หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 085
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 085
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ฝึกให้เป็นธรรมชาติในการดูในการรับรู้ ในการวิเคราะห์ในการพิจารณา
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติ เราไม่ได้ทำความเข้าใจกับความหมายของการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะรู้ใจ รู้ฐานของใจ รู้ชีวิตของเรา ทั้งที่ใจของเรานั้นก็ฝักใฝ่ในบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ฝักใฝ่อยากจะรู้ธรรม แต่เขายังเกิดอยู่ การเกิดนั่นแหละถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขาอาจจะเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลแต่การเกิดเขาก็มีอยู่ ความเกิดก็ปิดกั้นอำพรางตัวเขาเอาไว้อยู่ในระดับขั้นเริ่มต้นเลยทีเดียว
เพียงแค่วิญญาณเกิดหรือว่าจิตเกิดใจก็ไม่เที่ยงใจก็ไม่นิ่ง ทีนี้ก็มีอาการของความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจอีกซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน ตัวใจกะอาการของใจรวมกันไปเป็นสิ่งเดียวกัน เขารวมกันไปแล้วเราถึงรู้ว่าเป็นว่าเราคิดว่าเราทำ เขาหลงตัววิญญาณหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว หลงเกิดแล้วก็หลงอยู่ในความคิดจนเป็นสิ่งเดียวกัน
กำลังสติกำลังรู้ตัว ความรู้สึกตัวรับรู้อยู่ปัจจุบันเรามีน้อยแล้วก็ขาดการสังเกต เราความเคยชินเก่าๆ ความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ทิฏฐิความเห็นในทางโลกิยะในทางโลกตรงนี้ เขาก็เลยปิดกั้นดวงวิญญาณของเราเอาไว้ กายเนื้อก็มาปิดกั้นดวงใจเอาไว้ ความคิดหรือว่ากองสังขารที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาก็มาปิดกั้นดวงใจของเราเอาไว้ การเกิดของใจเขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้
เราต้องเจริญสติเข้าไปสังเกต สังเกตไม่ทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะได้ไม่มีปัญญา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม เราพยายามหัดสร้างความรู้ตัวให้ได้ให้ต่อเนื่อง เราก็รู้จักเอาไปใช้ให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต รู้ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดจิตที่ปกติเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีความกังวล ไม่มีความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ถ้าความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะเห็น เพียงแค่เห็นให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ แล้วก็ใจของเราก็จะคลายออกจากขันธ์ห้าออกจากความคิด
อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูกซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก เห็นถูกยังไม่พอความรู้ตัวของเราต้องตามดูตามรู้ตามเห็นให้ได้ทุกเรื่องอีก ไม่ใช่ว่ารู้แล้วปล่อยปละละเลย ใจจะเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจจะส่งออกไปภายนอกเราก็ดับเราก็หยุด หนุนกำลังความรู้ตัวของเรานี่แหละ ไปคิดไปพิจารณาแทน แต่ละวันตื่นขึ้นมาแล้วก็พยายามรีบสำรวจ
เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ ภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราขาดตกบกพกบกพร่องตรงไหน เราก็พยายามรีบแก้ไขเสีย อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง สิ่งพวกนี้เราจะไปบังคับกันไม่ได้เลย เราต้องพยายามหัดสำรวจหัดวิเคราะห์ตัวเรา ตัวเรานั่นแหละต้องขยันหมั่นเพียรไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นเขาพาบังคับ เราต้องเดินอย่างนั้นนั่งอย่านี้ ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ความรู้สึกตัวหรือว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมรู้จักระงับยับยั้งเอาไว้
การยังประโยชน์ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ ก็จะส่งผลถึงระดับจิตใจให้เราได้มีความสุข เราก็ต้องพยายามกัน ไม่ใช่ว่าจะไปรอเวลาโน้นรอเวลานี้ ฉันจะปฏิบัติธรรมที่นู่นปฏิบัติธรรมที่นี่ เราก็ลงอยู่ที่กายของเรานั่นแหละ ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่หลายภพหลายชาติแล้วแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลงมีการพัฒนามาตั้งแต่จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ อะไรเป็นกุศลหรือว่าอะไรเป็นอกุศล
แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผลทางด้านรูปธรรมทางด้านนามธรรม การแยกการคลายทางด้านตัวปัญญาซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ตรงนี้มีไม่ต่อเนื่องกันก็เลยมองไม่เห็น การพูดจานี่ง่าย การฟังนี่ได้ยินได้ฟังกันมาตลอด การศึกษาค้นคว้าที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง แต่ก็ไม่ลงเข้าถึงใจสักทีเพราะว่าใจยังเกิดอยู่ เราลองพยายามลองดูสิลองอดพูดอดคิด สังเกตดูความคิด
สังเกตไม่ทันเราก็ดับแล้วก็วางใหม่ ดับอยู่ปัจจุบันแล้วก็วางอยู่ปัจจุบันจนกว่าจะเห็นลักษณะอาการเขาเกิดเขาก่อตัว เขาเคลื่อนเข้าไปรวม ตามดูตามรู้ตามเห็นทุกเรื่อง สติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลออย่างไร เราจะสร้างขึ้นมาอย่างไร ความอยากเกิดขึ้นที่ตัวใจหรือว่าเป็นความต้องการของสติของปัญญา กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ตากระทบรูปใจหรือว่าวิญญาณของเราเป็นอย่างไร รูปสวยรูปงามใจเกิดความยินดียินร้าย หรือว่าผลักไสหรือว่าดึงเข้ามา หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน
เรารู้จักสังเกตวิเคราะห์จำแนกแจกแจงรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา ให้ใจของเรารับรู้ ถ้าเราหัดวิเคราะห์พิจารณาอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น ถ้าเห็นแล้วใจของเราคลายออกจากความคิดแล้ว เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าใจในคำสอนคำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร
เข้าใจเห็นการเกิดการดับของวิญญาณ เห็นการเกิดการดับจะเข้าใจในหลักของอริยสัจสี่ ถ้าเห็นการเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตปรุงแต่งวิญญาณ หรือว่าตัววิญญาณตัวสุดท้ายในขันธ์ห้าของเรา เราก็จะเห็นเขาเรียกว่าเห็น ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วย แยกได้ด้วยคลายได้ด้วยตามดูได้ด้วย หาเหตุหาผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงทุกเรื่องว่ามันไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร ใจถึงจะยอมปล่อยยอมวาง แล้วก็มาละกิเลสที่ใจมาดับความเกิดที่ใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปใช้ไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง
การพูดนี้ง่ายแต่การลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่ขัดเกลาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำกันนะ ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเกื้อหนุนกันหมด
ในสิ่งที่หลวงพ่อพูดมานี้ นอกจากบุคคลที่มีความเพียรแยกแยะได้ใจคลายได้นะถึงจะเข้าใจในความหมายในสิ่งที่หลวงพ่อพูดดี ถ้ายังไม่เข้าใจก็ต้องพยายามสร้างตบะสร้างบารมี ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความรับผิดชอบ ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนนู้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ คนนั้นเอาเปรียบเราคนนี้เอาเปรียบเรา มองอคติคนโน้นอคติคนนี้ กิเลสมีมากมายจริงๆ เจริญสติได้มากเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ อยู่ในกายของเรานี่แหละทั้งที่มันมีอยู่เราพยายามค้นคว้าลงไปเถอะ สักวันหนึ่งเราคงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
บุญระดับสมมติเราก็ช่วยกันทำ ระดับวิมุตติการชำระสะสางกิเลสเราก็จัดการกับกิเลสของเราเอา ไม่ใช่ว่าให้คนโน้นเขาจัดการให้คนนี้เขาจัดการให้ ยืนเดินนั่งนอนเป็นแค่เพียงอิริยาบถ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็จัดการเมื่อนั้นอย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา การเจริญสติก็เหมือนกันเอาการเอางานเป็นการฝึก ฝึกไปด้วยสังเกตใจไปด้วยมีความสุข ถ้ามองภายนอกผิวเผินแทบจะไม่รู้ว่าเราฝึกอะไร นี่แหละเราจะได้ไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไรกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอให้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติ เราไม่ได้ทำความเข้าใจกับความหมายของการสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะรู้ใจ รู้ฐานของใจ รู้ชีวิตของเรา ทั้งที่ใจของเรานั้นก็ฝักใฝ่ในบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน ฝักใฝ่อยากจะรู้ธรรม แต่เขายังเกิดอยู่ การเกิดนั่นแหละถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เขาอาจจะเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลแต่การเกิดเขาก็มีอยู่ ความเกิดก็ปิดกั้นอำพรางตัวเขาเอาไว้อยู่ในระดับขั้นเริ่มต้นเลยทีเดียว
เพียงแค่วิญญาณเกิดหรือว่าจิตเกิดใจก็ไม่เที่ยงใจก็ไม่นิ่ง ทีนี้ก็มีอาการของความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจอีกซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกัน ตัวใจกะอาการของใจรวมกันไปเป็นสิ่งเดียวกัน เขารวมกันไปแล้วเราถึงรู้ว่าเป็นว่าเราคิดว่าเราทำ เขาหลงตัววิญญาณหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว หลงเกิดแล้วก็หลงอยู่ในความคิดจนเป็นสิ่งเดียวกัน
กำลังสติกำลังรู้ตัว ความรู้สึกตัวรับรู้อยู่ปัจจุบันเรามีน้อยแล้วก็ขาดการสังเกต เราความเคยชินเก่าๆ ความคิดเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ ทิฏฐิความเห็นในทางโลกิยะในทางโลกตรงนี้ เขาก็เลยปิดกั้นดวงวิญญาณของเราเอาไว้ กายเนื้อก็มาปิดกั้นดวงใจเอาไว้ ความคิดหรือว่ากองสังขารที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาก็มาปิดกั้นดวงใจของเราเอาไว้ การเกิดของใจเขาก็ปิดกั้นตัวเขาเอาไว้
เราต้องเจริญสติเข้าไปสังเกต สังเกตไม่ทันเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะได้ไม่มีปัญญา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม เราพยายามหัดสร้างความรู้ตัวให้ได้ให้ต่อเนื่อง เราก็รู้จักเอาไปใช้ให้รู้เท่าทันการเกิดของจิต รู้ลักษณะของจิตที่ไม่เกิดจิตที่ปกติเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีความกังวล ไม่มีความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ถ้าความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่องเราก็จะเห็น เพียงแค่เห็นให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ แล้วก็ใจของเราก็จะคลายออกจากขันธ์ห้าออกจากความคิด
อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูกซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูก เห็นถูกยังไม่พอความรู้ตัวของเราต้องตามดูตามรู้ตามเห็นให้ได้ทุกเรื่องอีก ไม่ใช่ว่ารู้แล้วปล่อยปละละเลย ใจจะเกิดกิเลสเราก็ละกิเลส ใจจะส่งออกไปภายนอกเราก็ดับเราก็หยุด หนุนกำลังความรู้ตัวของเรานี่แหละ ไปคิดไปพิจารณาแทน แต่ละวันตื่นขึ้นมาแล้วก็พยายามรีบสำรวจ
เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ ภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราขาดตกบกพกบกพร่องตรงไหน เราก็พยายามรีบแก้ไขเสีย อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง สิ่งพวกนี้เราจะไปบังคับกันไม่ได้เลย เราต้องพยายามหัดสำรวจหัดวิเคราะห์ตัวเรา ตัวเรานั่นแหละต้องขยันหมั่นเพียรไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นเขาพาบังคับ เราต้องเดินอย่างนั้นนั่งอย่านี้ ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ความรู้สึกตัวหรือว่าการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักควบคุมรู้จักระงับยับยั้งเอาไว้
การยังประโยชน์ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ ก็จะส่งผลถึงระดับจิตใจให้เราได้มีความสุข เราก็ต้องพยายามกัน ไม่ใช่ว่าจะไปรอเวลาโน้นรอเวลานี้ ฉันจะปฏิบัติธรรมที่นู่นปฏิบัติธรรมที่นี่ เราก็ลงอยู่ที่กายของเรานั่นแหละ ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่หลายภพหลายชาติแล้วแหละถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีการเปลี่ยนแปลงมีการพัฒนามาตั้งแต่จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ อะไรเป็นกุศลหรือว่าอะไรเป็นอกุศล
แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผลทางด้านรูปธรรมทางด้านนามธรรม การแยกการคลายทางด้านตัวปัญญาซึ่งเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ตรงนี้มีไม่ต่อเนื่องกันก็เลยมองไม่เห็น การพูดจานี่ง่าย การฟังนี่ได้ยินได้ฟังกันมาตลอด การศึกษาค้นคว้าที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง แต่ก็ไม่ลงเข้าถึงใจสักทีเพราะว่าใจยังเกิดอยู่ เราลองพยายามลองดูสิลองอดพูดอดคิด สังเกตดูความคิด
สังเกตไม่ทันเราก็ดับแล้วก็วางใหม่ ดับอยู่ปัจจุบันแล้วก็วางอยู่ปัจจุบันจนกว่าจะเห็นลักษณะอาการเขาเกิดเขาก่อตัว เขาเคลื่อนเข้าไปรวม ตามดูตามรู้ตามเห็นทุกเรื่อง สติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลออย่างไร เราจะสร้างขึ้นมาอย่างไร ความอยากเกิดขึ้นที่ตัวใจหรือว่าเป็นความต้องการของสติของปัญญา กายของเราหิวหรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ตากระทบรูปใจหรือว่าวิญญาณของเราเป็นอย่างไร รูปสวยรูปงามใจเกิดความยินดียินร้าย หรือว่าผลักไสหรือว่าดึงเข้ามา หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน
เรารู้จักสังเกตวิเคราะห์จำแนกแจกแจงรูปรสกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา ให้ใจของเรารับรู้ ถ้าเราหัดวิเคราะห์พิจารณาอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น ถ้าเห็นแล้วใจของเราคลายออกจากความคิดแล้ว เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าใจในคำสอนคำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร ‘อนัตตา’ เป็นลักษณะอย่างไร
เข้าใจเห็นการเกิดการดับของวิญญาณ เห็นการเกิดการดับจะเข้าใจในหลักของอริยสัจสี่ ถ้าเห็นการเกิดการดับของอาการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตปรุงแต่งวิญญาณ หรือว่าตัววิญญาณตัวสุดท้ายในขันธ์ห้าของเรา เราก็จะเห็นเขาเรียกว่าเห็น ‘อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอา เราต้องรู้ด้วยเห็นด้วย แยกได้ด้วยคลายได้ด้วยตามดูได้ด้วย หาเหตุหาผลจนใจของเรายอมรับความเป็นจริงทุกเรื่องว่ามันไม่มีสาระประโยชน์แก่นสารอะไร ใจถึงจะยอมปล่อยยอมวาง แล้วก็มาละกิเลสที่ใจมาดับความเกิดที่ใจ หนุนกำลังสติปัญญาไปใช้ไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง
การพูดนี้ง่ายแต่การลงมือจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียร เป็นบุคคลที่ขัดเกลาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำกันนะ ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเกื้อหนุนกันหมด
ในสิ่งที่หลวงพ่อพูดมานี้ นอกจากบุคคลที่มีความเพียรแยกแยะได้ใจคลายได้นะถึงจะเข้าใจในความหมายในสิ่งที่หลวงพ่อพูดดี ถ้ายังไม่เข้าใจก็ต้องพยายามสร้างตบะสร้างบารมี ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความรับผิดชอบ ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนนู้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ คนนั้นเอาเปรียบเราคนนี้เอาเปรียบเรา มองอคติคนโน้นอคติคนนี้ กิเลสมีมากมายจริงๆ เจริญสติได้มากเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ อยู่ในกายของเรานี่แหละทั้งที่มันมีอยู่เราพยายามค้นคว้าลงไปเถอะ สักวันหนึ่งเราคงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
บุญระดับสมมติเราก็ช่วยกันทำ ระดับวิมุตติการชำระสะสางกิเลสเราก็จัดการกับกิเลสของเราเอา ไม่ใช่ว่าให้คนโน้นเขาจัดการให้คนนี้เขาจัดการให้ ยืนเดินนั่งนอนเป็นแค่เพียงอิริยาบถ กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไรเราก็จัดการเมื่อนั้นอย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา การเจริญสติก็เหมือนกันเอาการเอางานเป็นการฝึก ฝึกไปด้วยสังเกตใจไปด้วยมีความสุข ถ้ามองภายนอกผิวเผินแทบจะไม่รู้ว่าเราฝึกอะไร นี่แหละเราจะได้ไปใช้กับชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไร มาอย่างไรกัน
เอาล่ะ วันนี้ขอให้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ