หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 013

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 013
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550 ลำดับที่ 013
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2550
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความระลึกรู้ตัว รู้กายรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราน้อมสำรวจเราแล้วหรือยัง น้อมสำรวจกายน้อมสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ

ตื่นขึ้นมา หน้าที่ของเราอันดับแรก ก็คือการสำรวจกายสำรวจจิตของตัวเราเอง ความระลึกรู้ตัวเราได้สร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักสร้างให้ต่อเนื่องหรือไม่ ตื่นขึ้นมาปุ๊บจิตก็ปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก ความคิดก็มาปรุงแต่งจิต สารพัดเรื่องที่เข้ามาปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เรามาน้อมระลึกรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง

สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนออกมายาวๆ ความรู้สึกเวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด เวลาลมวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็เด่นชัด ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิต ความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ก็จะหยุดก็จะดับ เพียงแค่เราหัดระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้เกิดความเคยชิน พวกเราก็ยังทำกันไม่ชํานาญ แม้ตั้งแต่จะลุกจะก้าวจะเดิน สร้างความรู้สึกอยู่ที่การเดินก็ทำไม่ได้ต่อเนื่อง

ทุกคนมีจิตที่เป็นบุญ ทุกคนก็มีศรัทธาฝักใฝ่สนใจ แต่เป็นการสนใจที่ไม่ต่อเนื่อง เราต้องพยายามทำอะไรก็ทำให้ต่อเนื่องถึงจะรู้ความเป็นจริง เราจะไปนึกไปคิดไปอ่านไปฟัง อันนั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ชี้แนะแนวทางให้ แต่การกระทำการลงมือการสร้างความระลึกรู้ตัว แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง รู้ไม่ทันจิต หรือว่ารู้ไม่ทันเท่าทันความคิด รู้ไม่เท่าทันอารมณ์ เราก็รู้จักใช้สมถะเข้าไปควบคุม เข้าไปดับเข้าไปควบคุมเอาไว้

ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวน ทวนกระแส เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิด ความคิดชอบมาปรุงแต่งจิต แล้วก็หลงไปกับความคิดหลงไปกับอารมณ์ นั่นเรียกว่า ‘ความหลง’ เรียกว่า‘อวิชชา’ โมหะ ความหลงเข้าครอบงำ สมมติก็เข้าครอบงำ กิเลสต่างๆ ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากก็เข้าครอบงำ

กิเลสก็มีหลายอย่าง มีทั้งหยาบมีทั้งละเอียด มีทั้งฝ่ายกุศล มีทั้งฝ่ายอกุศล ทั้งดีทั้งชั่ว ดีก็เป็นฝ่ายกุศล ชั่วก็เป็นฝ่ายอกุศล เราต้องทำความเข้าใจหมด ทุกสิ่งทั้งดีทั้งชั่ว ทำความเข้าใจให้ละเอียดว่าจิตของเราเกิดได้อย่างไร จิตของเราส่งไปข้างนอกได้อย่างไร จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปร่วมได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด บุคคลผู้รู้มีสติมีปัญญาพอรู้แนวทางแล้ว ก็จะไปสํารวจตรวตราดูตัวเรา ไม่ต้องให้คนอื่นต้องไปบังคับต้องไปเคี่ยวเข็ญ

การน้อมเข้าไปรู้ ใหม่ๆ เรายังรู้ไม่เท่าทันจิต ก็ให้รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นรู้กาย ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของกายของเรา ขณะที่พิจารณาดู ก็อย่าให้เกิดความอยาก เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย

ทำความเข้าใจกับทวารทั้งของเราเสีย ตาก็ทำหน้าที่ดูเราก็ห้ามไม่ได้ หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ เขาก็ทำหน้าที่ของเขา รูปรสกลิ่นเสียงเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ในเมื่อรูปรสกลิ่นเสียงผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก หูตาจมูกกลิ่นกายของเรา เรามีความระลึกรู้ว่าจิตของเรายังปกติดีอยู่หรือไม่ หรือว่าเกิดความยินดี เกิดความยินร้าย

เราต้องพยายามหัดวิเคราะห์ให้รู้ถึงจิต ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมโดยที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง การประพฤติการปฏิบัติต้องมีจุดหมายปลายทางเป็นที่ตั้ง เจริญสติไปเพื่ออะไร ความระลึกรู้ตัวยังไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา สมาธิความสงบไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา รู้จักสร้างรู้จักรักษา แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจจนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความหลง แยกรูปแยกนามได้นั่น อวิชชาถึงจะคลาย วิชาถึงจะเปิด สัมมาทิฐิถึงจะเปิดทางให้เรา

เราก็จะมองเห็นทาง มองทะลุปรุโปร่ง กําลังสติของเราก็จะตามทำความเข้าใจ เราจะไปบังคับว่าต้องเอาให้ได้ ทำให้ได้อย่างนั่นอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด เราเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ อย่าให้พลั้งเผลอ ถ้าสติของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักดับ แล้วก็วางอยู่ปัจจุบัน เน้นลงอยู่ที่ปัจจุบัน

ปัจจุบันธรรมทุกคนคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต ไม่ใช่ว่าปัจจุบันในทางโลกๆ วันนี้ก็เป็นปัจจุบัน นาทีนี้ชั่วโมงนี่ก็เป็นปัจจุบัน แต่ปัจจุบันในทางธรรม คือรู้ทุกขณะเวลาลมสัมผัสวิ่งเข้าวิ่งออก รู้ทุกขณะ ทุกขณะจิตที่ก่อตัว รู้ทุกขณะจิตที่ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต

ตราบใดที่เรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ กําลังสติของเราจะไม่ต่อเนื่อง กําลังสติของเราจะไม่เป็นมหาสติ เพียงแค่การสร้างกับการรักษา พวกเราก็ยังไม่ทำให้ต่อเนื่องกัน มันก็เลยไม่เข้าใจในส่วนปัญญาขั้นสูงกัน ก็ต้องพยายามทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย อย่าให้จิตของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย เราต้องทำความเข้าใจกับภาษาธรรมะ ‘สักแต่ว่าดู’ ‘สักแต่ว่ารู้’ ‘สักแต่ว่าฟัง’

ใหม่ๆ ก็อาจจะติดขัดบ้าง พลั้งเผลอบ้าง เราก็เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ ถ้าเราขยันหมั่นเพียร อยู่คนเดียวก็หมั่นวิเคราะห์เรา อยู่หลายคนเราก็หมั่นวิเคราะห์เรา ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้จะสนุก ทำไมถึงว่าสนุก สนุกที่ว่ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสไหม พลั้งเผลอก็เริ่มใหม่

กิเลสความละเอียด หรือความหยาบเข้ามา มันหลายสิ่งหลายอย่าง เราต้องศึกษาต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม เราก็ต้องดับ อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา เราต้องดับต้องละออกให้หมด ทีนี้เราจะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของสติเรื่องของปัญญา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญา

ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ไม่ยึดติดในสมมตินั้น เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียด ก็ต้องพยายามไปศึกษาค้นคว้ากันนะ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านต้องพยายามพากันไปศึกษาค้นคว้ากัน ขณะที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ เราก็พยายามประคับประคองสติของเราเอาไว้ ไม่ใช่ว่าพลั้งเผลอไปเลย

ขณะจะลุกจะก้าวจะเดิน ใหม่ๆ ก็อาจจะสติของเราจะช้า ความระลึกรู้ตัวของเราจะช้า เราก็ต้องพยายามเริ่มบ่อยๆ จนกว่ากําลังสติของเราจะไปใช้การใช้งานได้ รอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในความคิด รอบรู้ในอารมณ์ รอบรู้ในโลกธรรมแปด เอาไปใช้กับสมมติจนเป็นอัตโนมัติ จนสติปัญญาสมาธิเขารักษาเราได้นั่นแหละ ช่วงใหม่ๆ สติสมาธิไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมาแล้วทำความเข้าใจ

ต่อไปข้างหน้าถ้าจิตของเรารู้ความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่เป็นทาสของความอยากหรอก เขาก็ไม่เป็นทาสของอารมณ์หรอก เค้าก็รู้จักละรู้จักดับ ธรรมะก็จะรักษาเรา สติปัญญาเขาก็จะรักษาเรา เราต้องรักษาเรา ต้องสร้างเขาขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ถ้าเขารู้ความเป็นจริงแล้วเขาก็จะรักษาเราเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะวันนี้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง