หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 064

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 064
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 064
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ถึงเราจะละไม่ได้ เราก็พยายามหยุดเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ลองกระตุ้นความรู้สึกให้ชัดเจน ฟังไปด้วยสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น

ก็จะรู้ลักษณะของ 2 ส่วน ส่วนประกอบปกติอยู่กลางใจ ส่วนความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา อันนั้นเป็นส่วนสมอง ส่วนบน เราพยายามหัดสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเรามีความรู้ตัวทั่วพร้อม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ปัจจุบันธรรม ใจปกติก็รู้ว่าปกติ ใจจะเกิด จะก่อตัวเรา ก็จะรู้ลักษณะอาการเขาก่อตัว เราก็รู้จักระงับยับยั้ง รู้จักดับ ให้นิ่ง​ ให้สงบ ความคิดที่จะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ซึ่งเป็นความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิด ในภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เขาก่อตัวขึ้นมา ความคิดที่มันผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ตั้งใจคิด ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราจะเห็นเขาเริ่มก่อตัว ขณะเห็นตรงนั้นปุ๊บ​ ตัวใจของเราก็จะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดตรงนั้น

ช่วงที่เขายังไม่เคลื่อนเข้าไปรวมนั้น มันจะเป็นสองส่วนอยู่ ถ้าเขาเคลื่อนเข้าไปร่วมปุ๊บจะเป็นส่วนเดียว เป็นตัวเดียวกันทันที แล้วก็ปรุงแต่งไปด้วยกัน นั่นแหละความหลงอย่างลุ่มลึกมันอยู่ตรงนี้ เพราะว่าเราขาดการสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ถ้าเราไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่อง ถ้าเราไปคร่ำเคร่ง ไปเพ่ง ไปคอยระวัง มันก็ไม่เกิดมาให้เห็นหรอก มันก็เล่นงาน มันก็เกิดตอนที่เผลอ เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวไปเรื่อยๆ รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักระงับยับยั้ง​ รู้จักดับเอาไว้

เริ่มใหม่ เอาใหม่ ตัวไหนเกิด ใจเกิด เราก็รู้จักดับ แล้วก็หนุนกำลังสติเข้าไปทำหน้าที่แทน ตากระทบรูป ใจนิ่งหรือเปล่า หูกระทบเสียง ใจเกิดหรือไม่ ใจเกิดความยินดียินร้าย ใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักระงับยับยั้ง ใจจะเกิดความนึกคิดปรุงแต่งส่งออกไป เราก็รู้จักดับ ดับให้ได้ หยุดให้ได้ แล้วก็ตัวสติ ตัวปัญญา​ ตัวสติที่เราเข้าไปดับนี่แหละ เอาไปคิดแทน ไปทำหน้าที่แทน

ถ้าเป็นกุศลเราก็เจริญ แต่ไม่ให้ยึด ถ้าเป็นอกุศล เราก็พยายามละ ถ้าฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าแยกแยะตรงนี้ ทำความเข้าใจไม่ได้ตรงนี้ ใจก็อยู่ในสภาพอยู่ในแค่บุญ ฝักใฝ่ในบุญ ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทาน เป็นสะพาน เป็นเข้าพกเข้าห่อให้สืบต่อไปในวันข้างหน้า ยังดับความเกิดไม่ได้ คลายความหลงยังไม่ได้ ดับความเกิดไม่ได้ เราต้องพยายามดับความเกิดให้จบ ให้จบภายในภพนี้แหละ ไม่ต้องไปเอาภพไหนหรอก ภพนี้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์​ หลงมาถึงได้มาเกิด มาจำแนกแจกแจงทางด้านจิต ทางด้านวิญญาณอีกให้ชัดเจนอีก

มองเห็นหนทางเดิน สนุกสร้างบุญ อยู่กับบุญ ดูแลรักษากาย ทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ก่อนที่จะคิด เราก็ดับความคิด ก่อนที่จะออกมาทางวาจา เราก็รู้จักระงับยับยั้ง เดินด้วยสติ เดินได้ด้วยปัญญา อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา สอนเรื่องหลักของอริยสัจ สั่งสอนเรื่องทุกข์ คำว่า ‘ทุกข์’ คือความไม่เที่ยง​ ความไม่เที่ยงทางด้านรูปธรรม ลึกลงไปก็ความไม่เที่ยงทางด้านนามธรรม มันจำแนกแจกแจงกันอยู่ ถ้าเรามารู้จักการเจริญสติหาเหตุหาผล หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา พยายามนะ พยายามให้ได้ทุกอิริยาบถ ฝึกหัดปฏิบัติธรรม

ทำบุญก็ต้องได้บุญ ปฏิบัติธรรมก็ต้องรู้ธรรม ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมไม่รู้ธรรม สติการเจริญสติก็ไม่รู้จัก การควบคุมจิตก็ไม่รู้จัก มีแต่ความอยากจะได้ธรรม อยากจะได้บุญ มันก็หลงอยู่​ มันก็บุญหลงอยู่ แต่มันก็ดีอยู่ไม่ใช่ว่าไม่ดี มันก็ดีอยู่ในระดับของสมมติ ของโลกิยะ เราต้องพยายามให้สูงขึ้นไปอีก ทำความเข้าใจให้สูง เพียรให้มากๆ เข้าไปอีก แล้วก็จะได้ทั้งสองอย่าง ทั้งบุญภายในก็เต็มเปี่ยม บุญภายนอกก็เต็มเปี่ยม สติปัญญาก็เต็มเปี่ยม อย่าไปหลงงมงาย เราจงอยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง​ ทำหน้าที่ให้ดี

ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครจะแก้ไขตัวเราให้เราได้เลย ยิ่งเรามาอยู่ร่วมกันมากๆ อย่างนี้แหละ ยิ่งพระชีโยมมาอยู่ด้วยกัน ความสมัครสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไปในทางเส้นเดียวกัน มีเหตุมีผล มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ก็จะมีความสุข กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การสร้างประโยชน์เป็นอย่างไร ประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนรวม การออกมาฝึกหัดปฏิบัติ ก็เพื่อจะคลายความหลง ละกิเลสออกให้หมดจด ก็พยายามกัน มีโอกาสได้มาสร้างบุญ สร้างทานกัน​ มาสร้างบารมีกัน

อันนี้ก็ใกล้จะออกพรรษาแล้ว อีกสักหน่อยก็เป็นงานกฐินวันที่ 23​ ตุลา เดือนหน้า 23 ตุลา​ เป็นกฐินสามัคคี ญาติโยมท่านใดอยากจะมาร่วมก็มาได้ มีผ้าไตรผืนเดียวก็มา มากันมาร่วมอนุโมทนาสาธุกัน​ หลายคนหลายฝ่ายก็จะเป็นบุญอันใหญ่ จากกองบุญอันน้อยก็จะเป็นบุญกองบุญอันใหญ่ แต่การเจริญสติ เราต้องรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ ทำกับข้าวกับปลา ทานข้าวปลาอาหาร เราต้องรู้ฐานของใจของเรา ไม่ให้ใจของเราเกิดความอยาก

แต่เวลานี้ความรู้ตัว รู้ว่าสติของเราไม่ค่อยจะได้สร้างกัน เพียงแค่ไม่ได้สร้าง​ มันจะเอาไปใช้ได้อย่างไร เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องก็ยังลำบากอยู่ ทั้งที่จิตใจก็ยังเกิด ยังเป็นบุญอยู่​ เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ก็เลยอึดอัด ใจโดนบังคับ ใหม่ๆ ก็ทั้งอึดอัดสารพัดอย่าง ถ้าใจคลายแล้วเขาถึงจะโล่ง ถึงจะโปร่ง การตามดู ทำความเข้าใจ ก็เป็นเรื่องสติปัญญา​ เข้มข้นของสติปัญญา ละกิเลสให้มันหมดจดอีก

ก็ต้องพยายาม ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน​ ค่อยไปสร้างสานต่อนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง