หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 029
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 029
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวถึงเราละไม่ได้ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ แล้วก็พยายามมีความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวตรงนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน การสร้างความรู้ตัว เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องพวกเราก็ยังขาดความเคยชินตรงนี้ เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ความคิดที่เกิดจากตัวจิต ความคิดที่เกิดจากตัวอาการของขันธ์ห้า กับตัวจิตก็ยังปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกอยู่
เราพยายามมาสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละเข้าไปควบคุมจิต เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล จนจิตของเราหรือว่าวิญญาณของเราคลายออกจากความคิดคลายออกจากอารมณ์เราถึงจะมองเห็น มองเห็นหนทางเดิน ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่เข้าใจ ถ้าเราสอนตัวเราไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าใครจะสอนตัวเราให้นอกจากตัวของเรา ส่วนมากก็ไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน ขนาดตัวเราเองแท้ๆ ยังสอนตัวเราเองไม่ได้ คนอื่นเขาจะมาสอนเราได้อย่างไร แต่ก็เป็นการแสวงหาแนวทาง ถ้าเรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว เราก็พยายามทำความเข้าใจ
ก็การเจริญสตินี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมากำลังสติของเราต่อเนื่องกำลังสติของเราเข้มแข็ง รู้จักควบคุมจิตรู้จักควบคุมอารมณ์ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิดคลายออกจากอารมณ์ กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรง ตามดูรู้เหตุรู้ผลเห็นเหตุเห็นผลให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ เราถึงจะเดินปัญญาขั้นสูงได้ การชำระสะสางกิเลสของเราก็ต้องมี ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลส ความเห็นเก่าๆ ทิฏฐิมานะต่างๆ
ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากแล้วก็ละความหวัง แม้แต่การไปการมาการเกิดของจิตก็ไม่เที่ยง เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง จนกลายเป็นมหาสติจนกลายเป็นมหาปัญญา เอาไปใช้ทำหน้าที่แทนจิตของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ช่าง ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
ไม่ว่าที่ไหนดีก็ไปๆ พากันไปแสวงหาหาธรรม แต่ไม่รู้จักอุบายวิธีที่จะลงเข้าไปถึงฐานของใจของตัวเราเอง มันก็ปิดกั้นตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญอยู่ในกองบุญของกุศล แต่การเกิดของเขาก็ยังมีอยู่ ซึ่งเขาอาจจะไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความทะยานทะยานอยาก แต่การปรุงแต่งของเขาก็ยังมีอยู่
เราพยายามดับพยายามจำแนกแจกพยายามคลาย ปัญญาทางโลกทางโลกิยะมีทั้งร้อยก็คลายออกทั้งร้อยนั่นแหละ ให้เหลืออยู่ที่ความว่างให้เหลือที่ศูนย์ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทนไปทำหน้าที่แทนจนกว่าจะเต็มร้อย การพูดง่ายแต่การลงมือการปฏิบัติ การสังเกตการวิเคราะห์การสำรวจ ทุกอิริยาบถเพียงแค่การประคับประคองความรู้ตัวให้ต่อเนื่องก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน อยากจะได้ตั้งแต่ธรรมอยากจะรู้ตั้งแต่ธรรม มันก็ปิดกั้นเอาไว้แล้วแหละ
ท่านให้ละความอยาก ความรู้ตัวต้องชัดเจนแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดของจิตหรือว่าวิญญาณนั้นเขามีอยู่ตลอด การเกิดของขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่ เพียงแค่เรามาสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ จนเห็นการเกิด การแยกการคลาย การตามดูรู้เห็น หมดความสงสัยหมดความลังเลหมดความกังวล ตามดูตามรู้ตามเห็น ทำความเข้าใจ
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนผ่านกันมาหมด จากการลงมือให้ต่อเนื่องนี้สำคัญ ก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขตัวเองใหม่ อย่าไปโทษภายนอกไปโทษคนโน้นไปโทษคนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ มันก็เกิดจากใจของเราทั้งนั้นแหละ เราพยายามละ พยายามดับ อะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขเสีย
ถึงภายนอกไม่ดีถ้าใจของเราดีมันก็ดีอยู่เหมือนเดิม ใจของเราไม่ดีข้างนอกจะดีถึงขนาดไหน ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องพยายาม ถ้าไม่รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ฐานของใจที่แท้จริง เราก็สอนใจของเราไม่ได้ มีตั้งแต่ใจมันวิ่งออกไปสอนวิ่งไปตามอำนาจของกิเลส มันหลงอยู่ในตัว
ท่านถึงบอกให้มาสร้างผู้รู้ มาสร้างความรู้ตัวแล้วก็มาสร้างให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ให้เราพยายามสร้างความรู้ตัวแล้วแต่อุบายแล้วแต่วิธีของแต่ละสถานที่ เป็นการดีหมดไม่ใช่ว่าไม่ดี การสร้างความรู้ตัว แล้วการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ เราทำได้ต่อเนื่องหรือไม่ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติอยู่ที่ไหน ทำไมจิตของเราถึงเกิด ทำไมจิตของเราถึงหลง สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละพวกเรามองข้ามกันไม่ค่อยจะสนใจ จะเอาตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ ก็เลยมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้เสีย
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ใครเข้ามาที่วัดก็พยายามเข้าให้ถึงวัด วัดภายนอกก็พากันเข้ามา วัดภายในคือวัดใจของเรา ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเราแล้วก็ไม่มีใครจะสอนเราได้เลย
อย่าแบกกายแบกใจของเราไปให้คนโน้นสอนให้ทีคนนี้สอนให้ที อย่างนั้นจะไปไม่ถึงไหน เราไปขอเพียงแค่ขออุบายทำอย่างไร รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว แล้วก็เร่งทำความเพียร กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ไล่ลงไปฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ เจริญสติละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ เห็นเยอะก็ทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ ไม่ใช่ว่าไปที่โน่นก็จะเห็นธรรมไปที่นี่ก็จะเห็นธรรม แต่การเจริญสติ การวิเคราะห์การสังเกต การดับการละไม่มีมันก็อยากที่จะเข้าถึง
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไร มีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราดับได้หรือไม่ เราควบคุมได้หรือไม่ ต่อไปข้างหน้าเราก็ละได้หรือไม่ ก็ต้องไล่เรียบเรียงเคียงเข้าไปเรื่อยๆ อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ถูกต้องมันถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง
ไม่ว่าไปที่โน่น ที่โน่นก็ไม่ดีที่นี่ก็ไม่ดี ไปวัดโน่นก็หลวงพ่อองค์นั้นก็เป็นอย่างนั้น หลวงพ่อองค์นี้ก็เป็นอย่างนี้ ที่ไหนได้ไม่ดูตัวเองไม่แก้ไขตัวเอง เราต้องหัดแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อยู่ที่ไหนก็จะเป็นวัด อยู่บ้าน อยู่ไร่อยู่นา ที่ทำการทำงาน ถ้าเรามีสติคอยสังเกตใจของเราตลอดเวลา รูปรส กลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบว่าใจของเราเกิดกิเลสเกิดความยินดี ใจของเราปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกหรือไม่
แต่เวลานี้เขายังรวมกันไปอยู่ ทั้งใจทั้งอาการของใจทั้งสติปัญญาก็ยังรวมกันไปอยู่ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เห็น การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ การดับ อดทนอดกลั้น อดพูดอดคิด สังเกตดูความคิด ความเสียสละภายนอกของเราก็เต็มเปี่ยม ความรับผิดชอบของเรามีหรือไม่ เราก็ต้องพยายาม เราต้องทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ทำความเข้าใจกับโลกทำความเข้าใจกับโลกธรรม
กายของเรามีหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกมีหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเรามีหน้าที่อย่างไร โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราต้องทำความเข้าใจให้รู้ทั้งโลกรู้ทั้งธรรม ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ จิตวิญญาณก็มาอาศัยกายนี้อยู่มาสร้างภพทั้งชาตินี้อยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ไม่ได้แบกกายแบกใจของเราเป็นภาระของตัวเราเองเป็นภาระของคนอื่น ถ้าเราเข้าใจแล้ว มีตั้งแต่ประโยชน์ มีตั้งแต่อยู่กับบุญจนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ผิดพลาดรีบแก้ไขใหม่ ผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขใหม่ เราพยายามมาช่วยกันทำสถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ เป็นแหล่งบุญของทุกคน ฝากเอาไว้ในสมมติฝากเอาไว้ในแผ่นดินเป็นสมบัติของแผ่นดิน เรามีโอกาสมากที่สุด เราได้มีโอกาสได้ช่วยกัน ไม่ว่าใครๆ ก็มาช่วยกัน หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อนะ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวตรงนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน การสร้างความรู้ตัว เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องพวกเราก็ยังขาดความเคยชินตรงนี้ เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ความคิดที่เกิดจากตัวจิต ความคิดที่เกิดจากตัวอาการของขันธ์ห้า กับตัวจิตก็ยังปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกอยู่
เราพยายามมาสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละเข้าไปควบคุมจิต เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล จนจิตของเราหรือว่าวิญญาณของเราคลายออกจากความคิดคลายออกจากอารมณ์เราถึงจะมองเห็น มองเห็นหนทางเดิน ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่เข้าใจ ถ้าเราสอนตัวเราไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าใครจะสอนตัวเราให้นอกจากตัวของเรา ส่วนมากก็ไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน ขนาดตัวเราเองแท้ๆ ยังสอนตัวเราเองไม่ได้ คนอื่นเขาจะมาสอนเราได้อย่างไร แต่ก็เป็นการแสวงหาแนวทาง ถ้าเรารู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว เราก็พยายามทำความเข้าใจ
ก็การเจริญสตินี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมากำลังสติของเราต่อเนื่องกำลังสติของเราเข้มแข็ง รู้จักควบคุมจิตรู้จักควบคุมอารมณ์ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิดคลายออกจากอารมณ์ กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรง ตามดูรู้เหตุรู้ผลเห็นเหตุเห็นผลให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ เราถึงจะเดินปัญญาขั้นสูงได้ การชำระสะสางกิเลสของเราก็ต้องมี ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลส ความเห็นเก่าๆ ทิฏฐิมานะต่างๆ
ในหลักธรรมท่านให้ละความอยากแล้วก็ละความหวัง แม้แต่การไปการมาการเกิดของจิตก็ไม่เที่ยง เราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง จนกลายเป็นมหาสติจนกลายเป็นมหาปัญญา เอาไปใช้ทำหน้าที่แทนจิตของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ช่าง ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย
ไม่ว่าที่ไหนดีก็ไปๆ พากันไปแสวงหาหาธรรม แต่ไม่รู้จักอุบายวิธีที่จะลงเข้าไปถึงฐานของใจของตัวเราเอง มันก็ปิดกั้นตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญอยู่ในกองบุญของกุศล แต่การเกิดของเขาก็ยังมีอยู่ ซึ่งเขาอาจจะไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความทะยานทะยานอยาก แต่การปรุงแต่งของเขาก็ยังมีอยู่
เราพยายามดับพยายามจำแนกแจกพยายามคลาย ปัญญาทางโลกทางโลกิยะมีทั้งร้อยก็คลายออกทั้งร้อยนั่นแหละ ให้เหลืออยู่ที่ความว่างให้เหลือที่ศูนย์ หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทนไปทำหน้าที่แทนจนกว่าจะเต็มร้อย การพูดง่ายแต่การลงมือการปฏิบัติ การสังเกตการวิเคราะห์การสำรวจ ทุกอิริยาบถเพียงแค่การประคับประคองความรู้ตัวให้ต่อเนื่องก็ไม่ค่อยจะสนใจกัน อยากจะได้ตั้งแต่ธรรมอยากจะรู้ตั้งแต่ธรรม มันก็ปิดกั้นเอาไว้แล้วแหละ
ท่านให้ละความอยาก ความรู้ตัวต้องชัดเจนแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดของจิตหรือว่าวิญญาณนั้นเขามีอยู่ตลอด การเกิดของขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่ เพียงแค่เรามาสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ จนเห็นการเกิด การแยกการคลาย การตามดูรู้เห็น หมดความสงสัยหมดความลังเลหมดความกังวล ตามดูตามรู้ตามเห็น ทำความเข้าใจ
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ทุกคนผ่านกันมาหมด จากการลงมือให้ต่อเนื่องนี้สำคัญ ก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขตัวเองใหม่ อย่าไปโทษภายนอกไปโทษคนโน้นไปโทษคนนี้ คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ มันก็เกิดจากใจของเราทั้งนั้นแหละ เราพยายามละ พยายามดับ อะไรไม่ดีเราก็รีบแก้ไขเสีย
ถึงภายนอกไม่ดีถ้าใจของเราดีมันก็ดีอยู่เหมือนเดิม ใจของเราไม่ดีข้างนอกจะดีถึงขนาดไหน ใจของเราก็ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม เราก็ต้องพยายาม ถ้าไม่รู้ใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ฐานของใจที่แท้จริง เราก็สอนใจของเราไม่ได้ มีตั้งแต่ใจมันวิ่งออกไปสอนวิ่งไปตามอำนาจของกิเลส มันหลงอยู่ในตัว
ท่านถึงบอกให้มาสร้างผู้รู้ มาสร้างความรู้ตัวแล้วก็มาสร้างให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร ให้เราพยายามสร้างความรู้ตัวแล้วแต่อุบายแล้วแต่วิธีของแต่ละสถานที่ เป็นการดีหมดไม่ใช่ว่าไม่ดี การสร้างความรู้ตัว แล้วการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ เราทำได้ต่อเนื่องหรือไม่ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติอยู่ที่ไหน ทำไมจิตของเราถึงเกิด ทำไมจิตของเราถึงหลง สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละพวกเรามองข้ามกันไม่ค่อยจะสนใจ จะเอาตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ ก็เลยมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้เสีย
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ใครเข้ามาที่วัดก็พยายามเข้าให้ถึงวัด วัดภายนอกก็พากันเข้ามา วัดภายในคือวัดใจของเรา ทำกายให้เป็นวัดทำใจให้เป็นพระ ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่สอนเราแล้วก็ไม่มีใครจะสอนเราได้เลย
อย่าแบกกายแบกใจของเราไปให้คนโน้นสอนให้ทีคนนี้สอนให้ที อย่างนั้นจะไปไม่ถึงไหน เราไปขอเพียงแค่ขออุบายทำอย่างไร รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว แล้วก็เร่งทำความเพียร กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้นะ ไล่ลงไปฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ เจริญสติละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ เห็นเยอะก็ทำความเข้าใจแล้วก็ค่อยละ ไม่ใช่ว่าไปที่โน่นก็จะเห็นธรรมไปที่นี่ก็จะเห็นธรรม แต่การเจริญสติ การวิเคราะห์การสังเกต การดับการละไม่มีมันก็อยากที่จะเข้าถึง
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราเป็นอย่างไร มีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน ใจของเราเกิดกิเลส เกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราดับได้หรือไม่ เราควบคุมได้หรือไม่ ต่อไปข้างหน้าเราก็ละได้หรือไม่ ก็ต้องไล่เรียบเรียงเคียงเข้าไปเรื่อยๆ อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียรที่ถูกต้องมันถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง
ไม่ว่าไปที่โน่น ที่โน่นก็ไม่ดีที่นี่ก็ไม่ดี ไปวัดโน่นก็หลวงพ่อองค์นั้นก็เป็นอย่างนั้น หลวงพ่อองค์นี้ก็เป็นอย่างนี้ ที่ไหนได้ไม่ดูตัวเองไม่แก้ไขตัวเอง เราต้องหัดแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา อยู่ที่ไหนก็จะเป็นวัด อยู่บ้าน อยู่ไร่อยู่นา ที่ทำการทำงาน ถ้าเรามีสติคอยสังเกตใจของเราตลอดเวลา รูปรส กลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบว่าใจของเราเกิดกิเลสเกิดความยินดี ใจของเราปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกหรือไม่
แต่เวลานี้เขายังรวมกันไปอยู่ ทั้งใจทั้งอาการของใจทั้งสติปัญญาก็ยังรวมกันไปอยู่ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เห็น การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ การดับ อดทนอดกลั้น อดพูดอดคิด สังเกตดูความคิด ความเสียสละภายนอกของเราก็เต็มเปี่ยม ความรับผิดชอบของเรามีหรือไม่ เราก็ต้องพยายาม เราต้องทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ทำความเข้าใจกับโลกทำความเข้าใจกับโลกธรรม
กายของเรามีหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกมีหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเรามีหน้าที่อย่างไร โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราต้องทำความเข้าใจให้รู้ทั้งโลกรู้ทั้งธรรม ธรรมกับโลกก็อาศัยกันอยู่ จิตวิญญาณก็มาอาศัยกายนี้อยู่มาสร้างภพทั้งชาตินี้อยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ อยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ไม่ได้แบกกายแบกใจของเราเป็นภาระของตัวเราเองเป็นภาระของคนอื่น ถ้าเราเข้าใจแล้ว มีตั้งแต่ประโยชน์ มีตั้งแต่อยู่กับบุญจนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม อยู่ที่ไหนก็มีความสุข
ผิดพลาดรีบแก้ไขใหม่ ผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขใหม่ เราพยายามมาช่วยกันทำสถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ เป็นแหล่งบุญของทุกคน ฝากเอาไว้ในสมมติฝากเอาไว้ในแผ่นดินเป็นสมบัติของแผ่นดิน เรามีโอกาสมากที่สุด เราได้มีโอกาสได้ช่วยกัน ไม่ว่าใครๆ ก็มาช่วยกัน หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อนะ