หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 115
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 115
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกตัว สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดคิดสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ถ้าหยุดไม่ได้จริงๆ ก็พยายามอดพยายามข่ม ด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ (เอาวางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ เอาวางไว้ก่อน)
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปเพ่งอย่าไปจดจ้อง แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เราก็ต้องพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ยิ่งเราไม่เข้าใจเท่าไร ยิ่งเราทำความละเอียดอ่อนไม่ได้ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ
หายใจอย่างไรถึงไม่อึดอัด หายใจอย่างไรความรู้สึกถึงจะเด่นชัด หายใจหยาบหายใจละเอียด ยิ่งไม่เข้าใจยิ่งไม่สนใจยิ่งห่างไกล ยิ่งไม่เข้าใจเรายิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ แต่อย่าไปเพิ่มด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต เราหัดสังเกต เวลาปกติ ยืนเดินนั่งนอน ทุกอิริยาบถ เราก็หายใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าจะหยุด แม้แต่กระทั่งเรานอนหลับ ตื่นขึ้นมาลมหายใจก็วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ แต่เราขาดความรู้สึกรับรู้ที่เด่นชัด เราปล่อยเลยตามเลย
ส่วนจิต บางครั้งเขาก็สงบอยู่ บางครั้งเขาก็เกิด ส่วนมากจะเกิดส่งออกไปภายนอกเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็มีความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ซึ่งหลักธรรมหรือว่าภาษาธรรมะ ท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ความคิดที่เราไม่ต้องการต่างๆ ก็จะผุดขึ้นมา จิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วม ตรงนี้แหละสำคัญ โมหะ เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ หลงความคิดหลงอารมณ์ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน แล้วก็จิตของเราก็เป็นทาสของกิเลส ของความโลภความโกรธ ของความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วย แล้วก็หวังด้วย แล้วก็ทิฏฐิความเห็นต่างๆ ทิฏฐิมานะทำให้เกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา
ทำอย่างไรเราถึงจะทำความเข้าใจกับอัตตา แล้วก็ทำลายอัตตาได้ อัตตาในทางสมมติเราก็มีอยู่คือก้อนรูป แต่เรายังวางอัตตาตัวตนไม่ได้ ทั้งที่อยากจะวาง ทั้งที่ไม่อยากจะเอาอยากจะยึด แต่เราก็วางไม่ได้ เพราะว่าจิตของเรายังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้ตื่นตัว แล้วก็ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม ให้รู้ให้เห็น ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม ขณะที่เราตื่นตัวอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ขณะนี้ปัจจุบันนี้แหละ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามอโหสิกรรมให้อภัยทานทุกเรื่อง จิตของเรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับ การดับว่าจะดับวิถีไหน
ความรู้สึกตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมาต่อเนื่องหรือไม่ หรือว่าพลั้งเผลอ หรือว่าเรามีความเกียจคร้าน จิตมีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็ดับ อย่าไปนึกเอาคิดเอาเด็ดขาด ความคิดเก่าๆ เรามีอยู่
เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสังเกตรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้ารู้ไม่ทันต้นเหตุแล้วก็ดับเอาไว้ บางทีเราก็รู้อยู่ แต่เราขาดการแยกขาดการคลาย จิตของเรายังหลงอยู่ บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ แต่เป็นเปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ยังไม่ได้หงายเท่านั้นเอง ความคิดเก่าๆ เราจะมีมากมายถึงขนาดไหน เราก็อย่าเพิ่งจะเอามาคิด เราต้องพยายามคลายให้ได้แยกให้ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งหรอก เราเอาเก็บไว้ก่อน จะฝืนความคิดเก่า ความคิดเก่ามีทั้งร้อยเราก็ต้องคลายออกทั้งร้อย ให้เหลืออยู่ที่ศูนย์ คือความว่างความไม่มีอะไร
จิตจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ กิเลสมากกิเลสน้อย กิเลสฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศล ดับหมด ดับความเกิด แม้แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากตัวจิตเราก็ดับ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด เราดับแล้วหนุนกำลังสติไปทำหน้าที่แทน กำลังสติของเรามีกำลังมากขึ้นๆๆ เขาก็จะเอาไปใช้ จนเป็นปัญญา เป็นมหาปัญญา จนทำหน้าที่แทนจิต สติปัญญาเปรียบเสมือนกับกงจักรหมุนรอบจิตของเราอยู่ตลอดเวลา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อยก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญาของเรา
เราก็รู้จักเข้าไปรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ รู้จักแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง มีความรับผิดชอบต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม บอกตัวเองให้เห็นได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับเขาบัญชา เราต้องบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
กาย กิเลสเกิดขึ้นที่กาย หรือว่าจิตปรุงแต่งร่วม หรือกิเลสเกิดขึ้นที่จิตปรุงแต่ง หรือเหตุการณ์จากข้างนอกมาทำให้เกิด หรือเกิดขึ้นจากภายใน ก็ต้องรู้ต้องเห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ของตัวเราเอง
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี พอรู้แนวทางเล็กๆ น้อยๆ ก็พยายามแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อาศัยความอดทนอาศัยความอดกลั้นอาศัยกาลอาศัยเวลาความต่อเนื่องที่ถูกต้อง รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย แล้วก็ทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
เมื่อจิตรู้ความเป็นจริงแล้ว เขาจะไม่เอาอะไรสักอย่าง แม้แต่การเกิด การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ช่วงขณะนี้เขาทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย ทั้งวิ่งออกไปภายนอกด้วย หาที่พึ่งภายนอก พึ่งขันธ์ห้าบ้าง พึ่งอำนาจของกิเลสบ้าง เดี๋ยวนี้เขามีกิเลสเป็นเพื่อน เขามีขันธ์ห้าเป็นเพื่อน เขาอยู่ด้วยกันมาหลายกัปหลายกัลป์ เราจะไปจับเขาแยกเขาคลาย ให้เขายอมรับความเป็นจริง เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวนี้ก็ยากอยู่
เราต้องหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา แล้วก็หมั่นเจริญพรหมวิหาร ศรัทธาความเชื่อมั่น ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียรในการขัดเกลาจิตของเรา แล้วก็เจริญพรหมวิหารอยู่ตลอดเวลา จิตของเรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภนั้นเสีย ด้วยการทำในสิ่งตรงกันข้าม ด้วยการเอาออก ด้วยการให้ จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธ แล้วก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเรา เราจะชนะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คนเราไม่ชอบเอาชนะตัวเอง ชอบจะเข้าข้างตัวเอง
ทีนี้เราจะเอาจะมีจะเป็น จะทำอะไรเราก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ทำด้วยสติด้วยปัญญา มีความรับผิดชอบที่สูง ทรัพย์ภายในก็ไม่เสีย ทรัพย์ภาพนอกก็ไม่เสีย ถึงเสียเราก็รีบแก้ไขเสีย อยู่ปัจจุบันให้ดีก็เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ประโยชน์มากประโยชน์น้อย เราก็จะมองเห็น มองเห็นชัดเจนว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
เพียงแค่การเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้ตัวปุ๊บตั้งสติขึ้นมาปั๊ปทันทีเลย ไม่จำเป็นต้องไปรอเวลาโน้นรอเวลานี้ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย
ตัวไหนเป็นตัวสั่งการไป ตัวไหนเป็นตัวสั่งให้คิดให้พิจารณา สติของเราเป็นคนสั่ง จิตของเรานิ่งรับรู้อยู่รึเปล่า จิตนี่ก็แปลกนะ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ขัดเกลา ไม่อดไม่กลั้น ไม่มีกำชับกำชา ไม่หมั่นพร่ำสอนเขานี่ก็ยากนะ
บุคคลบางท่านก็สร้างบารมีมาดี กิเลสเบาบาง แต่ก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาเท่าเทียมกันหมด แต่ทางด้านสมมตินั้น บางคนบางท่านก็สร้างมาบริบูรณ์ บางคนบางท่านก็ยังลำบากอยู่ ก็ต้องพยายาม ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกคนเกิดมาก็ไม่มีอะไรติดตัวมา ก็มีตั้งแต่ทรัพย์ภายในที่ฝังจิตของเรามา แล้วก็ความขยันหมั่นเพียร การทำความเข้าใจที่ถูกต้อง
เราเกิดมาในประเทศอันสมควร ซึ่งมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์อุปถัมภ์ศาสนาของเรา แล้วก็เป็นบุญด้วย วัดของเราก็ได้รับความเมตตาจากพระเจ้าอยู่หัวของเรา ท่านได้แผ่เมตตาแล้วก็ให้อัญเชิญพวงมาลาจากทางในสำนักพระราชวัง องค์แทนของท่านก็จะอัญเชิญขึ้นเครื่องบินมา แล้วก็จะได้มาบูชาองค์พระพุทธรูปหยก แล้วก็บูชาบรมสารีริกธาตุของเราในวันที่ 21 นับว่าเป็นบุญของสถานที่ เป็นบุญของบ้านเมืองของเรา ขณะนี้พระองค์ท่านก็ประชวร ประชวรอยู่ ท่านก็อธิษฐานจิต ทุกคนก็จงพยายามช่วยกันแผ่เมตตาไปช่วยเหลือท่าน ทุกคนทุกดวงซึ่งก็เปรียบเสมือนกับลูกหลานของท่าน ท่านก็เปรียบเสมือนกับพ่อกับแม่ของเรา เป็นผู้ปกครองของแผ่นดิน เราก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญ ได้เกิดมาในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ แล้วก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพุทธศาสนาซึ่งปักหลักอยู่ที่นี่อย่างมั่นคง เราก็อย่าไปพลาดโอกาส เราก็พยายามสร้างคุณงามความดีให้มากๆ ขึ้นไป ไม่ว่าทางกายทางวาจาทางใจ แล้วก็การกระทำทางด้านรูปธรรม ก็ทำให้เกิดประโยชน์
อย่าไปเกียจคร้าน พยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น หาที่พึ่งทั้งภายในทั้งภายนอก ภายนอกคือสมมติต่างๆ ที่เราเข้ามาอาศัยอยู่ คือปัจจัยสี่ ต่างคนก็ต่างขยันหมั่นเพียร ต่างคนก็ต่างมีความรับผิดชอบช่วยเหลือตัวเองได้ ก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทรัพย์ภายในเราก็สร้างสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม พยายามกันนะ อย่าพากันทิ้ง
ตั้งสติระลึกรู้ สร้างสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน ลองดูซิ ทุกสิ่งทุกอย่างวางไว้ให้หมด อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ทำสมองให้โล่ง จิตให้ว่าง กายให้สบาย ตัดความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไว้ให้หมด ทำจิตให้สบายกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ถึงดับไม่ได้หมดจด
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่ย้ำแค่เตือนเท่านั้นเอง
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปเพ่งอย่าไปจดจ้อง แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เราก็ต้องพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ยิ่งเราไม่เข้าใจเท่าไร ยิ่งเราทำความละเอียดอ่อนไม่ได้ เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ
หายใจอย่างไรถึงไม่อึดอัด หายใจอย่างไรความรู้สึกถึงจะเด่นชัด หายใจหยาบหายใจละเอียด ยิ่งไม่เข้าใจยิ่งไม่สนใจยิ่งห่างไกล ยิ่งไม่เข้าใจเรายิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ แต่อย่าไปเพิ่มด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต เราหัดสังเกต เวลาปกติ ยืนเดินนั่งนอน ทุกอิริยาบถ เราก็หายใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าจะหยุด แม้แต่กระทั่งเรานอนหลับ ตื่นขึ้นมาลมหายใจก็วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ แต่เราขาดความรู้สึกรับรู้ที่เด่นชัด เราปล่อยเลยตามเลย
ส่วนจิต บางครั้งเขาก็สงบอยู่ บางครั้งเขาก็เกิด ส่วนมากจะเกิดส่งออกไปภายนอกเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็มีความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต ซึ่งหลักธรรมหรือว่าภาษาธรรมะ ท่านเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ความคิดที่เราไม่ต้องการต่างๆ ก็จะผุดขึ้นมา จิตของเราเคลื่อนเข้าไปร่วม ตรงนี้แหละสำคัญ โมหะ เขาเรียกว่า ‘ความหลง’ หลงความคิดหลงอารมณ์ ทำให้เกิดอัตตาตัวตน แล้วก็จิตของเราก็เป็นทาสของกิเลส ของความโลภความโกรธ ของความทะเยอทะยานอยาก อยากด้วย แล้วก็หวังด้วย แล้วก็ทิฏฐิความเห็นต่างๆ ทิฏฐิมานะทำให้เกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา
ทำอย่างไรเราถึงจะทำความเข้าใจกับอัตตา แล้วก็ทำลายอัตตาได้ อัตตาในทางสมมติเราก็มีอยู่คือก้อนรูป แต่เรายังวางอัตตาตัวตนไม่ได้ ทั้งที่อยากจะวาง ทั้งที่ไม่อยากจะเอาอยากจะยึด แต่เราก็วางไม่ได้ เพราะว่าจิตของเรายังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว หรือว่ามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ให้ตื่นตัว แล้วก็ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม ให้รู้ให้เห็น ทำความเข้าใจกับนิวรณธรรม ขณะที่เราตื่นตัวอยู่นี้ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในเรื่องของราคะ รูปรสกลิ่นเสียงหรือไม่ ขณะนี้ปัจจุบันนี้แหละ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามอโหสิกรรมให้อภัยทานทุกเรื่อง จิตของเรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับ การดับว่าจะดับวิถีไหน
ความรู้สึกตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมาต่อเนื่องหรือไม่ หรือว่าพลั้งเผลอ หรือว่าเรามีความเกียจคร้าน จิตมีความลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆ เราก็ดับ อย่าไปนึกเอาคิดเอาเด็ดขาด ความคิดเก่าๆ เรามีอยู่
เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปสังเกตรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้ารู้ไม่ทันต้นเหตุแล้วก็ดับเอาไว้ บางทีเราก็รู้อยู่ แต่เราขาดการแยกขาดการคลาย จิตของเรายังหลงอยู่ บางทีจิตของเราก็สงบอยู่ แต่เป็นเปรียบเสมือนกับขันที่คว่ำอยู่ยังไม่ได้หงายเท่านั้นเอง ความคิดเก่าๆ เราจะมีมากมายถึงขนาดไหน เราก็อย่าเพิ่งจะเอามาคิด เราต้องพยายามคลายให้ได้แยกให้ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งหรอก เราเอาเก็บไว้ก่อน จะฝืนความคิดเก่า ความคิดเก่ามีทั้งร้อยเราก็ต้องคลายออกทั้งร้อย ให้เหลืออยู่ที่ศูนย์ คือความว่างความไม่มีอะไร
จิตจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับ กิเลสมากกิเลสน้อย กิเลสฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศล ดับหมด ดับความเกิด แม้แต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากตัวจิตเราก็ดับ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด เราดับแล้วหนุนกำลังสติไปทำหน้าที่แทน กำลังสติของเรามีกำลังมากขึ้นๆๆ เขาก็จะเอาไปใช้ จนเป็นปัญญา เป็นมหาปัญญา จนทำหน้าที่แทนจิต สติปัญญาเปรียบเสมือนกับกงจักรหมุนรอบจิตของเราอยู่ตลอดเวลา จะเอามากเอาน้อย ทำมากทำน้อยก็ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรของสติปัญญาของเรา
เราก็รู้จักเข้าไปรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ รู้จักแก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง มีความรับผิดชอบต่อส่วนตัวต่อส่วนรวม บอกตัวเองให้เห็นได้ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับเขาบัญชา เราต้องบังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้กิเลสมาเป็นนายเหนือเรา กิเลสหยาบกิเลสละเอียด
กาย กิเลสเกิดขึ้นที่กาย หรือว่าจิตปรุงแต่งร่วม หรือกิเลสเกิดขึ้นที่จิตปรุงแต่ง หรือเหตุการณ์จากข้างนอกมาทำให้เกิด หรือเกิดขึ้นจากภายใน ก็ต้องรู้ต้องเห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ของตัวเราเอง
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี พอรู้แนวทางเล็กๆ น้อยๆ ก็พยายามแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อาศัยความอดทนอาศัยความอดกลั้นอาศัยกาลอาศัยเวลาความต่อเนื่องที่ถูกต้อง รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย แล้วก็ทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
เมื่อจิตรู้ความเป็นจริงแล้ว เขาจะไม่เอาอะไรสักอย่าง แม้แต่การเกิด การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด ช่วงขณะนี้เขาทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย ทั้งวิ่งออกไปภายนอกด้วย หาที่พึ่งภายนอก พึ่งขันธ์ห้าบ้าง พึ่งอำนาจของกิเลสบ้าง เดี๋ยวนี้เขามีกิเลสเป็นเพื่อน เขามีขันธ์ห้าเป็นเพื่อน เขาอยู่ด้วยกันมาหลายกัปหลายกัลป์ เราจะไปจับเขาแยกเขาคลาย ให้เขายอมรับความเป็นจริง เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวนี้ก็ยากอยู่
เราต้องหมั่นพร่ำสอนจิตของเรา แล้วก็หมั่นเจริญพรหมวิหาร ศรัทธาความเชื่อมั่น ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียรในการขัดเกลาจิตของเรา แล้วก็เจริญพรหมวิหารอยู่ตลอดเวลา จิตของเรามีความโลภ เราก็พยายามละความโลภนั้นเสีย ด้วยการทำในสิ่งตรงกันข้าม ด้วยการเอาออก ด้วยการให้ จิตของเราเกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธ แล้วก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม ไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ เราชนะตัวเรา เราจะชนะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คนเราไม่ชอบเอาชนะตัวเอง ชอบจะเข้าข้างตัวเอง
ทีนี้เราจะเอาจะมีจะเป็น จะทำอะไรเราก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ทำด้วยสติด้วยปัญญา มีความรับผิดชอบที่สูง ทรัพย์ภายในก็ไม่เสีย ทรัพย์ภาพนอกก็ไม่เสีย ถึงเสียเราก็รีบแก้ไขเสีย อยู่ปัจจุบันให้ดีก็เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกปัจจุบัน ประโยชน์มากประโยชน์น้อย เราก็จะมองเห็น มองเห็นชัดเจนว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด
เพียงแค่การเจริญสติ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รู้ตัวปุ๊บตั้งสติขึ้นมาปั๊ปทันทีเลย ไม่จำเป็นต้องไปรอเวลาโน้นรอเวลานี้ ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย
ตัวไหนเป็นตัวสั่งการไป ตัวไหนเป็นตัวสั่งให้คิดให้พิจารณา สติของเราเป็นคนสั่ง จิตของเรานิ่งรับรู้อยู่รึเปล่า จิตนี่ก็แปลกนะ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ขัดเกลา ไม่อดไม่กลั้น ไม่มีกำชับกำชา ไม่หมั่นพร่ำสอนเขานี่ก็ยากนะ
บุคคลบางท่านก็สร้างบารมีมาดี กิเลสเบาบาง แต่ก็ต้องพยายามให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาเท่าเทียมกันหมด แต่ทางด้านสมมตินั้น บางคนบางท่านก็สร้างมาบริบูรณ์ บางคนบางท่านก็ยังลำบากอยู่ ก็ต้องพยายาม ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกคนเกิดมาก็ไม่มีอะไรติดตัวมา ก็มีตั้งแต่ทรัพย์ภายในที่ฝังจิตของเรามา แล้วก็ความขยันหมั่นเพียร การทำความเข้าใจที่ถูกต้อง
เราเกิดมาในประเทศอันสมควร ซึ่งมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นองค์อุปถัมภ์ศาสนาของเรา แล้วก็เป็นบุญด้วย วัดของเราก็ได้รับความเมตตาจากพระเจ้าอยู่หัวของเรา ท่านได้แผ่เมตตาแล้วก็ให้อัญเชิญพวงมาลาจากทางในสำนักพระราชวัง องค์แทนของท่านก็จะอัญเชิญขึ้นเครื่องบินมา แล้วก็จะได้มาบูชาองค์พระพุทธรูปหยก แล้วก็บูชาบรมสารีริกธาตุของเราในวันที่ 21 นับว่าเป็นบุญของสถานที่ เป็นบุญของบ้านเมืองของเรา ขณะนี้พระองค์ท่านก็ประชวร ประชวรอยู่ ท่านก็อธิษฐานจิต ทุกคนก็จงพยายามช่วยกันแผ่เมตตาไปช่วยเหลือท่าน ทุกคนทุกดวงซึ่งก็เปรียบเสมือนกับลูกหลานของท่าน ท่านก็เปรียบเสมือนกับพ่อกับแม่ของเรา เป็นผู้ปกครองของแผ่นดิน เราก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญ ได้เกิดมาในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ แล้วก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพุทธศาสนาซึ่งปักหลักอยู่ที่นี่อย่างมั่นคง เราก็อย่าไปพลาดโอกาส เราก็พยายามสร้างคุณงามความดีให้มากๆ ขึ้นไป ไม่ว่าทางกายทางวาจาทางใจ แล้วก็การกระทำทางด้านรูปธรรม ก็ทำให้เกิดประโยชน์
อย่าไปเกียจคร้าน พยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น หาที่พึ่งทั้งภายในทั้งภายนอก ภายนอกคือสมมติต่างๆ ที่เราเข้ามาอาศัยอยู่ คือปัจจัยสี่ ต่างคนก็ต่างขยันหมั่นเพียร ต่างคนก็ต่างมีความรับผิดชอบช่วยเหลือตัวเองได้ ก็จะล้นออกไปสู่ภายนอก ทรัพย์ภายในเราก็สร้างสะสมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม พยายามกันนะ อย่าพากันทิ้ง
ตั้งสติระลึกรู้ สร้างสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกัน ลองดูซิ ทุกสิ่งทุกอย่างวางไว้ให้หมด อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ทำสมองให้โล่ง จิตให้ว่าง กายให้สบาย ตัดความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไว้ให้หมด ทำจิตให้สบายกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ ถึงดับไม่ได้หมดจด
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่ย้ำแค่เตือนเท่านั้นเอง