หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 146

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 146
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 146
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน วันนี้ก็เป็นวันพ่อของชาติหรือวันที่ 5 ธันวา ญาติโยมทั่วประเทศก็ได้พิธีกันรำลึกนึกถึงองค์พระมหากษัตริย์ไทย มีโอกาสพวกเราก็ได้มาร่วมกันมาช่วยกัน วันที่ 5 ธันวาของทุกปี ทำกิจกรรมต่างๆ เย็นนี้ใครมีเวลาว่างอยากจะมาเดินมานั่งมาบำเพ็ญใจก็มานะ

ดูดีๆ นะพระเรา วันนี้วันที่วันที่ 5 ธันวาคมเทวดามาบุญเยอะ อาหารก็เยอะใจมันจะเกิด ความอยากก็เยอะอันโน้นก็ดีอันนี้ก็อร่อย เอาอันนั้นก็อันนั้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย เพราะว่าใจมันสั่งกิเลสมันสั่ง ยิ่งเยอะเท่าไหร่เราก็พยายามดูใจของเราอย่าให้เกิดความอยาก ลึกลงไปก็อย่าให้เกิดการปรุงแต่ง จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องสติปัญญาไปหน้าที่แทน ทำหน้าที่ของเราให้ดี

ญาติโยมท่านใดที่ยังไม่มีปฏิทินใช้ ก็ไปวางไว้ตรงกลางนั่นนะเหลืออยู่กล่องหนึ่ง ทางสามเคแบตเตอรี่ท่านได้จัดมาไว้ให้ทุกปีตัวใหญ่ให้อ่านง่าย เอาเก็บไปไว้ใช้ใครยังไม่ได้ก็เอานะ เอาไปไว้ใช้เอาไปติดที่บ้านเอาไว้ดู ดูวันเดือนปี เหลืออยู่สามอยู่เหลืออยู่กล่องเดียว เหลืออยู่กล่องเดียวก็ยังไม่ได้ก็มาเอา เอาไปแจกเลยก็ได้เอาไปไว้ตรงกลางก็ได้เอาไปไว้ตรงกลาง มีโอกาสท่านก็ได้ทำทุกอย่างให้กับพี่น้องมาช่วยเหลือทางวัด มาช่วยเหลือทางวัดช่วยเหลือทั่วทุกที่ เราแจกกันคนละชิ้นละชิ้น เอาไปไว้ไว้ดูวันเดือนปี

คนไทยเราเกิดมามีบุญ เกิดมาในประเทศที่มีพุทธศาสนาเป็นที่ตั้งมั่นเป็นปึกแผ่นไม่เหมือนกับประเทศอื่น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของบุคคลเอง ขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคลว่าจะฝักใฝ่ว่าจะสนใจในการพิจารณาตัวเรา บางคนบางท่านก็เข้าใจบางคนบางท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าวิบากกรรมสร้างมาไม่เหมือนกัน บางทีวิบากกรรมมันคลายอยู่คนเดียวก็รู้แนวทางชีวิตของตัวเอง การดำเนินชีวิตบางคนก็สมมติบริบูรณ์ บางคนก็สมมติไม่บริบูรณ์ก็ต้องมาสร้างมาสานต่อขณะยังมีลมหายใจอยู่ อานิสงส์บุญเราเพียงพอหรือไม่ ความขยันหมั่นเพียรเราเพียงพอหรือไม่ เรารู้จักขัดเกลารู้จักละกิเลสออกจากใจของเราหรือเปล่า กิเลสหยาบกิเลสละเอียด การดับความเกิดการคลายความหลง การเจริญสติที่ต่อเนื่อง เราต้องมาวิเคราะห์เราพิจารณาเราให้ได้ทุกอิริยาบถ

ไม่ใช่ว่าอยากจะได้แต่ธรรม แต่การเจริญสติ การแยกรูปแยกนาม การตามดูการความเข้าใจ การหมั่นพร่ำสอนใจของเรามันไม่มีมันก็ยาก ก็ได้แค่บุญได้ทำบุญให้ทานสร้างเสบียงเดินทางของตัวเรา ถ้าเราเข้าใจเราก็ทำหมดทั้งการบุญทั้งการให้ทาน ทั้งการละกิเลส ทั้งการบริหารสมมติให้อยู่ดีมีความสุข

ปีนี้ปีใหม่เดือนธันวาเดือนเดียวนี้ 5 ธันวาแล้วก็มกรามกรา ฆราวาสญาติโยมก็มาถามกันเยอะว่าปีนี้จะทำพิธีเค้านท์ดาวน์หรือไม่ว่าอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเค้านท์ดาวน์มันเป็นยังไง ให้เค้านท์ดาวน์ข้ามปี แล้วสวดข้ามปี ท่านเจ้าคุณก็จะพาสวดข้ามปี ใครอยากจะมาฉลองข้ามปี ปีเก่าปีใหม่ก็มานะมาสวดข้ามปี ถ้าอยากจะให้ดีจริงๆ ก็สวดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนอกจากจะนอนหลับ หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ไม่ต้องข้ามปีเอาข้ามเอาข้ามนาทีต่อนาที ดูใจปกติใจสงบใจสะอาด ไม่ต้องรอเวลา

กิเลสมันเกิดเมื่อไรเราก็ปะหัตประหารมันทันที สติปัญญาให้แหลมคมเร็วไว อันนี้ปัญญาของเราเปรียบเสมือนกับมีดมีดที่ยังไม่ได้ลับ ลับบ้างไม่ลับบ้าง บางทีก็รู้ทันบางทีก็ไม่รู้ทัน เราต้องมั่นฝึกหมั่นฝนหมั่นลับให้คมเฉียบ กิเลสเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ก็ประหารเดี๋ยวนี้ อะไรเข้ามาก็แก้ไขปัจจุบันทันด่วน ไม่ใช่ไปสร้างไปสะสมกิเลสเข้าหมักหมมเหมือนกับดินพอกหางหมู

สิ่งพวกนี้ว่ากันไม่ได้เลยเพราะว่าคนเราก็สร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็เหตุการณ์สมมติสิ่งแวดล้อมก็ไม่เหมือนกัน บางคนกายก็ยังลำบากอยู่ บางคนจิตใจก็ยังลำบากอยู่ ก็ต้องค่อยแก้ไข เราพอช่วยกันได้เราก็ช่วยกัน แล้วก็ช่วยกันได้ทางด้านกายทางด้านรูปธรรม ทางด้านจิตใจก็เพียงแค่ชี้แนะแนวทาง พวกเราก็ต้องไปแก้ไขตัวเราอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราจงเจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราให้ได้ทุกอิริยาบถ

ความทะเยอทะยานอยากอย่าให้เกิดขึ้นมีที่ใจของเรา ให้เป็นความต้องการสติปัญญาไปบริหารสมมติไปบริหารโลกธรรมให้อยู่ดีมีความสุข เอาจากข้างในก็ล้นสู่ภายนอก จากภายนอกก็ล้นสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ เอาดูจากใจของเราเสียก่อน ใจของเราก็ล้นออกไปสู่สิ่งแวดล้อมสู่ครอบครัว ใจก็ครอบครัวก็พี่ก็น้องเรามีพรหมวิหารมีความเมตตาให้กันหรือเปล่า เราเกิดมาร่วมกันจะไปคอยเอาตั้งแต่ภายนอกไกลๆ โน้น ไม่เอาใกล้ตัวเองเสียก่อน ไม่เอาคนใกล้ตัวเราเสียก่อน แก้ไขตัวเราคนใกล้ตัวเราก็ล้นออกไป ไปบุญตั้งแต่กับพระวัดโน้นกับพระวัดนี้ เทวดาที่บ้านไม่เหลียวมองเลย

พ่อกับแม่อยู่ที่บ้านเป็นอย่างไร การได้อยู่ได้กินได้ลำบากหรือไม่เราก็ต้องดู เราก็ถึงลูกถึงหลาน ครอบครัวเป็นยังไง ตรงนั้นอิ่มบริบูรณ์แล้วภายนอกเราก็ไปได้ ไปไหนไปได้หมดโดยที่ไม่มีความทุกข์ความเครียด ก็ล้นออกจากดูจากภายในเสียก่อน ก็พื้นฐานมาจากพื้นฐานจากพ่อจากแม่ จากปู่จากย่าจากตาจากยายฝักใฝ่ในการบุญในการให้ทาน

การเจริญสติเราต้องสร้างเอาทำเอา การละกิเลสเราก็ต้องทำเอา กิเลสมันก็มีหลายขั้นตอนเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาเรื่องหาราวมาปกปิดตัวเอง แม้แต่ตัวใจหรือตัววิญญาณเขาก็หาเรื่องมาปิดตัวเอง เพราะว่าเขาต้องการเที่ยวต้องการเกิดมันสนุกสนานอยู่

ยกมา ใครจะมาถวายก็มา จะได้ให้พรพร้อมกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ทำใจของเราให้สงบทำใจของเราให้ปกติ สร้างความรู้สึกโดยการเจริญอานาปานสติ นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องเกร็งร่างกาย ฟังไปด้วยแล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ

การสูดลมหายใจเข้ายาวออกยาวอันนี้จะเป็นการกระตุ้นความรู้สึกได้ชัดเจน ใจของเราจะคิดปรุงแต่งไปที่อื่นใจก็จะสงบลงทันที ความรู้สึกสัมผัสของลมเวลาหายใจเข้าให้รู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เหมือนกับนายประตูทวารคอยนั่งดูอยู่ที่ปากประตู รถคันไหนจะวิ่งเข้าก็รู้ รถคันไหนจะวิ่งออกก็รู้ เราพยายามสร้างความรู้สึกตรวจตรงนี้แหละให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

ถ้าความรู้ตัวต่อเนื่อง ตัววิญญาณเขาจะปรุงแต่งเขาจะเกิดเราก็จะเห็น เราก็จะเห็นเป็น 2 ส่วน ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้เพียงแค่สติรู้ตัวเฉยๆ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้ารู้ลึกลงไปอีก เห็นตัววิญญาณเกิดหรือว่าตัวใจเกิด แล้วก็รู้จักควบคุมรู้จักดับ ดับละดับได้ใจของเราก็สงบ ถ้ามีความคิดที่แทรกเข้ามาอีกจุดหนึ่งที่เราไม่ตั้งใจคิดซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า เขาก่อตัวขึ้นก่อนวิญญาณหรือว่าตัวใจของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ถ้าเรามีความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละต่อเนื่องเราก็จะเห็นตรงนั้น ถ้าเราเห็นปุ๊บตัววิญญาณจะเคลื่อนเข้าไปรวมเขาจะดีดออกจากกันทันทีเขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

แต่ก่อนวิญญาณของเรายังคว่ำอยู่ พอเขาดีดออกเขาแยกออกเขาเรียกว่าหงาย เขาเรียกว่าหงาย เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ นี่แหละคือความรู้แจ้งเห็นจริงตรงนี้ ความหลงก็จะคลายตรงนี้ แต่เราเข้าไม่ถึงตรงนั้นก็เลยอาศัยตั้งแต่ความคิดปัญญาของโลกิยะไปคิดไปพิจารณาหาเหตุหาผล เขาก็เลยปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมดทุกอย่างเลย ถึงอาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ

เราพยายามหัดสังเกตไปเรื่อยๆ หัดสร้างความรู้ตัวไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ถ้าเราเห็นจุดนี้จุดแรกเท่านั้นแหละ กำลังสติของเราจะตามความเข้าใจตามดูตามรู้ตามเห็น รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของความว่าง อะไรควรละอะไรควรเจริญ มันก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ทีนี้การละกิเลส การตามความเข้าใจ เราจะมีความเพียรที่ยิ่งยวดหรือไม่นี่แหละ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์

พอแยกได้คลายได้เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตาอนัตตา’ ทีนี้ตามดูการเกิดการดับของขันธ์ห้า เราก็จะ เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของเรา เราละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้ เราก็ละทิฐิละมานะละอัตตาตัวตนจนไม่เหลือ จนเหลือตั้งแต่ความว่างความบริสุทธิ์นั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปนั่นมากมายเลย

ถ้าเราเข้าใจตรงนี้จะไปศึกษาไปเรียนมาก ไปศึกษาอะไรมากก็เป็นการเพิ่มเติมความรู้ทางปัญญาให้ใจรับรู้ ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องคลายตัวข้างในให้ได้เสียก่อนเข้าถึงฐานตัวของใจให้ได้เสียก่อน ส่วนมากก็มีตั้งแต่วิ่งตะครุบวิ่งตะครุบเมื่อเขาเกิดไปแล้ว หรือว่าทั้งที่รู้ๆ เขาเกิดก็ไม่เคยแยกไม่เคยละไม่เคยสังเกต เราก็เลยไม่ได้ทรัพย์อันใหญ่ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ทำกันไม่ค่อยจะต่อเนื่องเท่าไหร่และก็ไม่ค่อยจะสนใจกันด้วยอยากจะเอาแต่ทำบุญอย่างเดียว มันก็ได้แค่บุญมันก็ได้บุญ ไม่ใช่ว่าไม่ดีก็ดีอยู่ ก็ต้องพยายามกัน

สร้างความไม่ให้รับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะให้ต่อเนื่องกัน ทำใจให้ว่างสมองให้โล่ง ทำกายให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจเข้าหายใจออกให้ชัดเจนกัน

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อกันนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง