หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 138
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 138
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวเราได้ทำความเข้าใจแล้วหรือยัง ความหมายของการเจริญสติอยู่ที่ตรงไหน เราจะเอาไปใช้อย่างไร ฐานของใจเป็นอย่างไร วิญญาณในขันธ์ห้าของเราเป็นลักษณะอย่างไร ฐานเขาอยู่ตรงไหน เราพยายามเจาะพยายามสังเกตให้เห็นต้นเหตุ เราถึงจะมองทางทะลุปรุโปร่ง
ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อันนี้คือตัววิญญาณซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ให้รู้ตัววิญญาณอีก ตัวสมองตัวบนตัวสติ ตัวสร้างความรู้ตัวขึ้นมาใหม่ เป็นงานทุกคนเป็นงานชิ้นเอกเสียด้วยแต่ขาดการสนใจ สนใจอยู่แต่เป็นการสนใจด้วยปัญญาแบบโลกๆ มันก็ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เรามาสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง เป็นแค่การเจริญสติพวกเราก็ทำกันลุ่มๆ ดอนๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ส่วนมากจะปล่อยปละละเลย ไปคิดเอาไปนึกเอาแล้วก็ไปแสวงหาธรรมมันจะไปได้อย่างไร ใจมันเกิดอยู่ ความเกิดก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้เสีย เพียงแค่ตัวใจเกิดก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ตัวขันธ์ห้าอีกมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้อีก ในส่วนรูปก็ปิดกั้นส่วนนามก็ปิดกั้น ตัวใจตัววิญญาณเขาก็ปิดกั้นตัวเขา
เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง หาเหตุหาผลสังเกตให้ทัน เหตุผลนั้นมีอยู่แล้วแต่เราสังเกตเห็นเหตุเห็นผลให้ทัน แล้วตามทำความเข้าใจจนกว่าใจของเราจะคลายออกแยกออก ถ้าเรารู้ทันต้นเหตุเขาจะแยกออกจากกันเอง ไม่ใช่ว่าเขาจะแยกได้ง่ายๆ เหมือนกันถ้ากำลังสติไม่วิเคราะห์ไม่สังเกตไม่เร็วไม่ไว หาเหตุหาผลไม่ได้เขาก็ไม่ปล่อยไม่วางเหมือนกัน เพราะกิเลสมารต่างๆ ขันธ์มาร กิเลสมารมาปิดกั้นเอาไว้ ทิฐิความเห็นต่างๆ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาไว้หมด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล เราจะหาเหตุหาผลสังเกตวิเคราะห์เหตุผลได้ตั้งแต่เริ่มแรกทุกเรื่องได้หรือไม่
พระเราก็เหมือนกันชีเราก็เหมือนกัน ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันหมด พิจารณาเหมือนกันหมด ขอให้เรามีความเพียรแล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ถึงเวลาเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกันไม่เดินถึงช้าก็ต้องเดินถึงเร็ว บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หมันพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา แก้ไขใจแก้ไขกายแก้ไขสมมติของเราอยู่ตลอดเวลา
พึ่งตัวเราให้ได้อยู่ในระดับหนึ่ง แล้วก็พยายามพึ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีที่พึ่งภายในที่มั่นคงคือความสะอาดความบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกัน นี่ใกล้คงจะใกล้งานกฐินของเราวันที่วันนี้วันที่ 21 22 23 24 25 อีก 2-3 วันก็จะเป็นงานกฐิน ก็ขอเชิญพี่น้องเราทุกคนมาร่วมกัน ฆราวาสญาติโยมก็มาปวารณาตั้งโรงทานกันเยอะ ตั้งแต่วันที่ 24 25 เห็นแล้วก็น่าภูมิใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจิตใจของคนเป็นบุญ ในหลักธรรมแล้วเราก็ให้ละอกุศล ละอกุศลเจริญกุศลแต่ไม่ให้ยึด แต่ต้องแยกต้องคลายให้อยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยเหตุอยู่ด้วยผล
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้รู้จักการสร้างความรู้ตัว ลักษณะของความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใหม่ๆ เราก็เน้นลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจบ้างอยู่ที่การเคลื่อนไหวของกายบ้าง หรือว่าเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ ทำให้ต่อเนื่องกันเถอะ ส่วนตัววิญญาณนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ ตัวขันธ์ห้าเขาก็มาปรุงแต่งวิญญาณอยู่มาปรุงแต่งใจอยู่ตลอด ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องมันจะไปยื้อยุดกับความคิดเก่าๆ ทันบ้างไม่ทันบ้าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง กำลังฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน ถ้ากำลังฝ่ายสติมากเขาก็จะชอนไชจนกว่าวิญญาณจะคลายออกจากความคิดได้ เพียงแค่คลายออกได้นั้นเพียงแค่เบาบางในระดับเบื้องต้น ความรู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้น การตามทำความเข้าใจอีก การละกิเลสอีก ต้องหนักแน่นต่อเนื่องกันอีก
สติความรู้ตัวเราพลั้งเผลอได้อย่างไร ใจของเราเกิดได้อย่างไร เราหยุดเราระงับยับยั้งได้อย่างไร เราทำในสิ่งตรงกันข้าม ไปอย่างไร ใจของเราเกิดความโลภเราดับความโลภด้วยการเอาออกด้วยการให้ ใจของเราเกิดความโกรธเกิดความกังวลเราก็ดับพยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้ามกันหมดเลย
การพูดง่ายการกระทำการลงมือต้องมีทุกเวลาทุกขณะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายวิเวกจากพันธะภาระทางบ้านทางช่องมา ทีนี้ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากความคิดจากอารมณ์เป็นอย่างไร เราพยายามเจาะให้ถึงฐานของใจให้ได้ ให้เห็นที่ตั้งของใจของเราให้ได้ แล้วจะได้หมดความสงสัย มีตั้งแต่การจะขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจด จนกระทั่งวันหมดลมหายใจนั่นแหละ
เป็นเรื่องของทุกคน บังคับกันไม่ได้เราต้องบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ชอบให้คนอื่นเขาบังคับไปไม่ถึงไหน เราต้องแก้ไขตัวเรา อะไรควรทำอะไรควรละ มีความรับผิดชอบมากน้อยสักเท่าไหร่ ให้เราต้องแก้ไขตัวเรา อยู่คนเดียวเป็นอย่างไร อยู่หลายคนเป็นอย่างไร ต้องทำความเข้าใจให้มันเต็มที่ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ก็ต้องพยายามกันนะพยายามกัน
พระเราชีเราก็พยายามกัน อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขอะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขเสีย ให้ไปในทางเส้นเดียว ในทางเส้นเดียวคือตามทางที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ หมดความสงสัยหมดความลังเลไม่ต้องมาโต้แย้งทุกสิ่งทุกอย่าง ปฏิบัติให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราให้หมดความสงสัย แล้วก็เพิ่มความเพียรให้ถึงจุดหมาย อย่ามาโต้แย้งว่าอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี อันนั้นใช่หรือไม่ใช่ มันจะมาเป็นอุปสรรค
ให้เราพยายามฝ่าฟันผ่านพ้นอุปสรรคสิ่งพวกนี้ไปให้มันได้หมด เจาะลึกลงไปให้เห็นการเกิดการดับ การแยกรูปแยกนาม ตามดูรู้ฐานของใจตรงนั้นสำคัญ ตามดูรู้เหตุรู้ผล ทีนี้เราจะละได้หรือละไม่ได้ ถ้าเรารู้แล้วเห็นเหตุเห็นผลแล้วมันไม่มีความสงสัยอะไรเลยแหละ มีได้แต่ตามทำความเข้าใจ กำจัดออกให้มันหมด อะไรควรละอะไรควรเจริญ ไม่ต้องไม่ต้องไปถามใครเสียอีก สติปัญญาจะหมั่นดูใจแก้ไขใจ ถามใจหมั่นพร่ำสอนใจตลอดเวลา
รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหล่ะจะกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา หมั่นพร่ำสอนใจเรามันมีไม่มากหรอก จะว่ามากก็มากมันมากสำหรับบุคคลที่มีความคิดมาก มันน้อยสำหรับบุคคลที่ฝักใฝ่สนใจรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วก็กำจัดออกให้มันหมด จะเอาจะมีจะเป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ก็พยายามนะหลวงพ่อก็เป็นแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านไม่ไปทำก็จะไม่เข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย อันนี้คือตัววิญญาณซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม ให้รู้ตัววิญญาณอีก ตัวสมองตัวบนตัวสติ ตัวสร้างความรู้ตัวขึ้นมาใหม่ เป็นงานทุกคนเป็นงานชิ้นเอกเสียด้วยแต่ขาดการสนใจ สนใจอยู่แต่เป็นการสนใจด้วยปัญญาแบบโลกๆ มันก็ยิ่งปิดกั้นตัวเองเอาไว้ เรามาสร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง เป็นแค่การเจริญสติพวกเราก็ทำกันลุ่มๆ ดอนๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ส่วนมากจะปล่อยปละละเลย ไปคิดเอาไปนึกเอาแล้วก็ไปแสวงหาธรรมมันจะไปได้อย่างไร ใจมันเกิดอยู่ ความเกิดก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้เสีย เพียงแค่ตัวใจเกิดก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ ตัวขันธ์ห้าอีกมาปิดกั้นตัวเขาเอาไว้อีก ในส่วนรูปก็ปิดกั้นส่วนนามก็ปิดกั้น ตัวใจตัววิญญาณเขาก็ปิดกั้นตัวเขา
เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง หาเหตุหาผลสังเกตให้ทัน เหตุผลนั้นมีอยู่แล้วแต่เราสังเกตเห็นเหตุเห็นผลให้ทัน แล้วตามทำความเข้าใจจนกว่าใจของเราจะคลายออกแยกออก ถ้าเรารู้ทันต้นเหตุเขาจะแยกออกจากกันเอง ไม่ใช่ว่าเขาจะแยกได้ง่ายๆ เหมือนกันถ้ากำลังสติไม่วิเคราะห์ไม่สังเกตไม่เร็วไม่ไว หาเหตุหาผลไม่ได้เขาก็ไม่ปล่อยไม่วางเหมือนกัน เพราะกิเลสมารต่างๆ ขันธ์มาร กิเลสมารมาปิดกั้นเอาไว้ ทิฐิความเห็นต่างๆ เขาก็ปิดกั้นตัวเขาไว้หมด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล เราจะหาเหตุหาผลสังเกตวิเคราะห์เหตุผลได้ตั้งแต่เริ่มแรกทุกเรื่องได้หรือไม่
พระเราก็เหมือนกันชีเราก็เหมือนกัน ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกันหมด พิจารณาเหมือนกันหมด ขอให้เรามีความเพียรแล้วก็สร้างอานิสงส์สร้างตบะสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ถึงเวลาเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกันไม่เดินถึงช้าก็ต้องเดินถึงเร็ว บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น หมันพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา แก้ไขใจแก้ไขกายแก้ไขสมมติของเราอยู่ตลอดเวลา
พึ่งตัวเราให้ได้อยู่ในระดับหนึ่ง แล้วก็พยายามพึ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีที่พึ่งภายในที่มั่นคงคือความสะอาดความบริสุทธิ์ มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกัน นี่ใกล้คงจะใกล้งานกฐินของเราวันที่วันนี้วันที่ 21 22 23 24 25 อีก 2-3 วันก็จะเป็นงานกฐิน ก็ขอเชิญพี่น้องเราทุกคนมาร่วมกัน ฆราวาสญาติโยมก็มาปวารณาตั้งโรงทานกันเยอะ ตั้งแต่วันที่ 24 25 เห็นแล้วก็น่าภูมิใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจิตใจของคนเป็นบุญ ในหลักธรรมแล้วเราก็ให้ละอกุศล ละอกุศลเจริญกุศลแต่ไม่ให้ยึด แต่ต้องแยกต้องคลายให้อยู่ด้วยสติอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยเหตุอยู่ด้วยผล
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย ให้รู้จักการสร้างความรู้ตัว ลักษณะของความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ใหม่ๆ เราก็เน้นลงอยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ลมหายใจบ้างอยู่ที่การเคลื่อนไหวของกายบ้าง หรือว่าเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ ทำให้ต่อเนื่องกันเถอะ ส่วนตัววิญญาณนั้นเขาเกิดๆ ดับๆ ตัวขันธ์ห้าเขาก็มาปรุงแต่งวิญญาณอยู่มาปรุงแต่งใจอยู่ตลอด ถ้าความรู้ตัวของเราต่อเนื่องมันจะไปยื้อยุดกับความคิดเก่าๆ ทันบ้างไม่ทันบ้าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง กำลังฝ่ายไหนจะมากกว่ากัน ถ้ากำลังฝ่ายสติมากเขาก็จะชอนไชจนกว่าวิญญาณจะคลายออกจากความคิดได้ เพียงแค่คลายออกได้นั้นเพียงแค่เบาบางในระดับเบื้องต้น ความรู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้น การตามทำความเข้าใจอีก การละกิเลสอีก ต้องหนักแน่นต่อเนื่องกันอีก
สติความรู้ตัวเราพลั้งเผลอได้อย่างไร ใจของเราเกิดได้อย่างไร เราหยุดเราระงับยับยั้งได้อย่างไร เราทำในสิ่งตรงกันข้าม ไปอย่างไร ใจของเราเกิดความโลภเราดับความโลภด้วยการเอาออกด้วยการให้ ใจของเราเกิดความโกรธเกิดความกังวลเราก็ดับพยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม ทำในสิ่งตรงกันข้ามกันหมดเลย
การพูดง่ายการกระทำการลงมือต้องมีทุกเวลาทุกขณะ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายวิเวกจากพันธะภาระทางบ้านทางช่องมา ทีนี้ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากความคิดจากอารมณ์เป็นอย่างไร เราพยายามเจาะให้ถึงฐานของใจให้ได้ ให้เห็นที่ตั้งของใจของเราให้ได้ แล้วจะได้หมดความสงสัย มีตั้งแต่การจะขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจด จนกระทั่งวันหมดลมหายใจนั่นแหละ
เป็นเรื่องของทุกคน บังคับกันไม่ได้เราต้องบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองปรับปรุงตัวเราเอง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ชอบให้คนอื่นเขาบังคับไปไม่ถึงไหน เราต้องแก้ไขตัวเรา อะไรควรทำอะไรควรละ มีความรับผิดชอบมากน้อยสักเท่าไหร่ ให้เราต้องแก้ไขตัวเรา อยู่คนเดียวเป็นอย่างไร อยู่หลายคนเป็นอย่างไร ต้องทำความเข้าใจให้มันเต็มที่ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ก็ต้องพยายามกันนะพยายามกัน
พระเราชีเราก็พยายามกัน อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขอะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขเสีย ให้ไปในทางเส้นเดียว ในทางเส้นเดียวคือตามทางที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ หมดความสงสัยหมดความลังเลไม่ต้องมาโต้แย้งทุกสิ่งทุกอย่าง ปฏิบัติให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราให้หมดความสงสัย แล้วก็เพิ่มความเพียรให้ถึงจุดหมาย อย่ามาโต้แย้งว่าอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี อันนั้นใช่หรือไม่ใช่ มันจะมาเป็นอุปสรรค
ให้เราพยายามฝ่าฟันผ่านพ้นอุปสรรคสิ่งพวกนี้ไปให้มันได้หมด เจาะลึกลงไปให้เห็นการเกิดการดับ การแยกรูปแยกนาม ตามดูรู้ฐานของใจตรงนั้นสำคัญ ตามดูรู้เหตุรู้ผล ทีนี้เราจะละได้หรือละไม่ได้ ถ้าเรารู้แล้วเห็นเหตุเห็นผลแล้วมันไม่มีความสงสัยอะไรเลยแหละ มีได้แต่ตามทำความเข้าใจ กำจัดออกให้มันหมด อะไรควรละอะไรควรเจริญ ไม่ต้องไม่ต้องไปถามใครเสียอีก สติปัญญาจะหมั่นดูใจแก้ไขใจ ถามใจหมั่นพร่ำสอนใจตลอดเวลา
รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหล่ะจะกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา หมั่นพร่ำสอนใจเรามันมีไม่มากหรอก จะว่ามากก็มากมันมากสำหรับบุคคลที่มีความคิดมาก มันน้อยสำหรับบุคคลที่ฝักใฝ่สนใจรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วก็กำจัดออกให้มันหมด จะเอาจะมีจะเป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ก็พยายามนะหลวงพ่อก็เป็นแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านไม่ไปทำก็จะไม่เข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา