หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 039
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 039
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางกายวางใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วก็ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าหายใจออก
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปเพ่ง ถ้าเราเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา การหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสที่ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นี่แหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็จะรู้กายของเรา
รู้กายได้ต่อเนื่อง ต่อไปข้างหน้าก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิด รู้ลักษณะของอารมณ์ เวลาจิตก่อตัวจิตเกิดเขาเกิดอาการอย่างไร เวลาความคิดคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เขาก่อตัวอย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร นั่นแหละมันหลงอยู่ตรงนี้ เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัว เพียงแค่การสร้างความรู้สึกตัวพวกเรายังสร้างกันไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง
เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้าง พอตื่นรู้ตัวเราก็พยายามเจริญสติ รู้กายของเรา รู้ลมหายใจของเรา จะลุกจะก้าวจะเดินก็รู้ความปกติของจิตเป็นหลัก จะคิดจะทำอะไรจิตก็รู้เท่าทัน ส่วนมากก็มีจิตไปก่อน ความคิดมาปรุงแต่งจิตรวมกันไปแล้ว เราก็เลยรู้ว่าเราคิด เราก็เลยรู้ว่าเราทำ มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ อวิชชาความไม่รู้ตรงนี้แหละ
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ใช่ว่าการเจริญสติเพื่ออะไร ความหมายของการเจริญสติ เราต้องการเอาสติไปใช้ไปทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไรมาอย่างไรซึ่งเขาก็มีอยู่แล้ว การเกิดของจิตก็มีอยู่แล้ว การเกิดของความคิด หรืออาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งจิตก็มีอยู่แล้ว เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่นี่แหละเข้าไปสังเกต ส่วนมากคนเราก็จะเอาตั้งแต่นึกคิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก อันนั้นก็เป็นปัญญาระดับของสมมติ แต่ยังไม่ถูกต้อง เพราะว่าเรายัง ไม่ได้เข้าถึงจิตที่แท้จริง ก็ต้องพยายามกัน อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกในการสำรวจตรวจตราดูตัวเรา แล้วก็รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น มีความขยันมันเพียรของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความเสียสละความอดทนอดกลั้น พรหมวิหารความเมตตา ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญูกตเวที มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักชำระสะสางกิเลสตัวเองอยู่ตลอดเวลา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดจากภายในของเราเป็นอย่างไร เรารู้จักละรู้จักดับได้ระดับไหน รู้จักควบคุมกายของตัวเราเองแล้วหรือยัง รู้จักใช้ตัวเองให้เป็น
นี่แหละชีวิตของเรา เราเกิดมาแล้วเราจะไปที่ไหน เราไม่รู้หนทางเราไม่รู้แนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทางแสวงหาสถานที่ ตามความเป็นจริงนั้น ครูบาอาจารย์นั้นมีอยู่ทุกที่ถ้าเราเข้าใจ ก็เรานี่แหละเป็นอาจารย์ของเรา ถ้าเราเจริญสติเข้าไปตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์คอยสอบจิตของเรา คอยสอนเราตลอดเวลา ถ้าเรามีผู้ตรวจสอบ หรือว่าเราได้มาเจริญสติเข้าไปสำรวจ เข้าไปแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง เราต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อย
ภาษาธรรมะ ภาษาโลกภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าธาตุเป็นลักษณะอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร อะไรคืออนัตตา อนัตตาหมายความว่าความว่างเปล่า อะไรคือความว่างเปล่า จิตนั่นแหละจิตของเราว่างเปล่า ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไรจิตที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร คำว่า ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจ
การได้อ่านการได้ศึกษาการได้เรียนทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การเข้าไปสำรวจรู้ต้นตอรู้ต้นเหตุจริงๆ มีน้อย เราก็ต้องพยายาม ถึงมีน้อยถึงมันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเราก็ต้องพยายาม ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เรายิ่งเพิ่มความเพียร ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เรายิ่งเพิ่มความเพียรในการสังเกตในการวิเคราะห์ ในการแก้ไขปรับปรุงตัวเรา สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจ
จิตของคนเรานี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดได้ขัดเกลาจริงๆ ก็ยากที่จะปล่อยวางได้ เพราะว่าเขาเคยเกิด เขาส่งออกไปภายนอก เขาหลงอยู่กับขันธ์ห้าตลอดเวลา จะให้เขาแยกเขาคลายแค่วันหนึ่งสองวันก็เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราไปเรื่อยๆ จนถึงวาระเวลาเขารู้ความจริงเขาก็จะปล่อยจะวางเองนั่นแหละ
แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ยังสร้างความระลึกรู้ตัวยังไม่ชำนาญ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เราเคยสังเกตเคยวิเคราะห์หรือไม่ จิตของเราส่งไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่ากุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตสักกี่ครั้ง จิตของเราเข้าไปร่วมเข้าไปเสวย เข้าไปยินดียินร้ายได้อย่างไร
แม้แต่เวลารับประทานอาหาร เราพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์กายของเราเกิดความหิว หรือว่าจิตเกิดความอยาก เราละความอยากได้หรือไม่ ต่อไปข้างหน้าก็อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เปลี่ยนเป็นความต้องการของสติของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิดรอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ภายในของตัวเรา
พยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปปล่อยโอกาสปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามีประโยชน์ อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกตเราหมั่นแก้ไขเรา อยู่หลายคนเราก็หมั่นสังเกตเราหมั่นแก้ไขเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็จะล้นออกไปภายนอก
ทำสมมติให้ดี ทำวิมุตติให้ดี สมมติคือความเป็นอยู่ของเรานั่นแหละ โลกธรรมแปดต่างๆ นั่นแหละ เราต้องทำความเข้าใจหมด กายของเรายังอยู่ยังอาศัยอยู่กับสมมติเพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ สมมติกับวิมุตติเขาก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ โลกกับธรรมก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละไม่ได้หนีไปไหนหรอก เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่างเสีย นั่นแหละหมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางสมมติจริงๆ ขณะยังไม่หมดลมหายใจเราก็วางที่จิตของเรา แต่รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ก็ต้องพยายามกันเอา
สร้างสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราอย่างเดียวให้ต่อเนื่องกัน ถ้าเราเจริญสติได้ชำนาญแล้ว เรารู้จิตเลยก็ได้ เราดูจิตรู้จิตเลยก็ได้ รู้ความปกติของจิต เอาการงานเป็นการปฏิบัติให้จิตของเรารับรู้ พยายามฝึกฝนกัน ตั้งสติระลึกรู้ดูให้ชัดเจนกันนะ
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปเพ่ง ถ้าเราเพ่งสมองก็ตึง ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา การหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ความรู้สึกสัมผัสที่ลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นี่แหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็จะรู้กายของเรา
รู้กายได้ต่อเนื่อง ต่อไปข้างหน้าก็รู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความคิด รู้ลักษณะของอารมณ์ เวลาจิตก่อตัวจิตเกิดเขาเกิดอาการอย่างไร เวลาความคิดคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เขาก่อตัวอย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร นั่นแหละมันหลงอยู่ตรงนี้ เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัว เพียงแค่การสร้างความรู้สึกตัวพวกเรายังสร้างกันไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง
เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็พยายามสร้าง พอตื่นรู้ตัวเราก็พยายามเจริญสติ รู้กายของเรา รู้ลมหายใจของเรา จะลุกจะก้าวจะเดินก็รู้ความปกติของจิตเป็นหลัก จะคิดจะทำอะไรจิตก็รู้เท่าทัน ส่วนมากก็มีจิตไปก่อน ความคิดมาปรุงแต่งจิตรวมกันไปแล้ว เราก็เลยรู้ว่าเราคิด เราก็เลยรู้ว่าเราทำ มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ อวิชชาความไม่รู้ตรงนี้แหละ
เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ใช่ว่าการเจริญสติเพื่ออะไร ความหมายของการเจริญสติ เราต้องการเอาสติไปใช้ไปทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง
อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไรมาอย่างไรซึ่งเขาก็มีอยู่แล้ว การเกิดของจิตก็มีอยู่แล้ว การเกิดของความคิด หรืออาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งจิตก็มีอยู่แล้ว เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่นี่แหละเข้าไปสังเกต ส่วนมากคนเราก็จะเอาตั้งแต่นึกคิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก อันนั้นก็เป็นปัญญาระดับของสมมติ แต่ยังไม่ถูกต้อง เพราะว่าเรายัง ไม่ได้เข้าถึงจิตที่แท้จริง ก็ต้องพยายามกัน อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าปล่อยเวลาทิ้ง
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ทุกคนมีเวลาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกในการสำรวจตรวจตราดูตัวเรา แล้วก็รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น มีความขยันมันเพียรของเรามีเต็มที่หรือไม่ ความเสียสละความอดทนอดกลั้น พรหมวิหารความเมตตา ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความกตัญญูกตเวที มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักชำระสะสางกิเลสตัวเองอยู่ตลอดเวลา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดจากภายในของเราเป็นอย่างไร เรารู้จักละรู้จักดับได้ระดับไหน รู้จักควบคุมกายของตัวเราเองแล้วหรือยัง รู้จักใช้ตัวเองให้เป็น
นี่แหละชีวิตของเรา เราเกิดมาแล้วเราจะไปที่ไหน เราไม่รู้หนทางเราไม่รู้แนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทางแสวงหาสถานที่ ตามความเป็นจริงนั้น ครูบาอาจารย์นั้นมีอยู่ทุกที่ถ้าเราเข้าใจ ก็เรานี่แหละเป็นอาจารย์ของเรา ถ้าเราเจริญสติเข้าไปตรวจสอบจิตของเราตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์คอยสอบจิตของเรา คอยสอนเราตลอดเวลา ถ้าเรามีผู้ตรวจสอบ หรือว่าเราได้มาเจริญสติเข้าไปสำรวจ เข้าไปแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะตลอดเวลา ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง เราต้องทำความเข้าใจให้เรียบร้อย
ภาษาธรรมะ ภาษาโลกภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าธาตุเป็นลักษณะอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร อะไรคืออนัตตา อนัตตาหมายความว่าความว่างเปล่า อะไรคือความว่างเปล่า จิตนั่นแหละจิตของเราว่างเปล่า ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไรจิตที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร คำว่า ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจ
การได้อ่านการได้ศึกษาการได้เรียนทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การเข้าไปสำรวจรู้ต้นตอรู้ต้นเหตุจริงๆ มีน้อย เราก็ต้องพยายาม ถึงมีน้อยถึงมันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเราก็ต้องพยายาม ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เรายิ่งเพิ่มความเพียร ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่เรายิ่งเพิ่มความเพียรในการสังเกตในการวิเคราะห์ ในการแก้ไขปรับปรุงตัวเรา สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจ
จิตของคนเรานี่ก็แปลกถ้าไม่ได้ฝึกหัดได้ขัดเกลาจริงๆ ก็ยากที่จะปล่อยวางได้ เพราะว่าเขาเคยเกิด เขาส่งออกไปภายนอก เขาหลงอยู่กับขันธ์ห้าตลอดเวลา จะให้เขาแยกเขาคลายแค่วันหนึ่งสองวันก็เป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตัวเราไปเรื่อยๆ จนถึงวาระเวลาเขารู้ความจริงเขาก็จะปล่อยจะวางเองนั่นแหละ
แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ยังสร้างความระลึกรู้ตัวยังไม่ชำนาญ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เราเคยสังเกตเคยวิเคราะห์หรือไม่ จิตของเราส่งไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่ากุศล ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตสักกี่ครั้ง จิตของเราเข้าไปร่วมเข้าไปเสวย เข้าไปยินดียินร้ายได้อย่างไร
แม้แต่เวลารับประทานอาหาร เราพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์กายของเราเกิดความหิว หรือว่าจิตเกิดความอยาก เราละความอยากได้หรือไม่ ต่อไปข้างหน้าก็อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เปลี่ยนเป็นความต้องการของสติของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิดรอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ภายในของตัวเรา
พยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปปล่อยโอกาสปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา ทุกลมหายใจเข้าออกมีค่ามีประโยชน์ อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกตเราหมั่นแก้ไขเรา อยู่หลายคนเราก็หมั่นสังเกตเราหมั่นแก้ไขเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็จะล้นออกไปภายนอก
ทำสมมติให้ดี ทำวิมุตติให้ดี สมมติคือความเป็นอยู่ของเรานั่นแหละ โลกธรรมแปดต่างๆ นั่นแหละ เราต้องทำความเข้าใจหมด กายของเรายังอยู่ยังอาศัยอยู่กับสมมติเพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ สมมติกับวิมุตติเขาก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละ โลกกับธรรมก็อยู่ร่วมกันนั่นแหละไม่ได้หนีไปไหนหรอก เราทำความเข้าใจทั้งสองอย่างเสีย นั่นแหละหมดลมหายใจนั่นแหละเราถึงจะได้วางสมมติจริงๆ ขณะยังไม่หมดลมหายใจเราก็วางที่จิตของเรา แต่รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ก็ต้องพยายามกันเอา
สร้างสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ทำใจของเราให้สบาย ทำกายของเราให้สบาย อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราอย่างเดียวให้ต่อเนื่องกัน ถ้าเราเจริญสติได้ชำนาญแล้ว เรารู้จิตเลยก็ได้ เราดูจิตรู้จิตเลยก็ได้ รู้ความปกติของจิต เอาการงานเป็นการปฏิบัติให้จิตของเรารับรู้ พยายามฝึกฝนกัน ตั้งสติระลึกรู้ดูให้ชัดเจนกันนะ