หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 034

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 034
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 034
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพัก ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวรู้กายรู้จิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา กับกายของเรา

กายของเราเป็นอย่างไรบ้าง อะไรขาดตกบกพร่อง จิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง สงบดีอยู่หรือไม่ หรือว่ามีตั้งแต่ความกังวล หรือมีตั้งแต่ความฟุ้งซ่าน จิตของเราส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร เรื่องอะไรที่เขาส่งออกไป เป็นกุศลหรือว่าอกุศล มีกิเลสหรือไม่ ความคิดอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราได้อย่างไร

เราต้องสร้างผู้รู้ สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าเราเกียจคร้านในการเจริญสติตัวนี้เราก็จะไม่เข้าใจ เราอาจจะเข้าใจอยู่ในระดับของสมมติ นึกเอาคิดเอาเองออเองเอา เราต้องหัดวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่บ่อยๆ

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกอิริยาบถ ความอยากความทะเยอทะยานอยาก อย่าให้เกิดขึ้นที่จิต แม้แต่อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราดับความเกิดที่จิต เราละกิเลสที่จิต หนุนกำลังสติเข้าไปทำหน้าที่ เขาเรียกว่า ‘ปัญญา’ เอาไปใช้กับสมมติ ถ้าเราต้องการสิ่งไหนเราก็เอามาด้วยสติเอามาด้วยปัญญาเพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์เท่านั้นเอง เรามาค้นคว้ากายของเราให้ละเอียดเสียก่อน

กายของเราก้อนนี้แหล่ะที่เรียกว่า ‘ก้อนทุกข์’ ก้อนทุกข์ก้อนกรรม ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ภพมนุษย์ก็เกิดมาแล้ว ชาติก็เกิดมาแล้ว ความชราความคร่ำคร่า ความเกิดความแก่ความเจ็บ อีกสักหน่อยความตายก็จะตามมา เรามาศึกษาทำความเข้าใจกับเขาให้ละเอียดเสียตอนที่เขายังมีลมหายใจอยู่

กายก็กายของเราอยู่ในทางสมมติ ในหลักธรรมจริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่ธาตุมาประชุมกันเข้ามีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจได้ละเอียด เราต้องแยก ต้องแยกออกให้เป็นชิ้นเป็นกอง ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ‘กองขันธ์ของใครขันธ์ของมัน’ กองของใครกองของมัน กองของรูป กองของวิญญาณ กองของสังขาร กองของสัญญา แต่เราไม่รู้เราไม่เห็น เราแยกไม่ได้ เราเหมารวมกันไปหมดว่าอันนี้คือกายของเรา เป็นของเรา เป็นของเราแล้วก็ไปยึดเอาภายนอกด้วย เป็นทาสของอารมณ์อีกด้วย ทาสของกิเลสอีกด้วย ทาสของความทะเยอทะยานอยาก

อยากไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ ไม่รู้จักสำรวมกายของตัวเอง ไม่รู้จักสำรวมอินทรีย์ของตัวเราเอง เวลาตากระทบรูปจิตของเราเกิดความยินดี หรือว่าเกิดความยินร้าย หรือว่าเป็นกลางๆ หูกระทบเสียงก็เหมือนกัน ลิ้นกระทบรสก็เหมือนกัน

เวลาจะรับประทานอาหาร หรือว่าขบฉัน เราก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ กายของเราหิวหรือว่าปกติ จิตของเราเกิดความอยาก เกิดความยินดีในอาหารหรือไม่ จะเอาจะมีจะเป็น เราก็เอาด้วยสติด้วยปัญญารู้จักพิจารณา ในหลักธรรมซึ่งเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ พิจารณาก่อนที่จะรับประทาน รับประทานแล้วก็รู้จักพิจารณา พิจารณากายแล้วก็ลึกลงพิจารณาจิต พิจารณาจิตพิจารณากาย กลับไปกลับมาๆ

ถ้าขี้เกียจพิจารณาก็อยู่กับลมหายใจ มีสติรับรู้อยู่กับลมหายใจ จิตรับรู้อยู่ เราก็ต้องพยายามหัดทำความเข้าใจกับความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้เข้มแข็งขึ้นมา นิวรณธรรมซึ่งเป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ให้ได้รับความสงบเป็นลักษณะอย่างไร จิตของเรามีความสงบปกติจากอาสวกิเลส จากรูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ มีความทะเยอทะยานอยาก อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา จิตของเรามีความกำหนัดในรูปรสกลิ่นเสียง เราก็รู้จักละรู้จักดับในขณะปัจจุบันนี่แหละ

เดี๋ยวนี้จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามให้อภัยทาน ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จิตของเรามีความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับ มีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็รู้จักดับ เราหมั่นสนใจหมั่นฝักใฝ่ เขาเรียกว่า ‘ใช้อิทธิบาทสี่’ มีความพอใจ มีความพากเพียรในการสังเกตในการวิเคราะห์จิตของเรา ไม่ปล่อยละวางในหน้าที่ที่จะเข้าไปทำความเข้าใจ ยิ่งไม่เข้าใจเท่าไหร่ เราก็เพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ

อยู่คนเดียวเราก็หมั่นสังเกตจิตของเรา อยู่หลายคนเราหมั่นสังเกตจิตของเรา ทำงานไปด้วยจิตรับรู้ไปด้วย จิตก็ได้พักผ่อนจิตก็ไม่เครียด เอาการงานเป็นการปฏิบัติ เป็นการฝึกเป็นความเสียสละ เสียสละทั้งภายนอกเสียสละทั้งภายใน ภายในก็เสียสละอารมณ์เสียสละกิเลสให้อภัยยทาน ภายนอกเราก็ทำสมมติยังสมมติถ้าเกิดประโยชน์อยู่ตลอดเวลา

บุคคลที่มีสติมีปัญญา มีอานิสงส์มีบุญบารมีพอ รู้จักวิธีการเจริญสติก็จะไปเจริญสติอยู่คนเดียว เราก็หมั่นสังเกต เราไม่ได้เจริญสติพร่ำเพรื่อหรอก เราเจริญสติเข้าไปแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจ เขาจะเป็นอัตโนมัติของเขาเอง

ส่วนมากเราแยกรูปแยกนามไม่ได้ กำลังสติความรู้ตัวของเราก็เลยพลั้งเผลอ มันพลั้งเผลอ แม้ตั้งแต่การสร้างการรักษาพวกเราก็ยังสร้างไม่ต่อเนื่อง แล้วก็ทำไม่ต่อเนื่อง จะเอาตั้งแต่ธรรม เวลาทำปุ๊บบางทีรู้ตัวได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ลืมเสียเผลอเสีย กว่าจะระลึกได้ทีบางทีก็เป็นชั่วโมง บางทีก็เป็นวัน ระลึกได้ต่อเนื่องกันเพียงแค่นาที 2 นาที ส่วนกิเลสมารต่างๆ เขามาลากไปทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี เราจะไปสู้เขาได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามเอา

บุคคลที่มีปัญญาไม่จำเป็นต้องไปอ่านไปฟังมากหรอก อ่านกายของเรานี่แหละ การอ่านการฟังการได้ยินได้ฟังทุกคนก็มีกันเต็มเปี่ยม เป็นแนวทางอยู่แล้ว เรารู้ไม่ทันก็รู้จักดับจักละจักปล่อยจักวาง พยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกันหมด มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ขาดตกบกพร่องอะไรก็ช่วยกันบอกกัน เราก็จะได้อนุเคราะห์กัน

เรามีโอกาสมีบุญมีวาสนาร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน มีวิบากร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ได้มาร่วมกัน เราก็มาทุกคนก็ปรารถนาที่จะมาหาหนทางดับทุกข์ หาหนทางหลุดพ้น ก็ต้องพยายามหมั่นแก้ไขปรับปรุงตัวเรา แล้วก็รู้จักรับผิดชอบต่อตัวเอง รับผิดชอบต่อหมู่ต่อคณะต่อส่วนรวม มีอะไรก็ช่วยกัน

อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาความสุขที่ไหนหรอก ความสุขทั้งภายนอกภายใน ภายนอกเราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีตามสมมติ ภายในเราก็หมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเราทีละเล็กทีละน้อย มันก็จะเหือดแห้งไปๆ สนุกสร้างบุญสร้างกุศล นี่แหละเราก็จะอยู่กับบุญ

กายของเราก็เป็นบุญ วาจาของเราก็เป็นบุญ ใจของเราก็เป็นบุญ สนุกสร้างบุญ สนุกสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ในโลกปัจจุบันประโยชน์ในโลกหน้า เรารีบสร้างรีบทำเอาไว้เสียมีโอกาสให้รีบทำ

หลวงพ่อก็พาทำ หลวงพ่อก็เปิดโอกาสให้ทำอยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อก็ขอขอบใจขอบคุณทุกคนที่ได้มาช่วยกัน ทั้งญาติโยมชาวบ้านทั้งพระทั้งชีก็ช่วยกันทำงานทางด้านสมมติทำหน้าที่หนักเบาเอาสู้ นี่แหละเราทำเสร็จทุกสิ่งทุกอย่างก็ เราก็พลอยได้รับประโยชน์อันนั้น คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์ได้รับความสงบความสุข ให้ช่วยกันดูแล ไม่ใช่สมบัติของคนใดคนหนึ่ง เป็นสมบัติของทุกคน เป็นสมบัติของแผ่นดิน

เรามาอาศัยสมมติอยู่ ถึงวาระเวลาเราต้องได้พลัดพลาดจากสมมติตรงนี้ แม้แต่กายของเราเราก็ต้องได้วางถ้าถึงเวลา ถ้ายังไม่ถึงเวลาเราก็ดูแลรักษาเขาไปให้ดี ทางสมมติเราก็รู้จักรับผิดชอบให้ดี ตั้งแต่ประตูทางเข้าวัดนั่นแหละ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน โรงครัวห้องส้วมห้องน้ำเราก็ดู ตรงไหนมันสกปรกเราก็ช่วยกันทำ ไม่ใช่เฉพาะพระโยมชีโยมมาก็เหมือนกัน ตรงไหนที่ไม่เรียบร้อย หรือไม่สะอาดก็ช่วยกันทำ เศษขยะเศษกระดาษต่างๆ ก็อย่าไปทิ้งระเกะระกะ ให้พากันช่วยกันทำ

ความสะอาดความเป็นระเบียบนั่นแหละคือหลักคือตัวการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าปากว่าใจว่าชอบสะอาด แต่ชอบทิ้งไปเกลื่อนกลาดทั่ว นั่นมันไม่ใช่ เราก็ต้องพยายามช่วยกันดูแลช่วยกันรักษา ห้องส้วมห้องน้ำก็เหมือนกัน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำเราก็ดูว่าห้องไหนมันสกปรกเราก็รีบทำเสีย น้ำไม่มีน้ำไม่พอเราก็เปิดใส่เสียให้เต็มเอาไว้ เราก็ได้ประโยชน์ ที่พักที่อาศัย เศษขยะก็อย่าไปทิ้งให้เกลื่อนกลาด เก็บข้าวเก็บของก็เก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่ได้เก้อได้เขิน ก็ต้องพยายามกัน

อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ พวกท่านจะพากันไปฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาตนเองหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกท่านเอง ต้องพยามกัน ทุกคนก็มีจิตที่ฝักใฝ่ในกองบุญในกองกุศลทั้งนั้น ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง