หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 062
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 062
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ไม่ต้องไปรีบร้อนอะไรหยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็น้อมสำเหนียก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว หายใจเข้าให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าไปบังคับลมหายใจ หายใจออกก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ในหลักธรรมนั้นแหละท่านเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ความรู้ตัว ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกความรู้ตัวตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความไม่เคยชิน ความคิดเก่าปัญญาเก่าของเรา ก็เลยเกิดก่อน ปัญญาใหม่ความรู้ตัวตัวใหม่ก็เลยไม่ทัน
ท่านถึงให้มีความเพียรในการสร้างตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องเราก็จะรู้อะไรดีๆ อีกเยอะในกายของเรา รู้ความปกติของใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ฐานของใจ รู้อาการของความคิดที่จะมาปรุงแต่งใจ ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นแหละเขาเกิดอย่างไร แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดหรือว่าเกิดขึ้นจากใจของเราโดยตรง นี่แหละความรู้ตัวหรือว่าสติปัญญาตัวใหม่นี้มีน้อยนิดถึงรู้ไม่เท่าทันตรงนั้น
เพียงแค่สร้างกับทำให้ต่อเนื่องพวกเราก็ไม่ค่อยจะฝึกฝนกัน อาจจะทำได้อยู่เป็นบางช่วงเป็นบางครั้ง บางคราวใจของเราก็ปกติ บางคราวใจของเราก็สงบอยู่ แต่เราขาดสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ ก็เปรียบเสมือนกับเรือไม่มีคนพาย แล้วก็วิ่งชนนู้นบ้างวิ่งชนนี้บ้างไปตามยถากรรม ถ้ากุศลกรรมดีก็ไปตามกุศลกรรม ถ้าอกุศลกรรมไม่ดีก็ไปตามอกุศลกรรมเขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ ลึกๆลงไปก็ขันธ์ห้านั่นแหละเป็นตัวกรรม มาปรุงแต่งใจให้ต้องวนเวียนว่ายตายเกิด แล้วก็ตัวเกิดจากตัวใจที่ยังเกิดอยู่ เพียงแค่การเกิดนี่ก็หลง หลงเกิด อาจจะหลงเกิดอยู่ในบุญในกุศล หลงเกิดอยู่ในมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ
แต่ในหลักธรรมท่านให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คลายความหลงดับความเกิดละกิเลสออกจากใจของเรา เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อของเขาว่ากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราต้องสำรวจทำความเข้าใจหมดในกายของเราขณะที่ยังมีกำลังอยู่ยังมีลมหายใจอยู่ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องหลักของอริยสัจ สอนเรื่องหลักของอนิจจังทุกขังอนัตตา สอนเรื่องอัตตาสอนเรื่องอนัตตา สอนเรื่องสมมติวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ
คำว่าหลักของอริยสัจเป็นอย่างไร ใจที่ส่งออกไปข้างนอกเป็นอย่างไร หลักของการเดินทางอริยมรรคในองค์แปด หนทางที่จะเดินถึงจุดหมายปลายทางเป็นอย่างไร เราต้องค้นคว้าทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แล้วก็มองเห็นหนทางเดิน หมดความสงสัย หมดความลังเลในคำสอนของพระพุทธองค์ ทำให้มีให้เกิดขึ้น เร่งทำความเพียรจนใจของเราสะอาดบริสุทธิ์หมดจดจนดับความเกิดได้ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทำได้เท่าไรเราก็ต้องพยายามทำ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างอานิสงส์อะไรบ้าง เราได้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตาดู รู้กายรู้ใจของเรา ความอ่อนน้อมถ่อมตนในใจของเรามีหรือไม่ ในกายของเรามีหรือไม่ ความเสียสละ ความรับผิดชอบต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม เรามีความขยันเพียงพอหรือไม่ มีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอนเราสอนตัวเอง
เจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนตัวเราเอง อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทำหน้าที่อย่างไร เราก็จะมองเห็นความจริง ไม่ใช่ว่าหาตั้งแต่กิเลสมาปกปิดดวงจิตของตัวเราเอาไว้ จิตของเราก็เหมือนกัน เร็วๆ เร็วไวเหมือนกับลิง เขาชอบคิดชอบเที่ยว เพราะว่าเขาหลงเกิดมานาน เขาก็หาทางหนทางปกปิดตัวเองมามากต่อมาก
นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติปัญญา มีอานิสงส์ปัญญาที่แหลมคม หาเหตุหาผลจนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ คลายความหลงได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ละกิเลสออกจากตัวตนของมันได้ จนรู้ฐานของเขานั่นแหละ จนจับตัวตนของจิตได้นั่นแหละคือความว่าง ความบริสุทธิ์ได้นั่นแหละ จนสติปัญญาของเราไล่ทันได้เมื่อไรนั่นแหละ ตัวจิตตัววิญญาณของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะอยู่ในอาณัติอยู่ในการควบคุมดูแลของสติปัญญาของเราได้
เราก็ต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามทำ ทำไปทีละเล็กทีละน้อย สร้างบุญสร้างอานิสงส์ไป อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมด อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เวลานู้นควรทำเวลานี้ควรทำ ตื่นขึ้นมาเมื่อไรเราดูใจรู้กายรู้ใจของเรา ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน พยายามทำกันไม่เหลือวิสัย
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ศึกษาค้นคว้าตามความเข้าใจกันนะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจกันมากเลยทีเดียว หายใจเข้าให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าไปบังคับลมหายใจ หายใจออกก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ในหลักธรรมนั้นแหละท่านเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ความรู้ตัว ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เราพยายามฝึกความรู้ตัวตรงนี้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความไม่เคยชิน ความคิดเก่าปัญญาเก่าของเรา ก็เลยเกิดก่อน ปัญญาใหม่ความรู้ตัวตัวใหม่ก็เลยไม่ทัน
ท่านถึงให้มีความเพียรในการสร้างตรงนี้ให้ได้เสียก่อน ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องเราก็จะรู้อะไรดีๆ อีกเยอะในกายของเรา รู้ความปกติของใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ฐานของใจ รู้อาการของความคิดที่จะมาปรุงแต่งใจ ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นแหละเขาเกิดอย่างไร แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดหรือว่าเกิดขึ้นจากใจของเราโดยตรง นี่แหละความรู้ตัวหรือว่าสติปัญญาตัวใหม่นี้มีน้อยนิดถึงรู้ไม่เท่าทันตรงนั้น
เพียงแค่สร้างกับทำให้ต่อเนื่องพวกเราก็ไม่ค่อยจะฝึกฝนกัน อาจจะทำได้อยู่เป็นบางช่วงเป็นบางครั้ง บางคราวใจของเราก็ปกติ บางคราวใจของเราก็สงบอยู่ แต่เราขาดสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ ก็เปรียบเสมือนกับเรือไม่มีคนพาย แล้วก็วิ่งชนนู้นบ้างวิ่งชนนี้บ้างไปตามยถากรรม ถ้ากุศลกรรมดีก็ไปตามกุศลกรรม ถ้าอกุศลกรรมไม่ดีก็ไปตามอกุศลกรรมเขาเรียกว่า ‘วิบากกรรม’ ลึกๆลงไปก็ขันธ์ห้านั่นแหละเป็นตัวกรรม มาปรุงแต่งใจให้ต้องวนเวียนว่ายตายเกิด แล้วก็ตัวเกิดจากตัวใจที่ยังเกิดอยู่ เพียงแค่การเกิดนี่ก็หลง หลงเกิด อาจจะหลงเกิดอยู่ในบุญในกุศล หลงเกิดอยู่ในมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ
แต่ในหลักธรรมท่านให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คลายความหลงดับความเกิดละกิเลสออกจากใจของเรา เราอาจจะรู้ตั้งแต่ชื่อของเขาว่ากิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราต้องสำรวจทำความเข้าใจหมดในกายของเราขณะที่ยังมีกำลังอยู่ยังมีลมหายใจอยู่ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องหลักของอริยสัจ สอนเรื่องหลักของอนิจจังทุกขังอนัตตา สอนเรื่องอัตตาสอนเรื่องอนัตตา สอนเรื่องสมมติวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ
คำว่าหลักของอริยสัจเป็นอย่างไร ใจที่ส่งออกไปข้างนอกเป็นอย่างไร หลักของการเดินทางอริยมรรคในองค์แปด หนทางที่จะเดินถึงจุดหมายปลายทางเป็นอย่างไร เราต้องค้นคว้าทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา แล้วก็มองเห็นหนทางเดิน หมดความสงสัย หมดความลังเลในคำสอนของพระพุทธองค์ ทำให้มีให้เกิดขึ้น เร่งทำความเพียรจนใจของเราสะอาดบริสุทธิ์หมดจดจนดับความเกิดได้ มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ก็ต้องพยายามกันนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทำได้เท่าไรเราก็ต้องพยายามทำ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างอานิสงส์อะไรบ้าง เราได้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง หมั่นสำรวจหมั่นตรวจตาดู รู้กายรู้ใจของเรา ความอ่อนน้อมถ่อมตนในใจของเรามีหรือไม่ ในกายของเรามีหรือไม่ ความเสียสละ ความรับผิดชอบต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม เรามีความขยันเพียงพอหรือไม่ มีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ ไม่ต้องให้คนอื่นเขาสอนเราสอนตัวเอง
เจริญสติเข้าไปหมั่นพร่ำสอนตัวเราเอง อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทำหน้าที่อย่างไร เราก็จะมองเห็นความจริง ไม่ใช่ว่าหาตั้งแต่กิเลสมาปกปิดดวงจิตของตัวเราเอาไว้ จิตของเราก็เหมือนกัน เร็วๆ เร็วไวเหมือนกับลิง เขาชอบคิดชอบเที่ยว เพราะว่าเขาหลงเกิดมานาน เขาก็หาทางหนทางปกปิดตัวเองมามากต่อมาก
นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติปัญญา มีอานิสงส์ปัญญาที่แหลมคม หาเหตุหาผลจนจิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ คลายความหลงได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ละกิเลสออกจากตัวตนของมันได้ จนรู้ฐานของเขานั่นแหละ จนจับตัวตนของจิตได้นั่นแหละคือความว่าง ความบริสุทธิ์ได้นั่นแหละ จนสติปัญญาของเราไล่ทันได้เมื่อไรนั่นแหละ ตัวจิตตัววิญญาณของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะอยู่ในอาณัติอยู่ในการควบคุมดูแลของสติปัญญาของเราได้
เราก็ต้องพยายามกัน มันไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามทำ ทำไปทีละเล็กทีละน้อย สร้างบุญสร้างอานิสงส์ไป อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมด อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เวลานู้นควรทำเวลานี้ควรทำ ตื่นขึ้นมาเมื่อไรเราดูใจรู้กายรู้ใจของเรา ประโยชน์สมมติประโยชน์วิมุตติ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เอาโลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน พยายามทำกันไม่เหลือวิสัย
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ศึกษาค้นคว้าตามความเข้าใจกันนะ