หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 114

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 114
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 114
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ​ นะพระเราชีเราก่อนที่จะขบจะฉันพิจารณาปฏิสังขาโย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารู้ไม่เท่าทันใจของเราขณะตื่นขึ้น เราก็รู้ขณะปัจจุบันขณะนี้ขณะพิจารณาจะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ใจของเราเกิดความอยากเราก็รู้จักควบคุม เกิดความยินดียินร้ายเราก็รู้จักควบคุม ยิ่งกายหิวตัวใจหรือว่าตัววิญญาณมันจะสั่ง​ จะสั่งเร็วไวเอาอันโน้นเอาอันนี้ อันโน้นก็อร่อยอันนี้ก็อร่อย ก็บอกว่าอย่างนั้นเอาน้อยๆ กลัวไม่อิ่ม มันบอกว่าเอาเยอะๆ กิเลสมันสั่ง บอกว่าเอาเยอะๆ ว่าอย่างนั้นนะ เราก็พยายามควบคุมพยายามดับพยายามละ หยุดให้สงบหยุดให้นิ่งแล้วก็ค่อยวิเคราะห์พิจารณาด้วยปัญญา กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง​ ทุกเรื่องไม่ใช่ว่าเฉพาะเรื่องอาหารอย่างเดียว

ตากระทบรูป​ตัวใจเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงตัวใจเป็นอย่างไร การปรุงแต่งของใจการเกิดของใจเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ความคิดที่มาปรุงแต่งใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด เขาผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ทุกเรื่อง เพียงแต่ความรู้ตัวเขาขาดอย่างไร ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็พยายามเริ่มให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ ขับถ่าย จนเอาไปใช้รู้เท่าทันใจของตัวเรา​ การควบคุมใจ​ การละกิเลสการคลายความหลง เราก็ต้องพยายาม พยายามหมั่นทำหมั่นสร้างหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ ทั้งภาระหน้าที่สมมติต่างๆ

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ก็นับว่ามีบุญอยู่ระดับหนึ่ง แต่ความหลงนั่นแหละถึงได้เกิด เกิดทางกายเนื้อเขาก็เกิด ทีนี้เกิดทางด้านวิญญาณเขาก็เกิด แต่กำลังสติของเรามีน้อยเราเลยไม่รู้ลึกเข้าไปเห็นถึงฐานถึงต้นเหตุ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องเหตุ เหตุอยู่ตรงไหน เราพยายามวิเคราะห์ให้ถึงเหตุเห็นเหตุ เหตุส่วนนามธรรมส่วนรูปธรรมเขามีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะวิเคราะห์ได้เห็นเท่ารู้เท่าทันหรือไม่เท่านั้นเอง

กายเนื้อนี่ก็มาปกปิดดวงใจเอาไว้ เพราะว่าใจเป็นตัวมาก่อภพของมนุษย์แล้วก็มีกายเนื้อมีหนังมาห่อหุ้มเอาไว้ ลึกลงไปตัวใจเขาก็อยู่กลางใจ เข้ามาอาศัยกายเนื้ออยู่เหมือนกับมาอาศัยเรือนร่างอาศัยถ้ำอยู่ แล้วเขาก็แล้วเขาก็ออกหนีไปเที่ยว เลยเที่ยวที่โน่นเที่ยวที่นี่ก็กลับมาอยู่ในกายของเรา กำลังสติปัญญาที่แหลมคมเร็วไวถึงจะรู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักชำระสะสางกิเลสออกจากใจ คนส่วนมากก็แสวงหา แสวงหามาเพิ่มแต่เพิ่มแต่ส่วนมากก็เพิ่มไปทางบุญทางกุศลกัน บางทีก็เป็นอกุศล

ในหลักธรรมท่านให้สังเกตให้วิเคราะห์แยกแยะ คลายออกจนถึงฐานเดิมค่อยยังประโยชน์ยังกุศลให้มีให้เกิดขึ้นแต่ไม่ให้หลงไม่ให้ยึด ให้อยู่กับสมมติแต่ไม่ยึดติดสมมติเคารพสมมติ อะไรควรละควรเจริญ อะไรประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล พากันหัดวิเคราะห์หัดสำรวจหัดสำรวมทำความเข้าใจ จัดระบบระเบียบทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจให้เรียบร้อยก่อนที่ธาตุขันธ์เขาจะแตกจะดับ

ทุกคนมีโอกาสที่จะเข้าถึงกันหมด แต่จะเข้าถึงช้าเข้าถึงเร็วขึ้นอยู่กับความเพียรที่ถูกต้อง เพราะว่าทุกคนก็มีรูปมีนาม มีธาตุขันธ์ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟเหมือนกันหมด แต่สมมติอาจจะต่างกันบางคนก็ลำบาก บางคนก็มีเพียบพร้อมเพราะว่าสร้างสมมติมาดี ทีนี้การทำความเข้าใจอยู่กับปัจจุบัน เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจให้กระจ่างทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าจะไปปฏิบัติตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ

การเจริญสติ​ ลักษณะของสติเป็นอย่างไร สติที่ต่อเนื่องนั้นเป็นอย่างไร การควบคุมใจเป็นอย่างไร คนที่มีบุญมีอานิสงส์มีปัญญา รู้นิดๆ หน่อยๆ ก็ไปทำให้มีให้เกิดขึ้นก็จะค่อยรู้มากขึ้นรู้มากขึ้นจนรู้ถึงฐานของใจ อะไรควรละอะไรควรเจริญ มองเห็นเหตุเห็นผล อยู่คนเดียวก็เข้าถึงได้ถ้าคนฝักใฝ่ แต่ไม่ฝักใฝ่ด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัววิญญาณ คนไทยใจบุญไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พากันฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน มีโอกาสอยู่ที่ไหนก็พากันทำ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทำบุญให้กับตัวเราทำบุญให้กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำบุญให้กับพี่กับน้อง ทำบุญให้กับตัวเราก่อน

ตื่นขึ้นมาแต่ละวัน เรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ หมั่นพร่ำสอนกายพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลาจะได้อยู่กับบุญ บุญสมมติเราก็ทำ อย่างเรามาวัดนี้เราก็มาทำบุญสมมติทางด้านสมมติกันมีความเสียสละ ถ้าความเสียสละเราไม่มีเราก็คงจะมาวัดไม่ได้ วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านทางช่อง บางคนบางท่านก็อยู่ใกล้ บางคนบางท่านก็อยู่ไกล บางคนบางท่านก็อยู่ถึงกรุงเทพฯ ก็พากันมาเพราะว่าใจเป็นบุญ ทีนี้เราก็มาหยุดความเกิดของใจให้อยู่กับบุญ

ใจนี่ก็แปลกนะถ้าไม่ฝึกไม่หัดไม่ขัดเกลาเขาก็วิ่งเขาก็เกิดอยู่อย่างนั้น ถ้าเราหยุดเราดับหาเหตุหาผลให้เขารู้เห็นตามความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา หลงโน่นหลงนี่เขาก็ไม่หลง ถ้ากำลังสติปัญญาหาเหตุหาผลไม่เพียงพอเขาก็เกิดอยู่อย่างแหละ ทั้งที่รู้ๆ หลงอยู่ในความรู้อยู่ หลงเกิดอยู่ เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นทำความเข้าใจ

ตนถึงเป็นที่พึ่งของตน คือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาเป็นที่พึ่งของใจ แล้วก็บริหารกายทำความเข้าใจกับสมมติให้เรียบร้อยก็จะอยู่ดีมีความสุข กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การสำรวมทวารทั้งหกเป็นอย่างนี้ ตื่นขึ้นมาเราก็หัดวิเคราะห์หัดสังเกต อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ทำปัจจุบันให้ดีอนาคตก็จะออกมาดี

คำสอนของพระพุทธองค์นั้น​มีชัดเจนมีชัดเจนมาก ท่านสอนเรื่องหลักของอริยสัจ การเกิดการดับ สอนเรื่องอัตตาสอนเรื่องอนัตตา คำว่าอัตตาเป็นอย่างไรอนัตตาเป็นอย่างไร การละการเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราจะเดินวิธีไหนท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้หมด ด้วยการเจริญตามทางในอริยมรรคในองค์แปด เพียงแค่ข้อแรกพวกเรายังทำไม่กระจ่างเลยคือสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง​

ความรู้แจ้งเห็นจริงในหลักธรรมของพระพุทธองค์นั้น ต้องคลายวิญญาณออกจากอาการของขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน นี่แหละถึงเรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริงตรงนี้ให้ได้เสียก่อนคือแยกรูปแยกนาม พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ​ เพียงแค่ดำเนินเห็นความจริงข้อแรก แล้วก็ดำเนินตามทางดูรู้การเกิดการดับให้กระจ่างถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็ละ

แต่คนทั่วไปนั้นก็รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ระดับของสมมติถูกต้องในระดับของสมมติ แต่วิญญาณยังไม่ได้คลายยังไม่ได้พลิก ยังไม่ได้หงายออกจากอาการของขันธ์ห้า การเสียสละ​ การเจริญพรหมวิหารอันนั้นมีกันเต็มเปี่ยม แต่ดับความเกิดของตัววิญญาณยังไม่เด็ดขาด คลายวิญญาณออกจากอาการของวิญญาณไม่ได้เด็ดขาด ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์

ถ้าเรารู้เราเจริญสติให้ต่อเนื่อง แยกได้รู้ได้เห็นได้หมดความสงสัยนั่นแหละ จะสอนใจของตัวเองทุก ตลอดเวลา ไม่ให้ปล่อยวันเวลาทิ้งนอกจากจะนอนหลับ ถ้ากำลังสติปัญญาของเราเร็วไวทั้งกลางค่ำกลางคืนแม้กระทั่งในนิมิตร ก็ตามดูรู้เห็นหมดทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปฟังมากไปพูดมาก พูดน้อยปฏิบัติฝึกขัดเกลาให้มากๆ หมั่นพร่ำสอนตัวเรา ไม่ต้องจำเป็นต้องให้คนอื่นเขาสอนเราหรอก เราสอนตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุมรู้จักระงับรู้จักดับเอาไว้ แต่อยู่ที่ไหนก็มีความสุข

มาวัดก็ดูตั้งแต่ใจ ใจของเราเป็นอย่างไร สติปัญญาเป็นตัวพามาหรือว่าใจความอยากที่เกิดจากตัวใจเป็นตัวพามา เราก็จะได้เห็นชัดเจน แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา มีความสุขอยู่ตลอดเวลาขณะทำงานทำการทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องว่าไปฟังธรรมที่โน่นฟังธรรมที่นี่ เราฟังธรรมอยู่ที่ใจของเราตลอดเวลา มีสติปัญญาเข้าไปดูว่าใจเกิดอย่างไร เราละกิเลสได้มากน้อยเท่าไร รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็เป็นอาจารย์คอยสอนธรรมะให้เรา มีสติคอยตรวจสอบสติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ เป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราหมั่นพร่ำสอนใจของเรา

สภาวะทางสมมติเราอิงอาศัยกันได้ช่วยเหลือกันได้อยู่ในระดับหนึ่ง แต่การละกิเลสการขัดเกลา เราต้องขัดเกลาตัวเราไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ ใช้อย่างนั้นมีความเห็นผิดอย่างยิ่งเลยทีเดียว เราต้องพยายามสร้างความเห็นถูกภายในของเรา รู้ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลส รู้ลักษณะของใจที่ไม่เกิด รู้ลักษณะของใจที่ปล่อยวาง ส่วนมากก็ได้แต่ข่มกับควบคุม

แต่การแยกแยะรู้เห็นตามความเป็นจริงตามดูรู้ทุกเรื่อง ตรงนี้มีน้อยมีน้อยก็ต้องพยายามเอา ได้มากได้น้อยก็ต้องพยายาม ไม่หลุดพ้นในภพนี้ก็ต้องไปหลุดพ้นในภพหน้า มันไม่หลุดพ้นในวันนี้ก็ต้องไปหลุดพ้นในวันข้างหน้าตราบใดที่เรายังดำเนินอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวหาธรรมะที่โน่นเที่ยวหาธรรมะที่นี่ ถ้าเราไม่ดูภายในกายในใจของเรา ถ้าเรารู้เราเห็นหมดความสงสัยไม่ต้องไปวิ่งไปหาที่ไหน การไปการมาก็เป็นเรื่องของปัญญา ไปแสวงเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนสถานที่หากายวิเวก วิเวกจากสมมติต่างๆ แต่ใจของเราวิเวกจากกิเลส วิเวกจากการเกิด วิเวกจากความยึดมั่นถือมั่นแล้วหรือยังตรงนี้สำคัญ ก็ต้องพยายามกัน พยายามกันมีเท่าไรก็ต้องคลายออกให้หมด มีเท่าไรก็คลายออกจากใจของเราให้หมดให้เขากลับคืนสู่สภาพเดิมคือความบริสุทธิ์

ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็น จะมีมากมีน้อยก็เป็นเรื่องปัญญา สนุกสร้างบุญสร้างบารมีสร้างอานิสงส์กัน เราทำมากก็ย้อนกลับมาหาเรามาก คนไหนเคยสร้างบุญสร้างบารมีเอาไว้ก็ไม่เคยอดไม่อยากไม่ลำบาก คนไหนที่ไม่เคยสร้างเอาไว้ก็ทั้งอดทั้งอยากทั้งลำบาก แต่ก็พยายามสร้าง เพียงแค่ความคิดก็ทำให้มองโลกในทางที่เป็นกุศล ถ้าเป็นอกุศลเราก็พยายามละก็พยายาม หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังแล้วก็พาทำ การละกิเลสแยกรูปแยกนามการทำความเข้าใจอยู่กับสมมติ

ทุกคนมีกิเลสกันหมด เพราะว่ากายนี่แหละเป็นก้อนกิเลสที่เป็นผลพวงจากการก่อภพก่อชาติของตัววิญญาณ ทีนี้เขามาก่อภพก่อชาติตรงนี้แล้ว เราไปจัดการไม่ให้เข้าไปก่อภพก่อชาติอีกดับตัววิญญาณโน่น ละกิเลสคลายความหลงออกจากตัววิญญาณ แล้วก็ดับความเกิดของวิญญาณละกิเลสออกจากวิญญาณ ดับความเกิดของวิญญาณให้เหลือตั้งแต่กายเนื้อ กายเนื้อแตกดับแล้วก็วิญญาณก็ไม่ได้ไปเกิดที่ไหน เพราะว่าเราดับความเกิดให้มันหมดจด ตราบใดที่ยังดับความเกิดไม่ได้ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่เสียที่เสียเที่ยวจะไม่ได้ตกสู่ที่ลำบาก สูงขึ้นไปก็สร้างกุศลแต่ไม่ให้ลงไม่ให้ยึด ให้ใจนั่นแหละอยู่กับกองบุญเลยคือกับความบริสุทธิ์

ตั้งใจรับพรกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง