หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 140

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 140
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 140
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน วันนี้ก็พระเยอะ พระเยอะบวชเพิ่มเมื่อวานนี้ก็เมื่อวันที่ 24 ก็ประมาณสิบกว่ารูป เป็นบุญเป็นอานิสงส์ของทุกๆ คนที่ได้มาบวชมาฝึกมาศึกษาตัวเรา มาจัดระบบระเบียบเปลี่ยนสภาพจากฆราวาสมาเป็นพระ จากความเป็นพระเราก็รู้จักเพิ่มความระมัดระวังมาเพิ่มกำลังสติปัญญา สำรวมวิเคราะห์พิจารณาให้รู้ให้เห็นให้รู้เท่าทัน

ใหม่ๆ ก็อาจจะลำบากเพราะว่าเรายังไม่เคยชิน การนุ่งผ้าครองผ้าก็ยังไม่คล่องแคล่ว พระบวชใหม่ก็อิรุงตุงนังใจก็เลยเกิดความกังวล อันโน้นบ้างอันนี้บ้าง ก็พยายามปรับสภาพให้อยู่ในความปกติให้เร็วให้ไว จากเป็นฆราวาสแล้วก็หนักอยู่ 5 ขันธ์ บวชเป็นพระก็หนักอีก 5 ขันธ์ เป็น 10 นะ แต่มาปฏิบัติ นักปฏิบัติเกิดอีก 5 ขันธ์เป็น 15 ขันธ์ ปฏิบัติเก่งอีก 5 ขันธ์เป็น 20 ขันธ์ หนักเลยทีเดียว

เขาให้ปล่อยวางขันธ์ห้าแต่มันก็ปล่อยไม่ได้เพราะว่ากำลังสติไม่เพียงพอ ต้องมาทำความเข้าใจ อยู่ในความปกติของสมมติให้ได้เสียก่อน นุ่งผ้าอย่างไร ความเป็นอยู่ของเราอย่างไรถึงจะอยู่ดีมีความสุข การลุกการก้าวการเดิน การสำรวมระวัง อะไรคือสติ ความรู้ตัวเป็นอย่างไร ท่านเจ้าคุณท่านก็จะพาชี้แนะให้ มีอะไรก็ถามท่านเจ้าคุณเอา เพียงแค่การเจริญสติขั้นพื้นฐานก็ทำให้คล่องแคล่ว

เวลาจะรับประทานข้าวปลาอาหารขบฉันเราก็ต้องดู กะประมาณในการขบฉันของเรา กายหิวหรือว่าใจเกิดความอยาก เราควบคุมความอยากให้ได้ ดูนะเวลาจะขบจะฉันทั้งบวชใหม่บวชเก่านั่นแหละ ให้กะประมาณพิจารณาในการขบฉันของเรา ความอยากแม้แต่นิดเดียวมันจะก่อตัวอย่างไร มันจะเกิดอย่างไรเราพยายามดับให้ได้เสียก่อน ถ้าดับไม่ได้ก็ไม่ทำตามมัน ปล่อยให้มันเกิดจนมันจบเรื่องไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลยตามเลยปล่อยเวลาทิ้ง จะไปเอาตั้งแต่เวลาจะไปตั้งใจปฏิบัติมันไม่ได้หรอก เราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อันนี้เรื่องกายของเราอันนี้ใจของเรา

ใจของเราเกิดอย่างไร เราหยุดได้อย่างไรเราดับได้อย่างไร อะไรคือกายวิเวกอะไรคือใจวิเวก ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างทุกเรื่อง ตาเขาทำหน้าที่ดู หูเขาทำหน้าที่ฟัง ใจของเราเป็นอย่างไร ถ้าเราต้องการอาหารมาให้กายใจของเราต้องปกติ ก็จะเข้าใจได้ก็ต้องเพิ่มกำลังสติปัญญาให้เข้มงวด ไม่ใช่ว่าจะได้เลยมันเราต้องเพิ่มกำลังสติปัญญาเข้าไปสังเกตใจควบคุมใจดูแลใจหมั่นพร่ำสอนใจ

ละวางภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราก็วางมาแล้ว ทีนี้ก็มาจัดการเรื่องใจของเรา เรื่องการเกิดการดับของใจของเรา ถ้าเราไปมัวกังวลอันโน้นกังวลอันนี้มันปิดกันเอาไว้หมด พยายามฝ่าฝืน ฝ่าฝืนอารมณ์ฝ่าฝืนกิเลสไม่ทำตามมัน กำลังจะสติปัญญาเร็วไวขึ้นมากขึ้นก็จะเห็น เห็นการเกิดการดับของใจของขันธ์ห้า รู้ลักษณะของตัวใจ ทีนี้ก็สนุกใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ กิเลสตัวไหนมันมาหลอกเรา เราก็จะรู้เท่าทันมันกิเลสหยาบกิเลสละเอียด

แต่เวลานี้เราต้องมาสร้างตัวรู้หรือว่ามาเจริญสติเข้าไปดูใจให้ทัน ใจกับอาการของใจกับกายนั้นมีอยู่แล้ว เรามาสร้างสติหรือว่ามาเจริญสติตัวใหม่เข้าไปจัดการกับใจของเรา ให้หมั่นพร่ำสอนใจของเรา เราไม่เห็นตั้งแต่แรกเราก็ดับหยุดเอาไว้ การทำบุญการให้ทานนั้นทุกคนมีกันมาเต็มเปี่ยมหมด มีโอกาสได้ทำบุญกันได้ทำบุญกันตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพ่อแม่ปู่ย่าตายายพาทำบุญพาให้ทานมาตลอด แต่การเจริญสติเข้าไปจัดการไปรู้ไปเห็นการเกิดการดับของใจ ตรงนั้นมีอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ รู้ได้เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราวก็เลยละกิเลสไม่ได้เด็ดขาด

ฝึกใหม่ๆ ก็ลำบาก ถ้าคนสร้างบุญมาดีนี้จะง่าย ถ้าคนมีตั้งแต่ทำบุญมีตั้งแต่ให้ทาน ใจน้อมเขามาในการทำบุญให้ทานก็เลยความอยากก็เลยมีน้อย มันก็เลยลดลงๆ มีตั้งแต่อยากให้ อยากให้อยากเอาออกอยากช่วยเหลือพรหมวิหารก็เลยเต็ม ถ้าคนไม่เคยให้ไม่เคยเอาออกไม่เคยเสียสละ เรามาฝึกมันก็เลยฝืนหนัก เราต้องมีความจริงใจมีสัจจะกับตัวเรา มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีความแข็งกระด้าง มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ การปฏิบัติการฝึกหัดก็จะได้ไปได้เร็วได้ไว ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีความรู้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ปัญญาเก่าปัญญาโลกีย์มันปิดกั้นเอาไว้เยอะไว้หมด

เรามาสร้างปัญญาธรรมด้วยการชำระสะสางกิเลส เราต้องรู้จุดต้นเหตุของกิเลส เขาก่อตัวตรงไหนเขาเกิดตรงไหนก็พยายามจัดการกับตัวของเรา มีแต่เรื่องของเราทั้งนั้นแหละไม่ใช่เรื่องของคนอื่น หลวงพ่อก็ได้เพียงแค่เล่าให้ฟัง สำหรับตัวหลวงพ่อเองก็ไม่รู้จะอยู่กับพวกท่านไปได้นานสักเท่าไร เพราะว่าสภาพร่างกายแต่ละวันก็มีตั้งแต่ทรงกับทรุดเท่านั้นรู้ตัวเองดี แต่สภาพร่างกายนี่เสื่อมโทรมลงไปเยอะเพราะว่าอาศัยยาฉีดยามาตั้งหลายปี 5 - 6 ปีแล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็เบียดเบียน เบาหวานเล่นงานหนักอยู่เหมือนกัน

แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ได้เครียดกับสิ่งพวกนี้เพราะว่าเราทำความเข้าใจกับเขาหมด ไปเมื่อไรก็พร้อม อยู่ก็พร้อมไป ไปก็พร้อม ขณะยังมีลมหายใจอยู่ก็จะพาสร้างประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ แต่ละวันๆ บางวันก็ทรุดบางวันก็ไปแทบไม่ไหว เมื่อวานนี้โชคดีหน่อยที่อากาศเย็นอากาศไม่ร้อน ฝนฟ้าตกลงมาก็อยู่พออยู่ได้ทั้งวัน ถ้าอากาศร้อนนี่ร่างกายนี่จะทรุดทันที ถึงไม่ได้ลำบากเท่าไหร่เมื่อวานนี้ฝนตก

พวกเราทั้งพระทั้งชีก็รู้จักพิจารณาตัวเองแก้ไขตัวเอง อยู่ร่วมกันก็ให้มีความสุข แล้วความหมายของการเข้ามาบวชอยู่ที่ตรงไหน ไม่ใช่จะพาให้ตั้งแต่คนอื่นพาทำ เรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้วเราไปทำเอา การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เราต้องพยายามรู้กายรู้ใจของเรา เรายังไม่รู้ใจเท่าทันใจของเราก็ให้สร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน

ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะมีการพลั้งเผลอ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่ เริ่มอยู่เริ่มอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ทั้งที่ใจเป็นบุญบางทีใจก็ปกติ อยู่แต่เขายังคว่ำอยู่เขายังไม่ได้คลายจากความคิดซึ่งเป็นนามด้วยกัน ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทันเราก็จะเห็นลักษณะของวิญญาณ ลักษณะของใจที่ว่าง ลักษณะอาการของใจที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่ง ลักษณะของใจเคลื่อนเข้าไปรวม เราก็จะเห็นเป็นกองเป็นชิ้นเป็นอัน เราก็จะเข้าใจแนวทางของการปฏิบัติ แต่การชำระสะสางกิเลสต้องทำเอา

ใจของเราเกิดกิเลสเมื่อไหร่เกิดความโลภเมื่อไหร่เราก็รู้จักดับ ใจของเราเกิดความกังวลเกิดความหงุดหงิดเมื่อไรเราก็รีบแก้ไข ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย อยู่คนเดียวก็จะมีความสุข ถ้าเราเข้าใจในรู้ฐานของใจของเรา อยู่คนเดียวก็มีความสุขอยู่หลายคนก็มีความสุข อย่างน้อยๆ ก็ให้รู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่อง พระเรามาบวชมาใหม่ๆ อย่าเพิ่งไปคิดไปนึกก่อน

การเจริญสติ การควบคุมใจ การสังเกตการวิเคราะห์ ความเสียสละนั้นมีกันเต็มเปี่ยมทุกคน ต้องบอกตัวเราให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นอย่าให้ความเกียจคร้านเขาครอบงำ ถ้าความเกียจคร้านเขาครอบงำบุคคลใดเราก็แย่เลยเอาตัวเองไม่รอด หนักตัวเองหนักคนอื่น ให้มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบให้เต็มเปี่ยม ทุกอย่างทุกเรื่องก็จะได้แก้ไขตัวเราได้ ชนะตัวเราแล้วเราก็ชนะหมดไม่ต้องไปคอยเอาชนะคนโน้นคอยเอาชนะคนนี้ ไม่ต้องไปดูว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ใจของเรามันคิดไปเอง

ทำอย่างไรใจของเราจะได้บุญ ทำอย่างไรใจของเราถึงจะสะอาด ทำอย่างไรใจถึงจะบริสุทธิ์ ทำอย่างไรสติของเราถึงจะต่อเนื่อง รีบทำทำงานไปด้วยสังเกตความปกติไปด้วยสร้างความรู้ตัวไปด้วย ตรงไหนมันไม่ดีเราก็ช่วยกันทำ ความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องส้วมห้องน้ำเป็นอย่างไรมีน้ำไหม อะไรน้ำมันรั่วตรงไหน เราต้องดูหมดทุกอย่างตั้งแต่ปากทางถึงก้นครัว จากข้างบนถึงข้างล่าง กิ่งไม้กิ่งไหนมันจะหักใส่

สำรวจตรวจตราดูดีๆ ตรงกลางข้างบนข้างล่าง มองลงที่กลางใจของตัวเราด้วยว่าใจของเรามีความเป็นกลางมีความว่าง ความว่างนั้นก็คงจะยังไม่มีหรอกเพราะว่าไม่ได้ยังไม่ได้แยกคลายจากความคิดยังละกิเลสไม่หมดจด มันก็มีแค่เพียงความปกติที่ยังคว่ำอยู่ ถ้าความว่างจริงๆ นั้นต้องแยกจากขันธ์ห้าตามดูขันธ์ห้า ละกิเลสให้มันหมดดับความเกิดให้มันหมดจดถึงจะว่างแบบธรรมชาติที่สุด

อันนี้สติของเราความต่อเนื่องก็ยังไม่มี การควบคุมใจก็ยังไม่มี ก็เห็นตั้งแต่ความคิดกับอาการของใจมันรวมกันไปหมดแล้ว หรือบางทีก็ใจมันเป็นธาตุรู้ มันเกิดอยู่มันวิ่งอยู่ เราก็ต้องพยายามนะพยายามทำ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ สร้างบุญสร้างบารมีสร้างตบะ แต่ละวันๆ ถึงเวลาก็จะถึงจุดอิ่มบุญ ความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น มีโอกาสก็จะพาทำ เมื่อวานนี้ก็ผ่านมาเห็นญาติโยมพี่น้องเรามาร่วมกันก็รู้สึกว่ามีความภูมิใจ ต้นบุญใหญ่ก็ 3K แบตเตอรี่ท่านก็มาเป็นต้นบุญใหญ่ให้กับทุกคนทุกปีๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนตั้งแต่ 10 - 20 ปีมานี้ ทั้งภูป่าไร่ทั้งวัดเราก็ไปช่วยกันบริบูรณ์หมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนท่านมีโอกาสท่านก็ได้ช่วย โอกาสพวกเราก็ได้ทำบุญกันได้สร้างบุญกัน

บุญใหญ่ก็จะมาถึงอีกวันที่ 16 วันที่ 16 มกรา ก็จะได้ผ่านไปตั้งโรงทานใหญ่ 10 วัน ที่บ้านหนองตูม หนองงูเหลือม มีงานปริวาสหลวงปู่ศรีท่านก็หลวงปู่ศรีหลวงปู่บุญท่านก็พาจัดมาได้เป็น 50 60 ปี แล้วแหละทุกปี มีปีนี้ท่านก็เลยมาขอให้ไปช่วย ก็เลยรับปากกับท่านว่าจะไปทำโรงทานให้ทั้ง 10 วัน แต่ก็พร้อมมูลหมดแล้วแหละรอก็ตั้งแต่เวลาเฉยๆ ญาติโยมแม่ครัวมือโปรก็หลายคนปาวรณาว่าจะมาช่วย มาช่วยทำกับข้าวกับปลาที่โน่นที่นี่ ข้าวสารอาหารแห้งก็เยอะ มีตั้งแต่จะมาช่วยกันมาร่วมกัน เอากายมาช่วยทำ

นี่แหละมีโอกาส โอกาสเปิดให้เราก็ได้ทำได้ทำอยู่ตลอดเวลา วันที่16 ส่วนวันที่ 1 นั้นก็จะได้มอบทุนให้กับโรงเรียนบ้านศิลาไปทำให้เสร็จ แต่ก็มีพร้อมแล้วแหละเทวดาได้ช่วยกัน เพียงแค่รอวันที่จะมอบวันที่ 1 จำนวน 500,000 บาท มอบให้ไปทำให้เสร็จให้ทำหลังคากับพื้น เห็นว่าลำบากการที่พักที่เล่าเรียนของเด็กเล็กลำบาก จะหางบหาทุนก็หาเต็มที่มันได้แค่เสาว่าอย่างนั้นก็เลยมาหาให้ขอให้ไปช่วย จะได้บอกกล่าวพี่น้องเรา เทวดาก็มาช่วยกัน รอเพียงแค่จะรับมอบวันที่ 1 วันที่ 1 มกรา ก็จะได้ไปช่วยไปทำให้เสร็จได้ทำหลายอย่าง

ทำทุกอย่างเท่าที่เป็นบุญเป็นอานิสงส์ให้เกิดขึ้น แต่การละกิเลสเราก็ต้องมีนะ กิเลสมันเกิดตรงไหน มันเกิดอย่างไรเราต้องจัดการกับมันให้ได้ ดูไปเรื่อยๆ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็หยุดเราก็ดับเราก็ระงับ ความเสียสละของเราก็ต้องเต็มเปี่ยม หนักเอาเบาสู้ ไม่ใช่งอมืองอเท้า การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมมันถึงจะเกิดประโยชน์

การละกิเลสไม่มี ใจก็มันก็ไม่สะอาด พรหมวิหารไม่มีความเมตตาไม่มีมันก็เหี่ยวแห้ง ก็ต้องให้เต็มเปี่ยมหมด ความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่มีมันก็แข็งกระด้างเราพยายามละ ให้ละอายในสิ่งที่ควรละอาย ให้เจริญในสิ่งที่คนเจริญ ไม่ใช่ว่าจะไปคอยตั้งแต่เพ่งโทษคนโน้นเพ่งโทษคนนี้ คนโน้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ กิเลสของเราทั้งนั้นที่มันส่งออกไป เรามาจัดการกับเรา สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น เราผิดพลาดตรงไหนเราก็รีบแก้ไขเรา เราก็เกิดประโยชน์เกิดบุญ

ถ้าคนจะเอาธรรมไม่จำเป็นต้องไปพูดมากเลยฟังมากเลยอันนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละ การสังเกตการวิเคราะห์ ความเสียสละเป็นอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ การกระทำสมมติอะไรของเรายังขาดตกบกพร่องเราก็รีบทำ มันก็ได้ทั้งนั้นอะไรที่จะมีความเงียบความเรียบความง่ายความสบายไม่เป็นพิษเป็นภัย แล้วก็ประโยชน์ในระดับของสมมติประโยชน์ในระดับวิมุตติ เราต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อยเสียก็จะเกิดประโยชน์มากมาย

ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมรอบประเทศยังไม่เข้าใจเลย สติเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้จักสร้างเลย ทั้งที่ใจอิ่มในบุญได้บุญทำบุญมีความสุข สติปัญญาเราต้องรู้แล้วก็รีบแก้ไข หมดความสงสัยมีตั้งแต่เจริญให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน มาที่วัดป่าธรรมอุทยานก็ได้ตั้งแต่พูดกัน มาวัดป่าแล้วร่มรื่นร่มเย็นนะ มาฟังธรรมะของท่านเจ้าคุณก็พูดดี๊ดี แต่ไม่ยอมเอาไปปฏิบัติสักที นี่มีตั้งแต่มาฟังฟังเฉยๆ ไม่ได้เอาไปสร้างสักที

เจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ใจมันเกิดอย่างไร ความคิดกับใจมันรวมกันได้อย่างไร สติเป็นอย่างไร ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร ความรู้ตัวพลั้งเผลอเป็นอย่างไร ไม่ยอมเอาไปสร้างได้แต่มานั่งคุยทั้งวันทั้งคืนเสียเวลานะ ถ้าเอาไปทำไปสร้างแล้วรู้จักวิธีแล้ว อยู่คนเดียวก็กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้นะ ทำโน้นทำนี่ใจของเราเกิดความยินดีไหมยินร้ายไหม ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน จะมองเห็นหมด

ขณะทำนั้นมีความเกียจคร้านเข้าครอบงำไหม มีความเห็นแก่ตัวหรือไม่ ความเป็นระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่พากันทำยังไปมองข้าม ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ขนาดมีขนาดอนุเคราะห์ให้ถึงขนาดนั้นยังพากันไปมัวเมาเล่นอยู่ บางคนก็เกียจคร้านให้มองเห็น กระดากสายตาอยู่ละอายตาที่เห็น คนเรามันสร้างมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมาเต็มเปี่ยมทั้งสมมติภายนอกบุญภายนอกก็เต็ม บุญภายในก็ฝักใฝ่สนใจ สมมติก็รู้จักฝักใฝ่ดิ้นรนกระตือรือร้น การเจริญสติก็ไม่ย่อท้อก็จะถึงฝั่งได้เร็วได้ไว

ทุกสิ่งทุกอย่างมีกรอบอยู่เราต้องผ่ากรอบออกให้มันได้ กรอบของสมมติเข้าครอบงำตัววิญญาณอยู่ เราต้องคลายตัววิญญาณออกจากอาการของวิญญาณให้มันได้ เหมือนกับอยู่ในวงกลมแล้วตัดวงกลมให้มันได้ไม่ให้มันหมุนต่อ ทีนี้ก็เป็นการหมุนด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ให้ใจคลายออกรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องพยายามทำกัน

สติปัญญาทางโลกก็มีตั้งแต่เก่งๆ เป็นอัจฉริยะกันหมดอยู่แล้วไม่ต้องกลัว ถ้ามาปรับสภาพให้เป็นสติปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ แยกรูปแยกนามได้ก็เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วยตามดูได้ด้วยมันก็หมดความสงสัยเท่านั้นแหละเพราะมันรู้มันเห็น ที่มันไม่รู้ไม่เห็นนี่แหละมันถึงเกิดถึงวิ่งอยู่ตลอดวิ่งไปที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไปหารอบประเทศยังไม่เจออยู่เพราะว่าแยกไม่ได้คลายไม่ได้ อาจจะรู้ว่าใจเป็นอย่างนี้นะ ควบคุมใจได้แต่มันยังเกิดอยู่ดับความเกิดไม่ได้

ถึงมันเกิดก็ให้เกิดอยู่ในบุญเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล จะได้เป็นข้าพกข้าห่อติดตามตัวเราไปตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ ที่เล่าให้ฟังนี่หลวงพ่อก็ผ่านมาหมดแล้วแหละ กว่าจะจัดระบบระเบียบของใจได้ สารพัดอย่าง สร้างตบะทั้งอดหลับอดนอนทั้งอดอาหารสารพัดอย่าง ไปอยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำ นอนอยู่กับศพ ทำมาหมดนั่นแหละถึงมาเล่าให้พวกท่านฟังได้ กว่าจะเข้าใจกว่าจะรู้ใจ กว่าจะจัดการกับวิญญาณของตัวเองได้ ความเพียรทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน สมมติก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์

มาอยู่ในป่าช้านี้ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรโน่นแหล่ะ ยังอุตส่าห์ทำให้ทุกคนให้อยู่ดีมีความสุขจนล้นออกไปสู่สังคมสู่ภายนอก มาแล้วก็พยายามขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่เล่า กำลังกายไม่อำนวยแล้วแต่เวลานี้อาศัยแต่กำลังวาจาสักหน่อยหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ สมัยก่อนนั้นหนักกว่านี้ ทุกวันนี้ก็เหลือตั้งแต่กำลังของวาจาคอยพูดวาจา

แต่ก่อนนี้ลงมาลุยทำ เช้าเย็นก็พากันมาทำวัตรสวดมนต์อย่าไปเกียจคร้าน ออกไปบิณฑบาตรกัน เวลาไปบิณฑบาตรก็สร้างความรู้ตัวไปด้วย ไม่รู้ก็สร้างความรู้สึกการเดิน เวลาหยุดรับก็สร้างความรู้สึกอยู่ที่การหายใจให้เกิดความเคยชิน การนุ่งผ้าของพระก็พยายามสร้างความรู้ตัว โตกันทุกคนไม่ได้พูดยากหรอก พูดยากสำหรับบุคคลที่มีกิเลสหนาจะง่ายสำหรับบุคคลที่เบาบาง

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องด้วยการสร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากตัวใจเอาไว้ นั่งตามสบายวางกายให้สบายอย่าไปเกร็งร่างกาย ลักษณะของการหายใจเข้าออก เราพยายามสร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 - 3 เที่ยว

เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการรู้ที่ชำนาญ ยิ่งไม่ชำนาญเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรคือสร้างความรู้ให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ บางทีก็อึดอัดหายใจยาวก็อึดอัด หายใจออกยาวก็อึดอัดหายใจเข้าสั้นก็อึดอัดเพราะว่าความไม่เคยชิน ทั้งที่เราก็หายใจอยู่เป็นปกติ เวลาเราจะสร้างความรู้ตัวรู้การหายใจเข้าออกอันนี้เขาเรียกว่าเจริญสติลงอยู่ที่กายของเราฝากไว้ที่กายของเรา รู้ลมหายใจเข้าออกเสียก่อนให้เกิดความเคยชินขณะที่ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเวลาลมวิ่งเข้าวิ่งออก

ส่วนใจเขาจะเกิดเขาจะก่อตัวเราก็จะรู้ตรงนั้นอีกทีหนึ่งรู้เวลาเขาเกิด แต่ส่วนมากเขาเกิดไปแล้ว เขาคิดไปตั้งเป็นวาเป็นศอกไปแล้วเราถึงรู้ว่าเราคิด รู้อยู่ว่าตัวเองคิดแต่เราไม่เห็นต้นของความคิด เขาก่อตัวอย่างไร นี่แหละเพราะว่าความรู้ตัวของเราไม่ต่อเนื่อง ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเพียงแค่ใจมันกระตุกนิดเดียวมันก็จะเห็น แล้วก็มีอาการของใจซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด มันก่อตัวจะเข้ามาปรุงแต่งตัวใจจะเคลื่อนเข้าไปรวมอีก ส่วนมากมันคิดไปแล้วมันรวมกันไปแล้วเราถึงรู้ นั่นแหละมันหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นแหละถึงเกิดอวิชชา เกิดโมหะเกิดความหลงอยู่ตรงนี้

ถ้าเราสังเกตทันใจของเรา อาการของความคิดจะผุดขึ้นมาใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าความรู้ตัวของเรารู้เท่าทันปุ๊บใจมันจะดีดออกจากความคิดตรงนั้น มันจะดีดออกเองเขาเรียกว่าแยก พอดีดปุ๊บมันก็หงายเขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่างกายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะตามดูการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ของขันธ์ห้า เรื่องอะไรที่มันเกิดเราก็จะแจงลงไปอีกว่าเป็นกองไหน

ถ้าเป็นเรื่องอดีตก็เป็นกองของสัญญา ที่ท่านเปรียบเสมือนกับลูกคลื่นเวลาเราเดินอยู่ชายฝั่ง เราก็มองเห็นเป็นลูกๆ มันวิ่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมมันก็เลยเป็นอัตตาตัวตน นั่นแหละอัตตากลับมาอนัตตาอยู่ตรงนี้ ถ้าแยกได้ใครได้ก็เป็นสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงอยู่ตรงนี้เพียงแค่เริ่มต้น เห็นการเกิดการดับของตัววิญญาณก็จะเข้าใจในหลักอริยสัจสี่ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ ตามดูตามรู้ตามเห็น รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิดรอบรู้ในอารมณ์ของตัวเราเอง

แต่เวลานี้กำลังสติความรู้ตัวของเรามันมีน้อย ขาดการสร้างให้ต่อเนื่องจะเอากำลังที่ไหนไปรู้เท่าทัน มีตั้งแต่ทำบุญให้ทานที่โน่นที่นี่ มีตั้งแต่อยากจะได้ธรรมอยากจะรู้ธรรมมันปิดกั้นตัวมันไว้เสียแล้ว เราต้องมาสร้างผู้รู้สร้างสติให้เข้มแข็งเข้าไปควบคุม ใหม่ๆ ก็อาจจะควบคุมอาจจะฝืน ถ้าเราเข้าใจแล้วแยกได้จิตก็จะตกกระแสธรรม เพียงแค่เริ่มต้น

ทีนี้กำลังสติปัญญาของเราจะตามค้นคว้าให้ได้ทุกเรื่อง ให้ใจยอมรับความจริงทุกอย่างจนใจเกิดความเบื่อหน่ายละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกให้มันหมด รู้จักทำความเข้าใจอันนี้สมมติอันนี้วิมุตติ อันนี้กายสมมติเป็นอย่างนี้ โลกธรรมเป็นอย่างนี้ ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างนี้ มันแจงแยกแยะแจงกันอยู่หมดเลย แต่พวกเรานี่รวมกันไปหมดมันก็เลยไม่เข้าใจในชีวิต ก็อาจจะเข้าใจในภาพรวม ละอกุศลเจริญกุศลในภาพรวมก็ยังดี ก็ต้องพยายามกันอีก

พระเราก็พยายามขยันหมั่นเพียรกันนะ ให้รู้จักการเจริญสติ กายวิเวกใจวิเวก ถึงเราจะมีเวลาน้อย เราก็พยายามให้ตัดความกังวลเรื่องที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน มาจัดการมาสร้างสติให้มันต่อเนื่อง ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ของเราให้มันได้สักตั้งหนึ่งเสียก่อน ถ้ากำลังสติมีมากเค้าจะดำเนินสานต่อไปได้เอง ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย ถึงเราละไม่หมดเราเริ่มต้นให้ถูกต้องมันจะไปส่งผลเอาวันข้างหน้า มันละไม่ได้จริงๆ ก็ไปละให้มันหมดจด

ขอให้เรารู้จักใจของเรา รู้จักสติ ช่วงจะหมดลมหายใจก็ยังได้อยู่ ถึงมันไม่หมดจดจริงๆ มันก็จะไปต่อเอาภพหน้า อย่าให้ใจของเราเกิดอย่าให้ใจของเราหลง ถ้าจะหลงก็ให้หลงในการสร้างคุณงามความดี หลงอยู่ในกองบุญกองกุศล ในหลักธรรมแล้วท่านก็ให้ละหมดแต่ให้สร้างกุศลแต่ไม่ให้ยึด ถึงปล่อยวางได้แล้วเราก็ต้องสร้างประโยชน์สร้างกุศลให้มากมายขึ้นไปอีก โดยที่ไม่ต้องไปทุกข์ไปเครียดอะไรเลย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เราจะไปเอาให้ได้วันนี้วันพรุ่งนี้มันไม่ได้หรอก เราค่อยสร้างค่อยทำไป

การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การดับการควบคุมลักษณะของใจเป็นอย่างนี้นะ นิวรณ์เข้าครอบงำได้อย่างไร สติของเราพลั้งเผลอได้อย่างไร เรารู้จากจุดน้อยๆ เสียก่อนค่อยไปรู้เอาจุดใหญ่ๆ ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ใหญ่มันปิดกั้นเอาไว้ ไม่กำจัดละความอยากให้แก่ตัวน้อยๆ จะไปเอาตัวใหญ่ๆ มันจะไปละได้อย่างไร ไปเอาตั้งแต่มันก่อตัวนั่นแหละ พอดับพอละได้วางได้มันก็จะโล่งโปร่งอิสระเป็นธรรมชาติ

ใจที่ไม่เกิดใจที่ปราศจากกิเลส อยู่กลางโรงหนังกลางตลาดเขาก็เป็นสมาธิ จะวิ่งจะร้องตะโกนอยู่ เขาก็เป็นสมาธิ มันก็มีความสุขไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลับตาเสียเวลา เอาขณะลืมตานี่เลยขณะทำงานนี้แหล่ะถึงจะเอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ มันเกิดอย่างไรมันไปอย่างไร แก้ไขอย่างไร เพียงแค่ทำจุดเริ่มต้นให้มันถูกต้องมันก็จะดี ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้นะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง