หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 100

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 100
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 100
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ วางกายให้สบายวางใจให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สักสองสามเที่ยวอย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ หรือว่าผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นแค่เพียงอุบาย ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้นอยู่ในกายของเรา ความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน

เวลาลมสัมผัสปลายจมูกของเรา เราความรู้หรือรับรู้อยู่นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะเข้าไปทำความเข้าใจในรายละเอียดอีกเยอะ สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเราต้องพยายามสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มีก็ต้องสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องอย่าไปเกียจคร้าน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออกซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ พวกเราก็ขาดการสนใจกัน

ความคิดที่เกิดจากตัวใจหรือว่าเกิดจากตัววิญญาณนั้นเขามีมาตั้งแต่เดิม ความคิดที่เกิดจากอาการของขันธ์ห้านั้นเขาก็มีมาตั้งแต่เดิม เขาหลงมา การเกิดก็หลงมาเกิดวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ แต่เวลานี้เขามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เขามาสร้างภพของมนุษย์อยู่มีกายเนื้อมีหนังมาห่อหุ้มอยู่ซึ่งเป็นส่วนรูปธรรม

ส่วนนามธรรม ตัวใจตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณ ตรงนั้นแหละเราต้องเจริญสติเน้นลงอยู่ที่กายของเราเพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทัน ว่าลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่หลงความคิดหลงอารมณ์เป็นอย่างไร เราต้องสังเกตหาเหตุหาผล จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

เพียงแค่แยกรูปแยกนาม เพียงแค่เริ่มต้นของการรู้เห็นตามความเป็นจริง รู้ต้นเหตุของความหลง คลายความหลง ยังแก้ไขได้ ถ้าเราถ้ากําลังสติของเราขาดการตามทำความเข้าใจก็ยากที่จะรู้ความเป็นจริงอีก ไม่ใช่ว่าแยกได้คลายแล้วเขาจะจบอยู่เพียงแค่นั้น เพียงแค่แยกได้คลายได้เพียงแค่เริ่มต้น เริ่มต้นของการรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฐิความรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจเราก็ไม่รอบรู้ในกองสังขาร ไม่รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเอง แล้วก็ดับความเกิดของกิเลสที่เกิดจากใจอีก

ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจหาเหตุหาผล ตามดูเหตุตามดูผลว่าเขาเกิดอย่างไรเขาไปอย่างไร อะไรคือขันธ์ห้า อะไรคือขันธมาร อะไรคือกรรม วิบากของกรรม การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล ถ้าเราขาดการตามทำความเข้าใจที่ถูกต้องก็ยากที่จะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ เลย ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร เพียรที่ถูกที่เพียรที่ถูกทางแล้วก็เจริญตบะเจริญบารมีให้เต็มที่ ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ปัญญาอย่างเดียว

เราละกิเลสได้หรือไม่ เราละกิเลสความโลภความโกรธ เราละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดออกจากใจของเราได้หรือไม่ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้อย่างแน่นหนาเลยทีเดียว กายเนื้อก็ปิดกั้นดวงใจเอาไว้ ความคิดอารมณ์ ความโลภความโกรธ ความยินดียินร้าย สารพัดอย่างเขาก็ปิดกั้นดวงใจเอาไว้ แม้แต่ตัวใจจริงๆ เขายังปิดบังอําพรางตัวเอง เขายังเกิดอยู่ยังปรุงแต่งยังส่งออกไปภายนอกอยู่ นั่นแหละถ้าเขาไม่หลงเขาคงไม่เกิด เขาหลงเขาถึงเกิด แม้ตั้งแต่ฝ่ายกุศลการเกิดทุกชนิดสําหรับตัวใจแล้วอย่าให้มีเลย เราพยายามดับพยายามละ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงตัวของเขา แม้แต่กิเลสละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามดับพยายามละ ฝึกไปฝึกมามันก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ค่อยๆ ละ

เราจะไปมองโลก คนโน้นเป็นอย่างนั้นบ้างคนนี้เป็นอย่างนี้บ้าง นั่นแหละมลทิน ยกตัวเองสูงมองเห็นคนอื่นต่ำ มองเห็นคนอื่นสูงมองเห็นตัวเราต่ำ อคติเพ่งโทษทั้งที่เกิดจากตัวใจของเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียดพวกนี้แหละเป็นเครื่องกางกั้นใจของเราไม่ให้รับความสงบ พวกนิวรณธรรมต่างๆ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอได้ยังไง ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความกําหนัด ยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง เราต้องรู้จักจําแนกแจกแจงให้ชัดเจน

กายของเรานี่ประกอบขึ้นมาด้วยทวารทั้งหกเขาทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง การแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเราเป็นลักษณะอย่างไร กําลังสติความรู้ตัวของเราก็ต้องตามดูตามรู้ตามเห็น รู้ให้ชัดเจนแล้วก็ดับความเกิดของใจของเราให้อยู่ในกายของเรา ใจของเราปรุงแต่งเขาก่อตัวยังไง เราดับได้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุหรือว่าระงับได้ทั้งกายทั้งวาจา ไม่แสดงออกมาทางกายทางวาจา ใช้ปัญญาทุกสิ่งทุกอย่างที่จะแก้ไขที่จะเข้าไปปรับปรุงอยู่ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก

ตามดูรู้เห็นทุกขณะใจ เขาเรียกถึงเรียกว่าทุกขณะใจทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก ก่อนที่จะเป็นทุกขณะได้กําลังสติก็ต้องตาม ค้นคว้าหาเหตุหาผลจนหมด สิ่งที่จะเข้าไปแก้ไข จนเป็นเองในธรรมชาติของใจนั่นแหละ ใจไม่เกิด เขารู้ความจริงเขาคงไม่เกิดเขาก็ไม่หลง แต่เวลานี้ทั้งเกิดด้วยหลงด้วยสารพัดอย่าง กําลังสติของเรานี้มีไม่เพียงพอแล้วก็ไม่ค่อยจะได้สร้างกัน เอาตั้งแต่ความนึกความคิดปัญญาหาเหตุหาผลแบบโลกียแบบโลกๆ นั่นแหละยิ่งห่างไกลดวงใจของตัวเอง เรารู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้

พระพุทธองค์ท่านสอนลงเข้าไปหาเหตุ เจริญสติเข้าไปดูเหตุดูผลหาเหตุหาผล ตามดูรู้แจ้งเห็นจริงจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้นั่นแหละจนอยู่อุเบกขา จนดับความเกิดละความเกิดได้หมดนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าจะไปเหมาเอารวมกัน ซึ่งเขาก็อยู่ด้วยกันกายกับใจก็อยู่ด้วยกัน กายของเราก็ยังอาศัยสมมติอาศัยโลกธรรมอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเกิดจากใจของเรา

เราเจริญสติเน้นลงที่ฐานของใจของเรา เขาก่อตัวตรงไหนเราดับตรงนั้นแหละเขาก็จะถึงตัวของเขา ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้อย่างไรเรื่องอะไรที่มันเกิด เราต้องดูรู้เหตุรู้ผล ตามดูจนหมดความสงสัยหมดทุกอย่าง ทั้งอยากไปอยากมา ไม่อยากไปไม่อยากมา กระทั่งในเรื่องการรับประทานข้าวปลาอาหารการขบการฉัน อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นที่ใจของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องไปกังวลไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ธรรม

ตัวใจนั่นแหละคือธรรม ในความว่างนั้นมีตัวใจอยู่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามหาเหตุหาผล อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เราต้องบอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นแก้ไขตัวเราให้ได้ ถ้าเรารู้เหตุรู้ผลหมดความสงสัย มีตั้งแต่ตามค้นคว้าตามละออกให้มันหมดจากจิตจากใจของเรา จะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราต้องเจริญสติเข้าไปสอนใจของเรา อะไรผิดอะไรถูกเราก็รีบแก้ไข รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้

การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ทุกคนฝักใฝ่กันมา การละกิเลสก็มีอยู่บ้าง บางคนก็ละได้มากบางคนก็ละได้น้อย บางคนก็เหลือตั้งแต่กิเลสละเอียด บางคนก็ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียดคลุกเคล้ากันอยู่ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่เราก็ยิ่งละออกจากใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจของเรา ใจของเราดีถึงภายนอกไม่ดีใจของเราก็ดีจะเหมือนเดิม ใจของเราไม่ดีถึงภายนอกดีถึงขนาดไหนใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม เราต้องแก้ไขที่ใจของเรา แล้วก็การกระทำของเราให้ถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ทำแต่ไม่รู้จักธรรม ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักว่าธรรมคืออะไร ความหมายของการปฏิบัติอยู่ที่ไหน ศีลสมาธิเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจ ถ้าเราแยกรูปแยกนามหรือว่าตัววิญญาณตัวใจของเราคลายออกจากความคิดได้เราก็หมดความสงสัย

แต่เราต้องตามทำความเข้าใจ ละกิเลสออกจากใจของเราให้หมดอีก ไม่ใช่ว่าทำแบบลุ่มๆ ดอนๆ มันก็ได้ลุ่มๆ ดอนๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทุกข์บ้างสุขบ้าง ทุกข์บ้างสุขบ้าง ต้องอยู่เหนือทุกข์เหนือสุข ต้องยกระดับใจของเราให้มองเห็นตามความเป็นจริง ไม่เอาอะไรสักอย่าง ความไม่เอานั่นแหละจะได้ ถ้าเรายังเอาอยู่มันไม่ได้หรอก

เราพยายามละพยายามคลายใจ เกิดเมื่อไหร่เราก็ดับเมื่อนั้น ใจมีกิเลสเมื่อไหร่เราก็ละเมื่อนั้นแหละ มีความคิดเข้ามาเมื่อไรเราก็สังเกตดู ความคิดเกิดจากส่วนปัญญาหรือว่าเกิดจากอาการของขันธ์ห้า หรือว่าเกิดจากตัวใจ เราต้องตามค้นคว้าจําแนกแจกแจง สําหรับปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนานี้เราต้องพยายามหัดเอาไปวิเคราะห์ หัดสร้างขึ้นมาหัดเอาไปใช้จนกว่าจะเต็มรอบได้เป็นมหาสติมหาปัญญาได้ ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ หลวงพ่อเป็นแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง