หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 038
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 038
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยแล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดนิ่ง ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะมีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้แหละให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอเรารู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกรับรู้ สติของเราก็จะตั้งมั่นขึ้น ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอไป เราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็ก็สร้างขึ้นมาใหม่ ก็จะเกิดความเคยชิน
แต่คนส่วนมากก็ไม่ค่อยจะได้สร้างกัน คิดก็คิดไปเลย ทำก็ทำไปเลย จิตก็เลยเกิดส่งต่อไปภายนอกอยู่ตลอดเวลา บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตกับความคิดเข้าร่วมกันไป เราเลยรู้อยู่เพียงแค่เราคิด มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกบ่อยๆ เราก็จะเข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของจิต เข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ทุกคนก็มีใจที่ฝักใฝ่ในบุญในกุศล อยากจะสร้างบุญสร้างกุศลกันทุกคน ทุกคนก็มีจิตที่น้อมเข้ามาเพื่อที่จะสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น พวกเราได้สร้างบุญตลอดเวลา ได้ทำบุญอยู่ตลอดเวลา โอกาสก็เปิดให้ ทางด้านสมมติก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ ก็มีโอกาส เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในบุญในบาป ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก ทีนี้เราก็พยายามมาเจริญสติเข้าไปทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ เราไม่ได้ทำด้วยอารมณ์ทำด้วยอำนาจของกิเลส ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา หาเหตุหาผลรู้เหตุรู้ผลสักวันนึงเราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง
การควบคุมจิตเราควบคุมได้ระดับไหนบ้าง ระดับภายในตั้งแต่ยังไม่เกิด ระดับก่อตัวแล้วเกิดแล้วควบคุมไม่ให้แสดงออกทางกาย หรือว่าจะแสดงออกทางวาจา เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเป็นชั้นๆ ลึกลงไปก็ควบคุมตั้งแต่ความคิดควบคุมอารมณ์ที่ก่อเกิดขึ้นที่จิตของตัวเราเอง ทำบ่อยๆควบคุมบ่อยๆ แล้วก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ รู้เห็นตามความเป็นจริง จิตก็จะปล่อยก็จะวางได้เร็วได้ไวขึ้น เพียงแค่พวกเราทำไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่านั้นเอง บางคนบางท่านจิตก็สงบดี แต่ขาดสติเข้าไปวิเคราะห์ ก็เปรียบเสมือนกับเรือที่ไม่มีคนขับ ก็ลอยเคว้งคว้าง ลอยไปที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ลอยไปชนอันนั้นบ้างชนอันนี้บ้าง อยากได้สิ่งนั้นบ้างอยากได้สิ่งนี้บ้าง แต่จิตไม่ยึดก็มี ก็ไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก แต่ความยึดมันถือมั่นไม่มีก็มี
นี่แหละถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ จะเอาจะมีจะเป็นก็เอามาด้วยสติเอามาด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็จะส่งออกไปภายนอกอยู่อย่างนั้น ทั้งส่งออกไปภายนอกทั้งหลงด้วยทั้งยึดด้วย ถ้าเรามาเจริญสติ เพียงแค่คำว่า ‘ความระลึกรู้ตัว’ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาบ่อยๆ พลั้งเผลอก็สร้างขึ้นมาบ่อยๆ
ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ได้รับความสงบ จิตของเรามีความกำหนัดเรื่องราคะ รูปรสกลิ่นเสียง เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเสีย รู้จักละเสีย จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทให้ใคร เราก็พยายามอโหสิกรรมให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ความระลึกรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาบ่อยๆ จิตของเรามีความฟุ้งซ่านไม่ว่าเรื่องไหนก็ช่าง เราก็พยามดับพยายามละ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็พยายามดับ
ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ทางสมมติให้ดีด้วย สมมติความเป็นอยู่ภายนอกเราก็ต้องพยายามทำให้ดี ถ้าปากท้องของเรายังมีความหิวโหยอยู่ มันก็ยากที่จะเข้าไปประพฤติปฏิบัติจิตได้ ถ้าอันนั้นก็ยังไม่เรียบร้อย อันนี้ก็ยังไม่เรียบร้อย เราต้องพยายามทำให้เรียบร้อยเสีย มีความพอใจยินดีในสิ่งที่เรามีในสิ่งที่เราเป็น แล้วก็หมั่นสนใจแก้ไขอยู่ปัจจุบันให้ดี
ส่วนภายในซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เรารู้ไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุม แก้ไขได้ทั้งภายนอกทั้งภายใน วิมุตติกับสมมติเขาก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละไม่ได้หนีไปไหนหรอก ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน เพียงแค่เราทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย เราก็จะอยู่ดีมีความสุข ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราต้องหมั่นวิเคราะห์ดูตัวเรา
แต่ละวันๆ จิตมันเกิดอยู่ตลอดนั่นแหละ ความคิดก็มาปรุงแต่งจิตอยู่นั่นแหละ เราพยามสร้างตัวรู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตดู รู้ไม่ทันเราก็พยายามดับ เขาไม่เกิดก็รู้ความปกติเอาไว้ ถ้ากำลังสติของเรามีมาก สักวันหนึ่งเราก็จะสังเกตเห็นตั้งแต่อาการเขาเริ่มเกิดเขาเริ่มก่อตัว
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมที่ท่านเรียกว่า ‘สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง’ ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามตาไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามหูไม่ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาเสีย เวลาตากระทบรูป นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมผัส’ สักแต่ว่าดู เราก็พยายามรู้จิตของเรา เวลาตากระทบรูป จิตของเราเกิดกิเลสไหม เกิดความโลภไหม เกิดความยินดีไหม ยินร้ายไหม ผลักใสไหม ดึงเข้ามาไหม เราพยายามหมั่นตรวจสอบเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
พอตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราก็ตรวจสอบเราแก้ไขเรา เหตุการณ์จากข้างนอกมาทำให้จิตของเราเกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายในโดยตรง เราก็รู้จักหาเหตุหาผลแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะเป็นบุคคลที่ได้เข้าวัด เป็นบุคคลที่ได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงจะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติก็จะคอยตรวจสอบจิตเราอยู่ตลอดเวลา
ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ หาความเป็นกลางหาความว่างนั้นคือความถูกต้อง ความว่างนั่นแหละคือเครื่องอยู่ของจิต เวลาจิตไม่มีความโลภความโกรธ จิตไม่มีความทะเยอทะยานอยาก เขาก็นิ่งเขาก็โล่งเขาก็โปร่ง เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นทาสของกิเลสเป็นทาสของอารมณ์ แต่เราขาดสติเข้าไปวิเคราะห์ดูเท่านั้นเอง
พยายามหมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเราตลอดเวลา ศรัทธาของเราตั้งมั่นหรือไม่ ต้องศรัทธาด้วย แล้วก็สติปัญญาต้องรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบไม่รู้ความหมาย ศรัทธาแล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่า ‘อัตตา’ อะไรคืออัตา อะไรคืออนัตตา สอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์อยู่ในระดับไหน ระดับของสมมติ ระดับของวิมุตติ ทุกข์ภายนอก ทุกข์ภายใน
อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นค้นคว้า ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเราก็ไม่มีใครที่จะวิเคราะห์ให้เราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง เวลาทุกลมหายใจมีค่ามีประโยชน์ อย่าปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เราเกิดมาเราก็หายใจอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เกิดจากท้องแม่มาก็หายใจแล้ว ก็มีการหายใจมาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ หยุดไม่ได้หยุดก็ตาย ลมหายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย ก็เป็นธรรมชาติ เพียงแค่เรามาสร้างความรู้ตัวกับธรรมชาติตรงนี้
กายของเราก็เปลี่ยนสภาพจากเด็กโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคต่างๆ ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก มีความรับผิดชอบ อะไรผิดชั่วดีก็รู้จักรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ อันนี้เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับหนึ่ง อย่าว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติ ถึงไม่ได้ปฏิบัติก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในตัว รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทนผ่านกาลผ่านเวลา
แต่การเจริญสติเข้าไปดูแลจิต ควบคุมจิต แยกรูปแยกนาม ตรงนี้เองที่ยังไม่ค่อยจะได้ศึกษากัน ถึงศึกษาก็ศึกษากันไม่ได้ตลอด ก็ต้องพยายาม ถ้าอยากจะให้ได้ตลอดก็ต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ตัว หรือว่าเจริญสติให้มากๆ ให้ได้ทุกอิริยาบถ การเจริญสติเข้าไปควบคุมจิต ทำความเข้าใจกับจิต แล้วก็รู้จักสร้างบารมี
จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราพยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ เรามีความเชื่อมั่นในตัวเองไม่ โกหกตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีสัจจะกับตัวเราเอง มีพรหมวิหารมีความเมตตา มีความกตัญญูกตเวที รู้จักบุญคุณของพ่อของแม่ ของพี่ของน้อง ให้อภัยทานอโหสิกรรมให้กันและกันตลอดเวลา สักวันนึงเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน พยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง
แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เราพยายามศึกษาให้เป็นธรรมชาติให้ต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ เรามองข้าม เรื่องอยู่เรื่องกินก็เหมือนกัน ก่อนที่จะกินก่อนที่จะรับประทานอาหาร เราก็ต้องดูเสียก่อนว่ากายของเราหิวหรือไม่ จิตของเราเกิดความอยากไหม ถ้าเกิดความอยาก เราก็ควบคุมความอยากให้หายอยากเสียก่อนแล้วค่อยทาน
แล้วก็ความเป็นระเบียบภายนอกด้วย เราก็ต้องพยายามหัดสร้างความเป็นระเบียบให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งภายนอกภายใน สักวันนึงเราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
แต่คนส่วนมากก็ไม่ค่อยจะได้สร้างกัน คิดก็คิดไปเลย ทำก็ทำไปเลย จิตก็เลยเกิดส่งต่อไปภายนอกอยู่ตลอดเวลา บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตกับความคิดเข้าร่วมกันไป เราเลยรู้อยู่เพียงแค่เราคิด มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกบ่อยๆ เราก็จะเข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของจิต เข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
ทุกคนก็มีใจที่ฝักใฝ่ในบุญในกุศล อยากจะสร้างบุญสร้างกุศลกันทุกคน ทุกคนก็มีจิตที่น้อมเข้ามาเพื่อที่จะสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น พวกเราได้สร้างบุญตลอดเวลา ได้ทำบุญอยู่ตลอดเวลา โอกาสก็เปิดให้ ทางด้านสมมติก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ ก็มีโอกาส เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นในบุญในบาป ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก ทีนี้เราก็พยายามมาเจริญสติเข้าไปทำจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ เราไม่ได้ทำด้วยอารมณ์ทำด้วยอำนาจของกิเลส ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา หาเหตุหาผลรู้เหตุรู้ผลสักวันนึงเราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง
การควบคุมจิตเราควบคุมได้ระดับไหนบ้าง ระดับภายในตั้งแต่ยังไม่เกิด ระดับก่อตัวแล้วเกิดแล้วควบคุมไม่ให้แสดงออกทางกาย หรือว่าจะแสดงออกทางวาจา เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเป็นชั้นๆ ลึกลงไปก็ควบคุมตั้งแต่ความคิดควบคุมอารมณ์ที่ก่อเกิดขึ้นที่จิตของตัวเราเอง ทำบ่อยๆควบคุมบ่อยๆ แล้วก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ รู้เห็นตามความเป็นจริง จิตก็จะปล่อยก็จะวางได้เร็วได้ไวขึ้น เพียงแค่พวกเราทำไม่ค่อยจะต่อเนื่องกันเท่านั้นเอง บางคนบางท่านจิตก็สงบดี แต่ขาดสติเข้าไปวิเคราะห์ ก็เปรียบเสมือนกับเรือที่ไม่มีคนขับ ก็ลอยเคว้งคว้าง ลอยไปที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ลอยไปชนอันนั้นบ้างชนอันนี้บ้าง อยากได้สิ่งนั้นบ้างอยากได้สิ่งนี้บ้าง แต่จิตไม่ยึดก็มี ก็ไปด้วยความทะเยอทะยานอยาก แต่ความยึดมันถือมั่นไม่มีก็มี
นี่แหละถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ จะเอาจะมีจะเป็นก็เอามาด้วยสติเอามาด้วยปัญญา ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาก็จะส่งออกไปภายนอกอยู่อย่างนั้น ทั้งส่งออกไปภายนอกทั้งหลงด้วยทั้งยึดด้วย ถ้าเรามาเจริญสติ เพียงแค่คำว่า ‘ความระลึกรู้ตัว’ เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมาเสียก่อน สร้างขึ้นมาบ่อยๆ พลั้งเผลอก็สร้างขึ้นมาบ่อยๆ
ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ได้รับความสงบ จิตของเรามีความกำหนัดเรื่องราคะ รูปรสกลิ่นเสียง เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเสีย รู้จักละเสีย จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาทให้ใคร เราก็พยายามอโหสิกรรมให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ความระลึกรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาบ่อยๆ จิตของเรามีความฟุ้งซ่านไม่ว่าเรื่องไหนก็ช่าง เราก็พยามดับพยายามละ จิตของเรามีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็พยายามดับ
ทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำหน้าที่ทางสมมติให้ดีด้วย สมมติความเป็นอยู่ภายนอกเราก็ต้องพยายามทำให้ดี ถ้าปากท้องของเรายังมีความหิวโหยอยู่ มันก็ยากที่จะเข้าไปประพฤติปฏิบัติจิตได้ ถ้าอันนั้นก็ยังไม่เรียบร้อย อันนี้ก็ยังไม่เรียบร้อย เราต้องพยายามทำให้เรียบร้อยเสีย มีความพอใจยินดีในสิ่งที่เรามีในสิ่งที่เราเป็น แล้วก็หมั่นสนใจแก้ไขอยู่ปัจจุบันให้ดี
ส่วนภายในซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เรารู้ไม่ทันก็รู้จักดับรู้จักควบคุม แก้ไขได้ทั้งภายนอกทั้งภายใน วิมุตติกับสมมติเขาก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละไม่ได้หนีไปไหนหรอก ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน เพียงแค่เราทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย เราก็จะอยู่ดีมีความสุข ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามพากันทำ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เราต้องหมั่นวิเคราะห์ดูตัวเรา
แต่ละวันๆ จิตมันเกิดอยู่ตลอดนั่นแหละ ความคิดก็มาปรุงแต่งจิตอยู่นั่นแหละ เราพยามสร้างตัวรู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตดู รู้ไม่ทันเราก็พยายามดับ เขาไม่เกิดก็รู้ความปกติเอาไว้ ถ้ากำลังสติของเรามีมาก สักวันหนึ่งเราก็จะสังเกตเห็นตั้งแต่อาการเขาเริ่มเกิดเขาเริ่มก่อตัว
ทำความเข้าใจกับภาษาธรรม ภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมที่ท่านเรียกว่า ‘สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง’ ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามตาไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามหูไม่ได้ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับเขาเสีย เวลาตากระทบรูป นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สัมผัส’ สักแต่ว่าดู เราก็พยายามรู้จิตของเรา เวลาตากระทบรูป จิตของเราเกิดกิเลสไหม เกิดความโลภไหม เกิดความยินดีไหม ยินร้ายไหม ผลักใสไหม ดึงเข้ามาไหม เราพยายามหมั่นตรวจสอบเราตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
พอตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราก็ตรวจสอบเราแก้ไขเรา เหตุการณ์จากข้างนอกมาทำให้จิตของเราเกิด หรือว่าเกิดขึ้นจากภายในโดยตรง เราก็รู้จักหาเหตุหาผลแก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา บุคคลเช่นนี้แหละจะเป็นบุคคลที่ได้เข้าวัด เป็นบุคคลที่ได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงจะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา สติก็จะคอยตรวจสอบจิตเราอยู่ตลอดเวลา
ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย แสวงหาอยู่ในกายของเรานี่แหละ หาความเป็นกลางหาความว่างนั้นคือความถูกต้อง ความว่างนั่นแหละคือเครื่องอยู่ของจิต เวลาจิตไม่มีความโลภความโกรธ จิตไม่มีความทะเยอทะยานอยาก เขาก็นิ่งเขาก็โล่งเขาก็โปร่ง เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นทาสของกิเลสเป็นทาสของอารมณ์ แต่เราขาดสติเข้าไปวิเคราะห์ดูเท่านั้นเอง
พยายามหมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเราตลอดเวลา ศรัทธาของเราตั้งมั่นหรือไม่ ต้องศรัทธาด้วย แล้วก็สติปัญญาต้องรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบไม่รู้ความหมาย ศรัทธาแล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริง พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่า ‘อัตตา’ อะไรคืออัตา อะไรคืออนัตตา สอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์อยู่ในระดับไหน ระดับของสมมติ ระดับของวิมุตติ ทุกข์ภายนอก ทุกข์ภายใน
อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นค้นคว้า ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเราก็ไม่มีใครที่จะวิเคราะห์ให้เราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง เวลาทุกลมหายใจมีค่ามีประโยชน์ อย่าปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา เราเกิดมาเราก็หายใจอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ เกิดจากท้องแม่มาก็หายใจแล้ว ก็มีการหายใจมาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ หยุดไม่ได้หยุดก็ตาย ลมหายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย ก็เป็นธรรมชาติ เพียงแค่เรามาสร้างความรู้ตัวกับธรรมชาติตรงนี้
กายของเราก็เปลี่ยนสภาพจากเด็กโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคต่างๆ ผ่านทุกข์ผ่านสุขมามากต่อมาก มีความรับผิดชอบ อะไรผิดชั่วดีก็รู้จักรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ อันนี้เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับหนึ่ง อย่าว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติ ถึงไม่ได้ปฏิบัติก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในตัว รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทนผ่านกาลผ่านเวลา
แต่การเจริญสติเข้าไปดูแลจิต ควบคุมจิต แยกรูปแยกนาม ตรงนี้เองที่ยังไม่ค่อยจะได้ศึกษากัน ถึงศึกษาก็ศึกษากันไม่ได้ตลอด ก็ต้องพยายาม ถ้าอยากจะให้ได้ตลอดก็ต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ตัว หรือว่าเจริญสติให้มากๆ ให้ได้ทุกอิริยาบถ การเจริญสติเข้าไปควบคุมจิต ทำความเข้าใจกับจิต แล้วก็รู้จักสร้างบารมี
จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราพยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการบริจาคด้วยการให้ เรามีความเชื่อมั่นในตัวเองไม่ โกหกตัวเอง แก้ไขตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีสัจจะกับตัวเราเอง มีพรหมวิหารมีความเมตตา มีความกตัญญูกตเวที รู้จักบุญคุณของพ่อของแม่ ของพี่ของน้อง ให้อภัยทานอโหสิกรรมให้กันและกันตลอดเวลา สักวันนึงเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางกัน พยายามกันนะ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง
แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เราพยายามศึกษาให้เป็นธรรมชาติให้ต่อเนื่อง เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ เรามองข้าม เรื่องอยู่เรื่องกินก็เหมือนกัน ก่อนที่จะกินก่อนที่จะรับประทานอาหาร เราก็ต้องดูเสียก่อนว่ากายของเราหิวหรือไม่ จิตของเราเกิดความอยากไหม ถ้าเกิดความอยาก เราก็ควบคุมความอยากให้หายอยากเสียก่อนแล้วค่อยทาน
แล้วก็ความเป็นระเบียบภายนอกด้วย เราก็ต้องพยายามหัดสร้างความเป็นระเบียบให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งภายนอกภายใน สักวันนึงเราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ