพยายามอยู่ด้วยความไม่ประมาท อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา เมตตาตัวเราเอง เมตตาหมู่คณะเพื่อนฝูง เมตตาเพื่อนร่วมโลก เท่าที่โอกาส เท่าที่กาลเวลาจะเปิดทางให้พวกเรา

แล้วแต่ใจของเรา เราก็อย่าให้จิตใจของเราเศร้าหมอง พยายามทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ นี่แหละเขาเรียกว่า ‘เมตตาตัวเอง’ เจริญสติปัญญาไปเมตตาตัวเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง จะล้นออกไปสู่สังคมสู่หมู่สู่คณะ ญาติโยมก็มาเยอะ มาเที่ยววัดเรา ทั้งใกล้ทั้งไกล แต่ละวันนี้มากันลูกเด็กเล็กแดง เด็กตัวเล็กๆ พาพ่อพาแม่มา พ่อแม่มาแล้วก็พาพาครอบครัวมา มากราบไหว้สิ่งเป็นสิริมงคล มาแล้วก็มีความสุข ก็จากแหล่งบุญน้อยๆ ก็จะกลายเป็นแหล่งบุญใหญ่ ใครมาแล้วก็มีความสุข ทุกคนได้ช่วยกันทำ ช่วยกันสร้างขึ้นมา ฝากเอาไว้กับแผ่นดิน ฝากเอาไว้กับสมมติ ต่อไปข้างหน้าก็ยิ่งจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมหมด ใครเข้ามาแล้วก็มีความสุข

เราอยู่ที่นี่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีอะไรก็ช่วยกันทำเป็นหน้าที่ของเราทุกคน เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมกัน ฝากไว้ทำเอาไว้ ณ สถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งบุญ แหล่งบุญใหญ่ ญาติโยมมาแล้วก็มีความสุข บุญก็ได้เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยหนึ่งก็ยังดี อยากจะดับทุกข์ หลุดพ้น ก็ต้องศึกษาค้นคว้าตามแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์

การเจริญสติการแยกรูปแยกนาม การดำเนินชีวิตให้ถึงจุดหมายปลายทางทั้งทางโลก ทั้งทางธรรม โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่ กายก็คือก้อนโลก จิตก็คือองค์ธรรม แต่เรารู้เมื่อเขาเกิดแล้ว เราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง ก็เลยยากที่จะนิ่ง แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็พยายามหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณา หมั่นหยุดระงับยับยั้ง หาเหตุ ค้นหาเหตุผล เมื่อจิตรู้ความจริงแล้ว เขาไม่เกิดหรอก การเป็นเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลสเป็นทาสของอารมณ์ เขาก็ไม่เอา

แต่เวลานี้เขายังไม่รู้เขาถึงหลง ปัญญาสมมติ เราอาจจะไม่หลง แต่ถ้ายังแยกยังคลายไม่ได้ ก็ยังหลงความคิด หลงอารมณ์อยู่ ก็ต้องพยายาม ค่อยพิจารณา ค่อยเป็นค่อยไป สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง เพราะว่าคนเราเกิดมาด้วยแรงแห่งกรรม จะต้องศึกษาเรื่องกรรมให้ละเอียด กรรม ก็คือการกระทำ แล้วก็ส่งผลสืบต่อเนื่อง ทั้งทางรูป ทางด้านรูปธรรมและทางด้านนามธรรม ถ้าพูดเรื่องกรรมแล้ว คนนึกว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ทุกข์ มันก็ทุกข์อยู่ แต่กรรมคือการกระทำ ความหมายคือการกระทำ การเกิด การเคลื่อน การยึด การติด เรียกว่า ‘การกระทำ’

เราพยายามละอกุศล เจริญกุศล ในหลักธรรมสูงขึ้นไป ก็ทำความเข้าใจ ก็ละทั้งกุศลทั้งอกุศลนั่นแหละ มีแต่สร้างกุศลอย่าไปยึด สร้างประโยชน์ ไม่ยึด ตราบใดที่ยังปล่อยยังวางไม่ได้ ก็ให้ยึดกรรมดีเอาไว้ ท่านถึงบอกว่าให้สร้างบุญ ระลึกนึกถึงบุญตลอดเวลา ต่อไปข้างหน้าเราก็รู้จักตัวบุญ ตัวบุญเป็นตัวยังไงก็ไม่รู้นะ ถ้าคนไม่เข้าใจ เหมือนกับนายจ้างพายเรือข้ามฝั่ง นี่เล่าตามนิทาน

เล่าตามนิทาน มีพระภิกษุสงฆ์องค์หนึ่งจะข้ามฟาก ไม่มีสตางค์ๆ ก็เลยบอกว่าจะขอข้ามฟาก จะเอาบุญให้ นายท้ายเรือคนนั้นก็ดีใจว่าจะได้บุญ ก็เลยให้พระภิกษุสงฆ์องค์นั้น อาศัยเรือแล้วก็พายข้ามฟากไป พอถึงฟากอีกฝั่งหนึ่ง เขาก็อยากจะได้บุญ เขาก็ยืนรอเอาบุญอยู่อย่างนั้น พระภิกษุสงฆ์นั้นก็มองพิจารณาดูแล้วเขาคงไม่เข้าใจในบุญ จะพูดยังไงก็คงไม่เข้าใจ ก็เลยหันหลังให้ ก็แคะขี้มูกตามนั้นแหละ มาปั้นเป็นก้อนๆ ให้ มาปั้นเป็นก้อนๆ แล้วก็ยกให้ เอาบุญ โยมคนนั้นถามว่าไหนล่ะบุญที่จะให้ พระองค์นั้นเรียกว่า บุญก็เกิดขึ้นที่ใจของโยมแล้ว มีความสุขแล้ว

แต่โยมคนนั้น ความหมายอยากจะได้บุญเป็นตัวเป็นตนเหมือนกับได้เงิน ก็หันหลังให้แคะขี้ตังเอามาปั้นเป็นก้อนๆ ให้แล้วก็ยกให้ ก็ดีใจว่าตัวเองได้บุญ จะเอาเก็บใส่กระเป๋าก็กลัวจะหายมันเล็ก ก็เก็บใส่ถุงก็ไม่ได้ ยัดเข้าปากอมเลย ก็เลยว่าบุญมันเป็นตัวเค็มๆ อย่างนี้เองเหรอ ก็เลยได้กินบุญ บุญมันเลยเค็ม อย่าไปกินบุญนะต้องทำความเข้าใจ บุญก็คือความสบายใจ ความอิ่มอกอิ่มใจ คนไม่รู้บุญก็กินบุญ บุญก็เลยเป็นรสเค็มๆ

ใครมาถามเจ้าคุณๆ อย่าไปแคะให้เขาอมนะ นิทานหลวงปู่หลวงตา นิทานเรื่องหลวงปู่หลวงตาก็เยอะ ผูกเป็นนิทานกัน หลวงตาขี้เหนียวก็มี หลวงตากินขี้ไก่ก็มี หลวงตากินปิ้งเนื้อแห้งก็มี ฟันไม่มี อมเอาเตะเข้าประตูเลย ความอยาก เห็นอะไรก็ไม่ได้ นึกถึงแต่หลานคนโน้นหลานคนนี้ เก็บไว้สะสมเอาไว้ ได้เต็มย่ามแล้วก็โกยแน่บเข้าในบ้าน อยู่ที่นี่คงไม่มีนะ ไปในครึ่งหนึ่งนี่พระเรา มีนิมนต์ด้วย หรือไปกฐิน

ความไม่เข้าใจ สมัยก่อนมีงานปริวาสที่โน่น มีงานปริวาสที่นี่ มีพระผู้เฒ่าผู้แก่ก็ได้ถุงปุ๋ยคนละอันสองอันไป เพราะว่างานปริวาสมีญาติโยมเยอะ เอาขนมนมเนยไปถวายพระเยอะ ก็บิณฑบาตก็ให้เอาออกไปรวมกันอยู่ที่จุดศูนย์รวม ท่านก็ไม่เอาออกนั้น เอาเก็บยัดเข้าในย่าม เวลากลับ กลดก็เอาไปกองไว้ที่กุฎิ มดขึ้นก็นอนไม่ได้เลย บางทีอาจารย์ไปตรวจก็ไปเจอขนมนมเนยกองตั้งเยอะตั้งแยะ เขาก็จับออกมาสวดอิติปิโสฯ อยู่หน้าหมู่คณะ บางทีก็ให้ไปล้างห้องส้วมห้องน้ำ ลงโทษ ยังจัดการสะสม เก็บสะสม เขาไม่ให้สะสม

เขาให้กะประมาณในการขบฉัน แต่ความอยากมันเอาออกยาก เพราะว่าไม่ได้เคยเอาออกมาก่อน เห็นอะไรมันก็อยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ความไม่อยาก ละกิเลส ละความเกิด จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน มันกลับมานิดเดียว แต่คนละไม่ได้ ก็มีแต่อยากกับอยาก เหตุการณ์สมมติก็บังคับให้เกิดความอยาก กายก็หิว ท้องก็หิว บางทีถึงกับขโมยเลยก็มี เพราะว่าเหตุการณ์มันบังคับ เพราะว่ากายมันหิว บางคนก็เป็นขโมยด้วยความจำเป็น บางคนก็เป็นขโมยโดยสันดาน

หลายสิ่งหลายอย่างกว่าจะลงตัวได้ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าคนเคยละ สมัยเป็นเด็กๆ ร่างกายมันก็ต้องการอาหารเพื่อความเจริญเติบโต อะไรก็อร่อย พอเติบโตขึ้นมา อายุแก่ขึ้นมา ถ้าเราละความอยาก ดับความอยาก มันก็ไม่อยาก มันก็เหือดแห้งไปๆ ผู้เฒ่าผู้แก่บางคนอายุมากๆ ทานข้าวกับอะไรก็แล้ว ทานข้าวกับไอติมก็แล้ว กับมะขามแล้วก็แล้ว กับแตงโมแล้วก็แล้ว เพราะไม่มีความอยาก เพราะทานเพื่อไม่ให้กายมันหิวนิดๆ หน่อยๆ เพราะว่าเคยละความอยากมาก่อน ถ้าคนไม่เคยละความอยาก ดับความอยาก อายุมากขึ้น โตมากขึ้น อายุมากขึ้นเท่าไหร่ความอยากยิ่งเป็นทวีคูณ กายไม่ต้องการอาหาร ใจมันยังอยากอยู่อย่างนั้น อยากอันโน่น อยากอันนี่ สารพัดอย่าง มันกลับกัน

ถ้าละความอยากบ่อยๆ อายุมากขึ้นก็เหือดแห้งไปๆ มันไม่เหือดแห้งช่วงอายุน้อย ก็ไปเหือดแห้งช่วงอายุมาก ถ้าคนไม่เคยละมันก็ไปสะสม อายุมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสะสม จะหมดลมหายใจก็อยากอันโน่น อยากอันนี้ ไปยึดไปติดสารพัดอย่าง พยายามละนะผู้เฒ่า ละความอยากออกหมด ละได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็พยายามละ พยายามอด พยายามฝืน ฝืนมัน เราฝืนบ่อยๆ มันก็หายเองแหละความอยาก ลึกลงไปก็อยากคิดนั่นแหละ อยากคิด อยากเกิดอยากมี อยากเป็น ถ้าเราดับความอยากได้ เราไม่อยากได้ความสงบ เราก็ได้ ดับความเกิด ละกิเลสได้ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ก็ได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน มันกลับกันเหมือนกับเส้นผมบังภูเขา

หลวงปู่หลวงตาก็ดูดีๆ บางทีที่นอนนี่ เหลือตั้งแต่ที่คลานเข้าไปนอน ของไม่รู้อะไรเก็บเต็มไปหมด แทนที่จะบริจาค แทนที่จะเอาออก ก็เก็บไว้ให้ลูกให้หลานนั่นแหละ บอกว่าอย่างนั้น บอกว่าไว้ให้ลูกให้หลานนั่นแหละ ยิ่งดูใจแล้ว ยิ่งเอาออกเท่าไหร่ ยิ่งมีความสุข อยากเป็นผู้ให้อย่างเดียว มีแต่ให้ มีแต่คลาย มีแต่เอาออก มีความสุข สุขภายในก็ได้ สุขข้างนอกก็ได้ สมมติต่างๆ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี

ระวังดีๆ นะชี ช่วยกันไปรดต้นไม้ให้หน่อย รดต้นไม้ทุกวันๆ ทางสวนมะลิวัลย์ดูแลรักษาต้นไม้ อีกสักหน่อยก็จะเป็นสวน สวนดอกไม้หอม เป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัย ต่อไปข้างหน้าก็เอากลดเอาเต็นท์ไปกาง สนุกนั่ง สนุกบำเพ็ญ ไม่เกิน 2 ปีข้างหน้าจะสวยหมดในป่า จะทำให้สวยหมด ใครเข้ามาแล้วก็มีความสุข เพียงแค่ก้าวเข้ามาแล้วก็จิตใจก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี บุญก็เกิดขึ้น ถึงละกิเลสไม่ได้ก็ให้ใจมีความสุขขณะที่เข้ามาในป่า บุญก็เกิดขึ้น ก็ช่วยประคับประคองกันทุกสิ่งทุกอย่าง มาแล้วก็ช่วยกัน

อย่างน้อยๆ ก็ช่วยอย่าไปทิ้งขยะให้ผิดที่ผิดทาง เก็บขยะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวยความงาม ขยะภายใน ขยะภายนอก ขยะภายนอกวัตถุต่างๆ ขยะภายในกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความหลงต่างๆ เราก็ค่อยชะค่อยล้างออกไป ด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล เราต้องชะล้างเรา เราต้องแก้ไขเรา อย่าให้คนอื่นเข้ามาแก้ไข คนอื่นแม้แต่พระพุทธพระองค์ท่านก็เพียงแค่เปิดทาง ชี้แนะแนวทาง พวกเราจะเดินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราอีก

อย่าไปโทษคนโน้น โทษคนนี้ จงโทษตัวเราเอง ไปอยู่ที่โน้นฉันไม่รู้เรื่อง ไปอยู่ที่นี้ฉันไม่เข้าใจ ที่ไหนได้ เราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เราไม่มีความขยันหมั่นเพียร แต่ละวันเราดูว่าใจของเรามันเกิดกิเลส หรือว่าเกิดอะไรบ้างตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ลักษณะสติรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไรบ้าง ต่อเนื่องหรือไม่ แต่ละวันตื่นขึ้นมา ถ้าไม่ได้คุยกันแล้วอึดอัด คุยกันเหมือนนกกระจอก พอได้คุยกันเราก็เหมือนกับได้กินยาระบายท้อง รู้สึกว่ามันโล่งโปร่ง คุยก็คุยเรื่องของคนอื่นนะ ไม่ใช่คุยเรื่องของตัวเอง ลูกเขยของฉันเป็นอย่างนั้น ลูกสะใภ้ของฉันเป็นอย่างนี้ สารพัดเรื่อง โน่นไปโทษลูกเขย ลูกสะใภ้โน่น ไม่เคยโทษตัวเองสักที หลวงตาองค์นั้นเป็นอย่างนั้น หลวงตาองค์นี้เป็นอย่างนี้ หลวงพ่อองค์นั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ สารพัดอย่าง ท่านไม่เห็นรู้เรื่องด้วยเลย ตัวเองเป็นทุกข์ได้เลย บางทีก็ตีกันเลยก็มี ธรรมะไม่ลงกัน

ตั้งใจรับพร

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ถึงเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็พยายามทำเสียขณะที่นั่งฟังอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ เวลาหายใจเข้าหายใจออก หยุดความนึกคิดปรุงเต็มที่เกิดจากตัวใจเอาไว้ก่อน

ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสนใจกัน ทั้งที่ใจก็อยากจะได้บุญ ใจก็อยากจะรู้ธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่การเกิดของเขามีอยู่ ความหลงของเขาก็มีอยู่ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องจนรู้เท่าทัน จนกว่าใจเราจะคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ เราถึงจะรู้ว่าเราหลง

ตราบใดที่เราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ว่าเรามีสติปัญญาอยู่ สติปัญญาอันนี้เป็นสติปัญญาของโลกียะ มีกันหมดทุกคน จะมีมากมีน้อยก็มีเต็มอัตราศึก ความหลงปิดกั้นเอาไว้หมด เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัวเพื่อที่จะเข้าไปคลายตรงนี้และ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ให้ได้ทุกอิริยาบถ มีความขยันหมั่นเพียร หมั่นฝักใฝ่ หมั่นสนใจ หมั่นสำรวจ หมั่นทำความเข้าใจ รู้ไม่เท่าทันการเกิดของใจ ก็รู้จักควบคุมเอาไว้

ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็จะรู้การก่อตัวของใจ การก่อตัวของอาการของใจ ว่าเขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร เราก็จะได้รู้ด้วย เห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย เราก็จะได้เข้าใจในเรื่องคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจในคำว่า ‘อัตตา’ เข้าใจคำว่า ‘อนัตตา’ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เข้าใจ รู้ด้วย เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รู้ลักษณะของความว่าง รู้จักการควบคุม รู้จักการละ รู้จักการดับ

แต่กำลังสติไม่ต่อเนื่อง อาจจะควบคุมใจได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ทั้งที่ใจก็อยากจะทำบุญ อยากจะได้บุญ เราก็ต้องพยายามให้ได้ครบทั้งสติ ปัญญา สมาธิ ใจของเราก็จะคลายออกจากความหลง รับรู้ รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง วันนี้เราไม่เข้าใจ เราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ เพิ่มความเพียรจนถึงที่สิ้นสุด เขาถึงจะคลายให้ ไม่ใช่ว่าพูดเล่นๆ ทำด้วย รู้ด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็พยายามละออกให้มันหมดจด รู้จักพิจารณา เราขาดตกบกพร่องอะไร ทั้งทางสมมติเรายังติดขัดอะไร ก็จะส่งผลถึงวิมุตติ ทางด้านจิตใจ พยายามกันนะ เรามาอาศัยโลกใบนี้อยู่ กายของเรานี่ก็ก้อนโลก กายของเราก็ยังอาศัยกับโลกธรรมอีก ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

เราต้องพยายามทำให้พร้อมมูล ถึงมีไม่มาก เราก็อย่าให้ใจของเราไปเกาะไปเกี่ยว รู้จักหา รู้จักใช้ ทำให้เป็น อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยม มีรูปมีนามเหมือนกันหมด แนวคำสอนของพระพุทธองค์ตรง ถ้าคนเราเข้าใจ ตรงความจริง สัจจะมีอยู่พร้อมมูล ไม่ต้องไปไขว้เขวอะไร รู้การจะสร้างสติ รู้ไม่เท่าทัน เราก็พยายามดับเอาไว้ ควบคุมเอาไว้

เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำไม่ค่อยจะค่อยต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความคิดเก่า ปัญญาเก่าเข้าไปกันหมด มีเหตุมีผล เขาก็มีเหตุมีผล สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี้ สร้างขึ้นมาให้ได้เสียก่อน เข้าไปค้นคว้าหาเหตุหาผลจนกลายเป็นสติมหาสติ มหาปัญญา จนเอาไปประหัตรประหารกิเลสได้หมดจด จนดับความเกิดของใจได้หมดจด จนใจรู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ เขาถึงจะยอมวางยอมเชื่อ

ถ้ากำลังสติมีเหตุมีผลไม่เพียงพอ ยากที่จะเข้าใจ ฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศลอันไหนมันจะมาก ตัวจิตนี่บางทีก็ปิดกั้นตัวเอง ตัวขันธ์ห้าก็มาหลอกจิตอีก จิตก็เป็นทาสของกิเลสอีก เราต้องมาสร้างสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนจิต จนจิตคลายออกจากความคิดได้ ตามดูให้รู้ทุกเรื่องจนเขายอมรับความเป็นจริงได้

แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ อาจจะสนใจกันเป็นบางช่วงบางครั้งบางครั้งคราว อยู่ในกองบุญกองกุศล ทำบุญให้ทาน ไม่ทำความเข้าใจให้มันละเอียด ก็เลยยากที่จะเข้าใจในส่วนที่ลึกๆ ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่เหลือวิสัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เอาการเอางานเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ทำงานไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย ดูใจไปด้วย มีความสุข สุขทั้งภายนอก สุขทั้งภายใน ได้ทั้งประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์อยู่ในโลกปัจจุบัน

เราต้องพยายามทำปัจจุบันให้แจ้ง ความหมายของคำว่า ‘ปัจจุบัน’ คือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต กว่าจะถึงทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะลม ขณะจิตได้ เราต้องคลายความหลง แยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจจนกำลังสติเอาไม่อยู่ จนค้นคว้าหมดทุกอย่างจนหายสงสัยได้นั่นแหละ เขาถึงจะเป็นมหาสติ มหาปัญญาได้ ก็ต้องพยายามกัน

วันนี้ ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง