หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 153
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 153
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แล้วก็สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ถึงเราหยุดไม่ได้ละไม่ได้เด็ดขาดก็ขอให้เราหยุดขณะที่กำลังนั่งอยู่นี่แหละ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราเวลาหายใจเข้าเวลาหายใจออกรู้ให้ต่อเนื่อง อันนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้รู้กาย รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่รู้จากที่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ อย่าไปเกียจคร้าน
ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ส่วนใจนั้นบางทีก็ปกติส่วนมากก็จะเกิด เวลาเขาเกิดเขาปรุงเขาแต่งเขาเริ่มเกิด ความรู้ตัวที่เราฝึกอยู่นี้แหละจะรู้ทัน รู้การเกิดของใจ รู้การก่อตัวของใจ แล้วก็รู้จักควบคุม รู้จักควบคุมให้อยู่ในความสงบ แล้วก็จะมีความคิดอีกจุดหนึ่งซึ่งที่พวกเรารู้กันในนามว่าขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเขาผุดขึ้นมาเขาก่อตัวขึ้นมา ตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมอีก
ถ้าเรามีความรู้ตัวถ้าเราฝึกความรู้ตัวไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็น เห็นการเคลื่อนตัวของใจเข้าไปร่วมกับอาการของใจ ขณะที่เห็นขณะที่รู้ พอรู้ตัวปุ๊บรู้การก่อตัวของใจกับความคิดจะเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ตัวใจมันจะดีดออกจากอาการของความคิดที่ผุดขึ้นมา ใจก็จะพลิกเขาเรียกว่าหงายหงายของที่คว่ำ ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ แล้วก็ภาษาสมมติเขาเรียกว่ารู้ ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจที่เคยหนักก็จะเป็นใจที่เบาโล่ง กายที่เคยหนักก็จะเป็นกายที่เบา
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามดูตามรู้ตามเห็นการเกิดการดับของความคิดนั้นๆ จะเป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขาร ส่วนใจก็ว่างรับรู้อยู่ ตามดูจนจบทุกเรื่องเขาเรียกว่าเห็นอนิจจังเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้าเกิดๆ ดับๆ จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนถ้าแยกตรงนี้ไม่ได้คลายตรงนี้ไม่ได้ ก็ได้แค่เพียงควบคุมใจอยู่ในความสงบควบคุมใจอยู่ในความปกติ ใจก็ยังคว่ำอยู่ ขนาดแยกได้ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
ส่วนมากก็รู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเกิดจากการเล่าเรียน แต่การเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็นเข้าไปตามรู้เอาไปใช้ทำความเข้าใจกับโลก ทำความเข้าใจกับสมมติทำความเข้าใจกับโลกธรรม ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร หัดวิเคราะห์หัดสังเกตลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างนี้ การสร้างขึ้นมาเป็นอย่างนี้ การสร้างที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้
กายวิเวก ใจวิเวก ความหมายของภาษาธรรมความหมายของภาษาโลก เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด ส่วนมากแม้ตั้งแต่การเจริญสติมันก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญอยากจะได้บุญอยากจะทำบุญใจมีศรัทธา แต่การเกิดของใจนั้นเขาปิดกั้นตัวเขาไว้หมด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิดไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ไม่เห็น
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องนี้ก็ ก็พยายามทำเถอะพยายามทำ อย่าไปบังคับทำไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าฉันจะปฏิบัติธรรมที่โน่นที่วัดโน้นบ้างที่วัดนี้บ้าง อันนั้นเป็นแค่เพียงไปหาประสบการณ์ ถ้าเราเข้าใจเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ตาลืมหูฟังเสียง ตาเห็นรูปหูฟังเสียงลิ้นลิ้มรส เรามีสติคอยดูใจของเรา ใจของเราเกิดเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ มีความคิดผุดขึ้นมาเราก็หัดสังเกต เราแยกแยะอยู่ในกายของเรานี้แหละ
กายของเรานี้แหละเป็นสนามรบอย่างดี กายของเรานี้แหละเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมอย่างดี เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผลจนรู้เห็นเหตุเห็นผล ไม่จำเป็นต้องว่าไปที่โน่นไปที่นี่ อันนั้นเขาเรียกว่าไปด้วยความหลงแต่หลงในบุญหลง อยากจะได้ธรรมอยากจะเห็นธรรม แต่มันปิดกั้นไปหมดนั่นแหละ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม
เราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบมันก็ได้เอง เราละความเกิดได้ละกิเลสได้หมด เราไม่อยากจะได้ความสะอาดมันก็ได้ความสะอาดได้เองนั่นแหละ แต่เราจะไปบังคับกันไม่ได้สิ่งพวกนี้ เพราะว่าแต่ละบุคคลสร้างบุญมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาน้อยบางคนก็สร้างมาก วิบากกรรมมันสร้างมาไม่เหมือนกัน แต่ขอให้เราน้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญเถอะ อยู่ในกองบุญอย่าไปทิ้งบุญอย่าไปทิ้งวัด
ให้มีความละอาย ให้มีความละอายแล้วก็ละอกุศล เจริญกุศลให้มากๆ ตั้งแต่จัดระบบระเบียบตั้งแต่ความคิด กายวาจาแล้วก็ใจ อะไรคือคำว่าศีลสมาธิปัญญา เป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราแยกแยะได้เห็นได้ตามทำความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร เข้าใจในหลักของอริยสัจเดินตามทางในอริยมรรค อริยมรรคคือทางคือทาง ทางของผู้ห่างไกลจากกิเลส
เราก็ต้องพยายามหมั่นพร่ำสอนใจเราแก้ไขใจเรา อยู่คนเดียวก็มีความสุข งานภายในทำให้จบ จบจิตไม่ให้จิตของเราเกิด ไม่อยากจะเกิดก็ต้องคลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิดให้มันหมดจด มีความสุขสนุกในการดูในการรู้ในการละกิเลสจากตัวเรา หมดความสงสัยหมดความลังเลในคำสอนของพระพุทธองค์
อยู่คนเดียวก็หมั่นดูใจแก้ไขใจพิจารณาเรา อะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไข เพียงแค่ระดับของสมมติคนทั่วไปก็ยากที่จะทำให้บริบูรณ์ ถ้าไม่รู้จักขยันหมั่นเพียรพิจารณาแล้วก็การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี แต่ละวันๆ ผ่านไป แต่ละวันยังไม่พอแต่ละนาทีอีก รู้ลึกลงไปอีกทุกลมหายใจเข้าออกอีกให้เป็นอัตโนมัติ
ทำอย่างไรถึงจะรู้ทุกลมหายใจเข้าออก นี่แหละเรามาสร้างความรู้ตัวแล้วก็แยกแยะได้ ตามดูได้จนกำลังสติเป็นมหาสติมหาปัญญา จนใจของเราอยู่ในองค์สมาธิอยู่ในองค์ฌานคือความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิหารธรรม’ เครื่องอยู่ของใจ ก็ต้องพยายาม
ถ้าเราทำได้ชำนาญแล้ว การเกิดเป็นทุกข์ใจก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา เขารู้ว่ามันไม่เที่ยง ก็จะอยู่ด้วยความบริสุทธิ์อยู่ด้วยความว่าง สติสมาธิปัญญาเขาจะรักษาเรานั่นแหละคือธรรมรักษา ช่วงใหม่ๆ ใจของเรายังเกิดเราก็ต้องดับความเกิด ใจของเรายังหลงยังต้องคลายความหลง ต่อไปข้างหน้าเขารู้ความจริงแล้วเขาจะรักษาเราเอง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงแค่นี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราเวลาหายใจเข้าเวลาหายใจออกรู้ให้ต่อเนื่อง อันนี้เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้รู้กาย รู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อมตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่รู้จากที่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มใหม่ อย่าไปเกียจคร้าน
ขณะที่เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ส่วนใจนั้นบางทีก็ปกติส่วนมากก็จะเกิด เวลาเขาเกิดเขาปรุงเขาแต่งเขาเริ่มเกิด ความรู้ตัวที่เราฝึกอยู่นี้แหละจะรู้ทัน รู้การเกิดของใจ รู้การก่อตัวของใจ แล้วก็รู้จักควบคุม รู้จักควบคุมให้อยู่ในความสงบ แล้วก็จะมีความคิดอีกจุดหนึ่งซึ่งที่พวกเรารู้กันในนามว่าขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเขาผุดขึ้นมาเขาก่อตัวขึ้นมา ตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมอีก
ถ้าเรามีความรู้ตัวถ้าเราฝึกความรู้ตัวไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็น เห็นการเคลื่อนตัวของใจเข้าไปร่วมกับอาการของใจ ขณะที่เห็นขณะที่รู้ พอรู้ตัวปุ๊บรู้การก่อตัวของใจกับความคิดจะเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ตัวใจมันจะดีดออกจากอาการของความคิดที่ผุดขึ้นมา ใจก็จะพลิกเขาเรียกว่าหงายหงายของที่คว่ำ ภาษาธรรมท่านเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ แล้วก็ภาษาสมมติเขาเรียกว่ารู้ ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจที่เคยหนักก็จะเป็นใจที่เบาโล่ง กายที่เคยหนักก็จะเป็นกายที่เบา
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ตามดูตามรู้ตามเห็นการเกิดการดับของความคิดนั้นๆ จะเป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขาร ส่วนใจก็ว่างรับรู้อยู่ ตามดูจนจบทุกเรื่องเขาเรียกว่าเห็นอนิจจังเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้าเกิดๆ ดับๆ จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่ไหนถ้าแยกตรงนี้ไม่ได้คลายตรงนี้ไม่ได้ ก็ได้แค่เพียงควบคุมใจอยู่ในความสงบควบคุมใจอยู่ในความปกติ ใจก็ยังคว่ำอยู่ ขนาดแยกได้ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม
ส่วนมากก็รู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเกิดจากการเล่าเรียน แต่การเจริญสติเข้าไปรู้เข้าไปเห็นเข้าไปตามรู้เอาไปใช้ทำความเข้าใจกับโลก ทำความเข้าใจกับสมมติทำความเข้าใจกับโลกธรรม ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร หัดวิเคราะห์หัดสังเกตลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างนี้ การสร้างขึ้นมาเป็นอย่างนี้ การสร้างที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้
กายวิเวก ใจวิเวก ความหมายของภาษาธรรมความหมายของภาษาโลก เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด ส่วนมากแม้ตั้งแต่การเจริญสติมันก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ทั้งที่ใจก็เป็นบุญอยากจะได้บุญอยากจะทำบุญใจมีศรัทธา แต่การเกิดของใจนั้นเขาปิดกั้นตัวเขาไว้หมด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิดไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ไม่เห็น
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องนี้ก็ ก็พยายามทำเถอะพยายามทำ อย่าไปบังคับทำไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ไม่ใช่ว่าฉันจะปฏิบัติธรรมที่โน่นที่วัดโน้นบ้างที่วัดนี้บ้าง อันนั้นเป็นแค่เพียงไปหาประสบการณ์ ถ้าเราเข้าใจเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ตาลืมหูฟังเสียง ตาเห็นรูปหูฟังเสียงลิ้นลิ้มรส เรามีสติคอยดูใจของเรา ใจของเราเกิดเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ มีความคิดผุดขึ้นมาเราก็หัดสังเกต เราแยกแยะอยู่ในกายของเรานี้แหละ
กายของเรานี้แหละเป็นสนามรบอย่างดี กายของเรานี้แหละเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมอย่างดี เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปหาเหตุหาผลจนรู้เห็นเหตุเห็นผล ไม่จำเป็นต้องว่าไปที่โน่นไปที่นี่ อันนั้นเขาเรียกว่าไปด้วยความหลงแต่หลงในบุญหลง อยากจะได้ธรรมอยากจะเห็นธรรม แต่มันปิดกั้นไปหมดนั่นแหละ ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม
เราดับความเกิดได้ คลายความหลงได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบมันก็ได้เอง เราละความเกิดได้ละกิเลสได้หมด เราไม่อยากจะได้ความสะอาดมันก็ได้ความสะอาดได้เองนั่นแหละ แต่เราจะไปบังคับกันไม่ได้สิ่งพวกนี้ เพราะว่าแต่ละบุคคลสร้างบุญมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาน้อยบางคนก็สร้างมาก วิบากกรรมมันสร้างมาไม่เหมือนกัน แต่ขอให้เราน้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญเถอะ อยู่ในกองบุญอย่าไปทิ้งบุญอย่าไปทิ้งวัด
ให้มีความละอาย ให้มีความละอายแล้วก็ละอกุศล เจริญกุศลให้มากๆ ตั้งแต่จัดระบบระเบียบตั้งแต่ความคิด กายวาจาแล้วก็ใจ อะไรคือคำว่าศีลสมาธิปัญญา เป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราแยกแยะได้เห็นได้ตามทำความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ เข้าใจคำว่า ‘อัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร เข้าใจในหลักของอริยสัจเดินตามทางในอริยมรรค อริยมรรคคือทางคือทาง ทางของผู้ห่างไกลจากกิเลส
เราก็ต้องพยายามหมั่นพร่ำสอนใจเราแก้ไขใจเรา อยู่คนเดียวก็มีความสุข งานภายในทำให้จบ จบจิตไม่ให้จิตของเราเกิด ไม่อยากจะเกิดก็ต้องคลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิดให้มันหมดจด มีความสุขสนุกในการดูในการรู้ในการละกิเลสจากตัวเรา หมดความสงสัยหมดความลังเลในคำสอนของพระพุทธองค์
อยู่คนเดียวก็หมั่นดูใจแก้ไขใจพิจารณาเรา อะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไข เพียงแค่ระดับของสมมติคนทั่วไปก็ยากที่จะทำให้บริบูรณ์ ถ้าไม่รู้จักขยันหมั่นเพียรพิจารณาแล้วก็การกระทำของเราให้ถึงพร้อม ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี แต่ละวันๆ ผ่านไป แต่ละวันยังไม่พอแต่ละนาทีอีก รู้ลึกลงไปอีกทุกลมหายใจเข้าออกอีกให้เป็นอัตโนมัติ
ทำอย่างไรถึงจะรู้ทุกลมหายใจเข้าออก นี่แหละเรามาสร้างความรู้ตัวแล้วก็แยกแยะได้ ตามดูได้จนกำลังสติเป็นมหาสติมหาปัญญา จนใจของเราอยู่ในองค์สมาธิอยู่ในองค์ฌานคือความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิหารธรรม’ เครื่องอยู่ของใจ ก็ต้องพยายาม
ถ้าเราทำได้ชำนาญแล้ว การเกิดเป็นทุกข์ใจก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา เขารู้ว่ามันไม่เที่ยง ก็จะอยู่ด้วยความบริสุทธิ์อยู่ด้วยความว่าง สติสมาธิปัญญาเขาจะรักษาเรานั่นแหละคือธรรมรักษา ช่วงใหม่ๆ ใจของเรายังเกิดเราก็ต้องดับความเกิด ใจของเรายังหลงยังต้องคลายความหลง ต่อไปข้างหน้าเขารู้ความจริงแล้วเขาจะรักษาเราเอง
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงแค่นี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ