หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 003
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 003
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ไปกันดูดีๆนะ ฝากเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปพลาดโอกาส เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสร้างความรู้ รู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจแล้วก็รู้จักทำความเข้าใจหมั่นพร่ำสอนใจของตัวเรา อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นที่ใจของเราอย่าให้ใจของเราปรุงแต่ง ให้สติปัญญาของเราทำหน้าที่แทนใจ ให้ใจรับรู้อยู่ภายใน ดูดีๆ
พากันดูดีๆ ถ้าเราเข้าใจเราจะรู้ใจของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นอกจากเราจะหลับตื่นขึ้นมารู้ใจ อะไรควรทำอะไรควรละ อะไรเป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง มีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ขึ้นอยู่กับตัวของเราที่จะแก้ไขตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง เราจะสร้างคุณงามความดีใส่ใจใส่กายของเราหรือไม่ เราจะสร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง เราอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่านก็ช่วยกัน
อะไรที่จะเป็นอานิสงส์ใหญ่ อานิสงส์ภายในเราก็แก้ไขปรับปรุงใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ การเจริญสติ กายวิเวก ใจวิเวก ความเสียสละ ความอดทน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งก็มีกันเป็นพื้นฐาน การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวอันนี้ต้องสร้างเอาทำเอา ถ้าคนเรามีแต่ความเกียจคร้านไม่มีความขยัน ไม่ขยันในภาระหน้าที่การงาน ไม่ขยันในความเสียสละ ไม่รู้จักขวนขวายไม่รู้จักสร้างขึ้นมามันก็เลยลำบาก มันก็เลยเอาตั้งแต่กายของเรากายของเราก็หนัก หนักกายของเราก็ยังไม่พอไปหนักให้กับที่นู่นบ้างที่นี่บ้าง เพราะว่าความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียรของเรามันขาด บางทีก็ขยันหมั่นเพียรไม่ถูกวิธี มันก็ไม่ถึงจุดหมาย
ขยันหมั่นเพียรด้วยทั้งกำลังกาย กำลังสติกำลังปัญญา กำลังสติกำลังปัญญาก็ต้องมีบริบูรณ์มันก็จะส่งผลถึงทั้งสมมติทั้งวิมุต บางคนก็ขยันตั้งแต่ภายนอก ทางด้านปัญญาก็ขาดความเพียร มันก็อาจจะได้อานิสงส์อยู่ระดับของสมมติในระดับหนึ่ง แต่ความหลุดพ้นมันก็ยากอีก บางคนก็ขยันทางด้านภายในแต่พรหมวิหารความเสียสละไม่ค่อยจะเต็มมันก็ขาด ไปที่ไหนก็เหี่ยวก็แห้งไม่มีบริวาร มีต้องให้ครบหมดเลย ต้องครบหมดทั้งทางด้านภายนอกทั้งด้านภายใน ไปที่ไหนก็จะบริบูรณ์ ไม่ได้ลำบากไม่อดไม่อยาก
เหมือนกับพระอรหันต์ในพระพุทธกาลพระสิวลีอย่างนี้ หรือไปที่ไหนนี่เต็ม อานิสงส์ผลทานของท่านสมมุติของท่านนี่เต็มบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าจึงได้ยกย่องให้เป็นหนึ่งในทางลาภยศ ไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยาก บริวารเยอะถึงขนาดไหน ไปที่ในแห้งแล้งกันดารก็ไม่อดไม่ยากเพราะท่านสร้างบารมีทานมามากมาย อีกองค์หนึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์เหมือนกันหาจะขบจะฉันก็ยังยากลำบากหิวโหยทางด้านกาย เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรตามที่เคยได้อ่านศึกษาดู แม้กระทั่งถึงวันนิพพานวันจะนิพพานวันจะตาย พระสารีบุตรก็อุตส่าห์ไปบิณฑบาตหาของหาอาหารอร่อยๆ หาอาหารดีๆมาให้ทาน ก็ไม่ได้ทานเพราะไม่ได้เคยสร้างอานิสงส์เอาไว้ก่อน นั่นแหละถึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แต่ก็อดอยาก บางทีบางองค์บางท่านนี่หาผ้าจะใส่ก็แทบไม่มีทั้งที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะว่าไม่เคยให้ทานมาก่อน
เราต้องให้ครบทั้งองค์ทาน ทานทั้งภายนอกทานทั้งภายใน ทานสมมติทานวิมุติ ปรมัตถทาน ทานอารมณ์ทานความคิด ทานความยึดมั่นถือมั่น ก่อนที่จะทานได้ต้องรู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจให้ได้ด้วย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี่สัมผัสความระลึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน อย่างเช่นเรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้ให้เกิดความเคยชินให้ต่อเนื่อง ทั้งที่เราก็หายใจตั้งแต่เกิดโน่นเลย แต่ความรู้ตัวรู้สัมผัสของลมหายใจเวลาหายใจเข้าหายใจออก ถ้าเรารู้ด้วยต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องตรงนี้ก็ขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญนั่นแหละใจก็อิ่มได้บุญ อยากจะได้บุญอยากจะรู้ธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เขายังเกิดอยู่เขาก็มีที่เขายังเกิดอยู่ ในส่วนลึกเขายังหลงความคิดหลงอารมณ์อยู่ ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องจนเอาไปใช้รู้เท่าทันจิตรู้เท่าทันความคิด จนจิตของเราคลายออกจากความคิดนั่นแหละเราถึงจะรู้ว่าเราหลง
ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิด เราถึงจะรู้ว่าเราหลงความคิด หลงอารมณ์ ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิดได้จุดเดียว มันก็วางอัตตาตัวตนทางด้านสมมุติทางกายเนื้อ เราก็วางมันก็วางได้ ก็วางอัตตาตัวตน เราก็จะเข้าใจกับคําว่าสมมติวิมุตติ เข้าใจกับคําว่าอัตตา อนัตตา ลึกลงไปเรื่องอะไรที่มาปรุงแต่งใจของเราอีก มันจะซอยละเอียดลงไปอีกเรื่องเป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต หรือว่ากองสังขารต่างๆ ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ถ้าเราแยกไม่ได้เราก็จะไม่เข้าใจศัพท์ภาษาความหมายตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจถ้าเราเห็นตรงนี้ปุ๊บจะสนุกมีความสุข จิตก็จะว่างเกิดปิติเกิดสุข
เราละกิเลสได้ตัวไหนเราก็รู้ เราละตัวไหนยังไม่ได้เราก็จะรู้ กิเลสตัวไหนมาหลอกเรา เราจะแพ้ให้กิเลสหรือไม่เราก็จะเข้าใจ ตามทำความเข้าใจทุกเรื่องจนใจหมดความสงสัย มีตั้งแต่จะละกิเลสให้หมดจด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ใจของเรา ไม่ใช่ว่าปฏิบัติไม่รู้อะไร สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ต้องสร้างขึ้นมาเราก็รู้จักเอาไปใช้ ช่วงใหม่ๆก็จะพลั้งเผลอเพราะว่าความเคยชิน ความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาจะปิดกั้นตัวเขาเองมากทีเดียว ก็เขาชอบคิดชอบเที่ยว
ตัวจิตนี้การเกิดของจิตก็หลงแล้ว เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์นี่ก็หลงแล้ว เดี๋ยวนี้การเกิดปรุงแต่งอีกก็หลงแล้วแต่ยังไม่ได้ยึดมาก อาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมุติ เราต้องคลายต้องแยกแยะให้รู้เห็นตามความเป็นจริง มีตั้งแต่แนวทางคําสอนของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่สอนเข้าถึงเรื่องของหลักอริยสัจ เข้าถึงเรื่องสมมุติวิมุตติ เข้าถึงเรื่องอัตตา อนัตตาสูงที่สุดในยุคนี้เลยทีเดียว
เราต้องพยายามค้นคว้าให้เข้าถึงวิธีการค้นคว้านี่แหละ ตรงนี้แหละจะพลั้งเผลอกัน การเจริญสตินี่ก็ไม่ทำให้ต่อเนื่อง อาจจะทำได้อยู่เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอหรือไม่ จะลุกเข้าห้องส้วมห้องน้ำหรือทำกับข้าวกับปลา รับประทานข้าวปลาอาหาร
ใจของเราเกิดความอยากเราก็รู้จักระงับดับเอาไว้ ใจของเราปรุงแต่งแล้วก็ดับเอาไว้ ส่วนมากมีแต่ส่งเสริมไปเลยคือปรุงแต่งก็ส่งเสริมไปเลย ความคิดเข้ามาก็ร่วมกันไปเลย คือขาดการจำแนกแจกแจง ที่ท่านได้ว่าแยกแยะให้รู้เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ที่พากันสวดท่องบทกันทุกวัน ขันธ์ทั้งห้าเป็นของไม่เที่ยง ขันธ์ทั้งห้ามันมีอะไรบ้าง ซึ่งมีตัววิญญาณเข้ามาครอบครอง เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา เราไม่เคยเห็นหน้าตาอาการของเขาไปยังไงมายังไง เพราะว่าสติกำลังสติของเรามียังไม่เพียงพอ
เพียงแค่สร้างก็ยังกระท่อนกระแท่น ที่จะเอาไปใช้เอาไปสังเกตเอาไปวิเคราะห์มันจะทำได้อย่างไร ตื่นขึ้นมาภายในหนึ่งนาทีนี้สติของเราต่อเนื่องถึงหนึ่งนาทีถึงสองนาทีสามนาทีหรือไม่ ต่อไปข้างหน้าเป็นห้านาทีสิบนาทีเป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี ถ้ากำลังสติปัญญาของเรามีความเข้มแข็งต่อเนื่องขึ้นสังเกตจนใจของเราคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์นั้นแหละ กำลังสติของเราถึงจะพุ่งแรงเป็นมหาสติมหาปัญญา เป็นมาก
ตามทำความเข้าใจค้นคว้าจนหมดความสงสัยทุกเรื่อง จนไม่มีอะไรที่จะค้นคว้าต่อนั่นแหละเขาถึงจะหยุด จนเหลือตั้งแต่มหาปัญญาที่หมุนรอบจิตเอาไปทำหน้าที่แทนใจ ใจมีหน้าที่รับรู้ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วยหลงด้วยสารพัดอย่าง มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ไม่ศึกษาจริงๆ หรือก็ยากที่จะเข้าใจ
การได้ยินได้ฟังได้อ่านอันนี้ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม หลวงพ่อก็จะพูดเรื่องนี้แหละตั้งแต่บวชเลยทีเดียว ขอให้เข้าถึงฐานตรงนี้ให้ได้ ตามทำความเข้าใจ จะละได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่ความเพียร รู้ความจริงแล้วเขาไม่เอาหรอกใจ สติสมาธิปัญญาเขาก็จะรักษาเราไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายเราก็จะอยู่กับบุญ ใจก็เป็นบุญกายก็เป็นบุญวาจาก็เป็นบุญ
ทำความเข้าใจกับสมมุติ ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไรเราต้องทำความเข้าใจ ตาก็มีหน้าที่ดูแล้วก็ห้ามไม่ได้ หูมีหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเข้าไปถึงตัววิญญาณของเรา เราไปจัดการกับตัววิญญาณของเราโน่น ไปละกิเลสไปดับความเกิดโน่น หนุนสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน แต่เวลานี้ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจยังไม่ได้คลายเลย ถึงคลายถึงแยกแยะได้ก็เป็นบางช่วงบางครั้ง เราไม่รู้ให้ได้ เราต้องรู้ให้ได้ทุกกระบวนการเลยทีเดียว มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
พากันดูดีๆ ถ้าเราเข้าใจเราจะรู้ใจของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นอกจากเราจะหลับตื่นขึ้นมารู้ใจ อะไรควรทำอะไรควรละ อะไรเป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง มีมากมีน้อยก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก ขึ้นอยู่กับตัวของเราที่จะแก้ไขตัวของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง เราจะสร้างคุณงามความดีใส่ใจใส่กายของเราหรือไม่ เราจะสร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเราหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง เราอยู่ร่วมกันหลายคนหลายท่านก็ช่วยกัน
อะไรที่จะเป็นอานิสงส์ใหญ่ อานิสงส์ภายในเราก็แก้ไขปรับปรุงใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ การเจริญสติ กายวิเวก ใจวิเวก ความเสียสละ ความอดทน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งก็มีกันเป็นพื้นฐาน การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวอันนี้ต้องสร้างเอาทำเอา ถ้าคนเรามีแต่ความเกียจคร้านไม่มีความขยัน ไม่ขยันในภาระหน้าที่การงาน ไม่ขยันในความเสียสละ ไม่รู้จักขวนขวายไม่รู้จักสร้างขึ้นมามันก็เลยลำบาก มันก็เลยเอาตั้งแต่กายของเรากายของเราก็หนัก หนักกายของเราก็ยังไม่พอไปหนักให้กับที่นู่นบ้างที่นี่บ้าง เพราะว่าความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียรของเรามันขาด บางทีก็ขยันหมั่นเพียรไม่ถูกวิธี มันก็ไม่ถึงจุดหมาย
ขยันหมั่นเพียรด้วยทั้งกำลังกาย กำลังสติกำลังปัญญา กำลังสติกำลังปัญญาก็ต้องมีบริบูรณ์มันก็จะส่งผลถึงทั้งสมมติทั้งวิมุต บางคนก็ขยันตั้งแต่ภายนอก ทางด้านปัญญาก็ขาดความเพียร มันก็อาจจะได้อานิสงส์อยู่ระดับของสมมติในระดับหนึ่ง แต่ความหลุดพ้นมันก็ยากอีก บางคนก็ขยันทางด้านภายในแต่พรหมวิหารความเสียสละไม่ค่อยจะเต็มมันก็ขาด ไปที่ไหนก็เหี่ยวก็แห้งไม่มีบริวาร มีต้องให้ครบหมดเลย ต้องครบหมดทั้งทางด้านภายนอกทั้งด้านภายใน ไปที่ไหนก็จะบริบูรณ์ ไม่ได้ลำบากไม่อดไม่อยาก
เหมือนกับพระอรหันต์ในพระพุทธกาลพระสิวลีอย่างนี้ หรือไปที่ไหนนี่เต็ม อานิสงส์ผลทานของท่านสมมุติของท่านนี่เต็มบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าจึงได้ยกย่องให้เป็นหนึ่งในทางลาภยศ ไปที่ไหนก็ไม่อดไม่อยาก บริวารเยอะถึงขนาดไหน ไปที่ในแห้งแล้งกันดารก็ไม่อดไม่ยากเพราะท่านสร้างบารมีทานมามากมาย อีกองค์หนึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์เหมือนกันหาจะขบจะฉันก็ยังยากลำบากหิวโหยทางด้านกาย เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรตามที่เคยได้อ่านศึกษาดู แม้กระทั่งถึงวันนิพพานวันจะนิพพานวันจะตาย พระสารีบุตรก็อุตส่าห์ไปบิณฑบาตหาของหาอาหารอร่อยๆ หาอาหารดีๆมาให้ทาน ก็ไม่ได้ทานเพราะไม่ได้เคยสร้างอานิสงส์เอาไว้ก่อน นั่นแหละถึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แต่ก็อดอยาก บางทีบางองค์บางท่านนี่หาผ้าจะใส่ก็แทบไม่มีทั้งที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะว่าไม่เคยให้ทานมาก่อน
เราต้องให้ครบทั้งองค์ทาน ทานทั้งภายนอกทานทั้งภายใน ทานสมมติทานวิมุติ ปรมัตถทาน ทานอารมณ์ทานความคิด ทานความยึดมั่นถือมั่น ก่อนที่จะทานได้ต้องรู้ด้วยเห็นด้วยทำความเข้าใจให้ได้ด้วย
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกที่กระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ นี่สัมผัสความระลึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน อย่างเช่นเรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสร้างความรู้ตรงนี้ให้เกิดความเคยชินให้ต่อเนื่อง ทั้งที่เราก็หายใจตั้งแต่เกิดโน่นเลย แต่ความรู้ตัวรู้สัมผัสของลมหายใจเวลาหายใจเข้าหายใจออก ถ้าเรารู้ด้วยต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องตรงนี้ก็ขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญนั่นแหละใจก็อิ่มได้บุญ อยากจะได้บุญอยากจะรู้ธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม เขายังเกิดอยู่เขาก็มีที่เขายังเกิดอยู่ ในส่วนลึกเขายังหลงความคิดหลงอารมณ์อยู่ ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องจนเอาไปใช้รู้เท่าทันจิตรู้เท่าทันความคิด จนจิตของเราคลายออกจากความคิดนั่นแหละเราถึงจะรู้ว่าเราหลง
ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิด เราถึงจะรู้ว่าเราหลงความคิด หลงอารมณ์ ถ้าใจของเราคลายออกจากความคิดได้จุดเดียว มันก็วางอัตตาตัวตนทางด้านสมมุติทางกายเนื้อ เราก็วางมันก็วางได้ ก็วางอัตตาตัวตน เราก็จะเข้าใจกับคําว่าสมมติวิมุตติ เข้าใจกับคําว่าอัตตา อนัตตา ลึกลงไปเรื่องอะไรที่มาปรุงแต่งใจของเราอีก มันจะซอยละเอียดลงไปอีกเรื่องเป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต หรือว่ากองสังขารต่างๆ ที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ ถ้าเราแยกไม่ได้เราก็จะไม่เข้าใจศัพท์ภาษาความหมายตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจถ้าเราเห็นตรงนี้ปุ๊บจะสนุกมีความสุข จิตก็จะว่างเกิดปิติเกิดสุข
เราละกิเลสได้ตัวไหนเราก็รู้ เราละตัวไหนยังไม่ได้เราก็จะรู้ กิเลสตัวไหนมาหลอกเรา เราจะแพ้ให้กิเลสหรือไม่เราก็จะเข้าใจ ตามทำความเข้าใจทุกเรื่องจนใจหมดความสงสัย มีตั้งแต่จะละกิเลสให้หมดจด กิเลสหยาบกิเลสละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ใจของเรา ไม่ใช่ว่าปฏิบัติไม่รู้อะไร สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไร ต้องสร้างขึ้นมาเราก็รู้จักเอาไปใช้ ช่วงใหม่ๆก็จะพลั้งเผลอเพราะว่าความเคยชิน ความคิดเก่าปัญญาเก่าเขาจะปิดกั้นตัวเขาเองมากทีเดียว ก็เขาชอบคิดชอบเที่ยว
ตัวจิตนี้การเกิดของจิตก็หลงแล้ว เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์นี่ก็หลงแล้ว เดี๋ยวนี้การเกิดปรุงแต่งอีกก็หลงแล้วแต่ยังไม่ได้ยึดมาก อาจจะไม่หลงอยู่ในระดับของสมมุติ เราต้องคลายต้องแยกแยะให้รู้เห็นตามความเป็นจริง มีตั้งแต่แนวทางคําสอนของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่สอนเข้าถึงเรื่องของหลักอริยสัจ เข้าถึงเรื่องสมมุติวิมุตติ เข้าถึงเรื่องอัตตา อนัตตาสูงที่สุดในยุคนี้เลยทีเดียว
เราต้องพยายามค้นคว้าให้เข้าถึงวิธีการค้นคว้านี่แหละ ตรงนี้แหละจะพลั้งเผลอกัน การเจริญสตินี่ก็ไม่ทำให้ต่อเนื่อง อาจจะทำได้อยู่เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ เราพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอหรือไม่ จะลุกเข้าห้องส้วมห้องน้ำหรือทำกับข้าวกับปลา รับประทานข้าวปลาอาหาร
ใจของเราเกิดความอยากเราก็รู้จักระงับดับเอาไว้ ใจของเราปรุงแต่งแล้วก็ดับเอาไว้ ส่วนมากมีแต่ส่งเสริมไปเลยคือปรุงแต่งก็ส่งเสริมไปเลย ความคิดเข้ามาก็ร่วมกันไปเลย คือขาดการจำแนกแจกแจง ที่ท่านได้ว่าแยกแยะให้รู้เห็นเป็นกองเป็นขันธ์ ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ที่พากันสวดท่องบทกันทุกวัน ขันธ์ทั้งห้าเป็นของไม่เที่ยง ขันธ์ทั้งห้ามันมีอะไรบ้าง ซึ่งมีตัววิญญาณเข้ามาครอบครอง เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา เราไม่เคยเห็นหน้าตาอาการของเขาไปยังไงมายังไง เพราะว่าสติกำลังสติของเรามียังไม่เพียงพอ
เพียงแค่สร้างก็ยังกระท่อนกระแท่น ที่จะเอาไปใช้เอาไปสังเกตเอาไปวิเคราะห์มันจะทำได้อย่างไร ตื่นขึ้นมาภายในหนึ่งนาทีนี้สติของเราต่อเนื่องถึงหนึ่งนาทีถึงสองนาทีสามนาทีหรือไม่ ต่อไปข้างหน้าเป็นห้านาทีสิบนาทีเป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี ถ้ากำลังสติปัญญาของเรามีความเข้มแข็งต่อเนื่องขึ้นสังเกตจนใจของเราคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์นั้นแหละ กำลังสติของเราถึงจะพุ่งแรงเป็นมหาสติมหาปัญญา เป็นมาก
ตามทำความเข้าใจค้นคว้าจนหมดความสงสัยทุกเรื่อง จนไม่มีอะไรที่จะค้นคว้าต่อนั่นแหละเขาถึงจะหยุด จนเหลือตั้งแต่มหาปัญญาที่หมุนรอบจิตเอาไปทำหน้าที่แทนใจ ใจมีหน้าที่รับรู้ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดด้วยหลงด้วยสารพัดอย่าง มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ไม่ศึกษาจริงๆ หรือก็ยากที่จะเข้าใจ
การได้ยินได้ฟังได้อ่านอันนี้ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม หลวงพ่อก็จะพูดเรื่องนี้แหละตั้งแต่บวชเลยทีเดียว ขอให้เข้าถึงฐานตรงนี้ให้ได้ ตามทำความเข้าใจ จะละได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่ความเพียร รู้ความจริงแล้วเขาไม่เอาหรอกใจ สติสมาธิปัญญาเขาก็จะรักษาเราไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายเราก็จะอยู่กับบุญ ใจก็เป็นบุญกายก็เป็นบุญวาจาก็เป็นบุญ
ทำความเข้าใจกับสมมุติ ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไรเราต้องทำความเข้าใจ ตาก็มีหน้าที่ดูแล้วก็ห้ามไม่ได้ หูมีหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงเข้าไปถึงตัววิญญาณของเรา เราไปจัดการกับตัววิญญาณของเราโน่น ไปละกิเลสไปดับความเกิดโน่น หนุนสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน แต่เวลานี้ตัววิญญาณหรือว่าตัวใจยังไม่ได้คลายเลย ถึงคลายถึงแยกแยะได้ก็เป็นบางช่วงบางครั้ง เราไม่รู้ให้ได้ เราต้องรู้ให้ได้ทุกกระบวนการเลยทีเดียว มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ