หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 110
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 110
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นในใจของพวกเรา ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย หยุดคิด ดับความคิดดับความกังวลเอาไว้ให้หมด ถึงเราวางไม่ได้เราก็หยุดเอาไว้
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับอย่าไปเพ่ง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็สบายขึ้น จิตของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกตัว นั่นแหละ เราพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ อันนี้เป็นการพูดให้ฟังเฉยๆ
ถ้าเราไปสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ความปกติของกาย รู้ความปกติของจิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ไปสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไม่เข้าใจ
จิตของทุกดวงของทุกคนก็มีความสะอาดบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจเท่านั้นแหละ ทำให้จิตเกิด ทำให้จิตหลงเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก หลายสิ่งหลายอย่างมาปกปิดดวงจิตเอาไว้ อวิชชาความหลงความไม่รู้ หลงเป็นทาสของกิเลส หลงเป็นทาสของความอยาก เป็นทาสของอารมณ์
ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากเข้ามาครอบงำ แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม ทั้งไม่มีทั้งมี อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น แม้แต่การเกิดของจิต เราต้องศึกษาตัวเราให้ละเอียด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรเรายังขาดตกบกพร่อง จิตใจของเรามีความปกติดีอยู่หรือไม่ แต่ละวันเหตุการณ์อะไรบ้าง ทั้งสมมติภายนอกที่เราต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราก็เข้าไปแก้ไข แก้ไขภายในด้วยแก้ไขข้างนอกด้วย ขยันหมั่นเพียรด้วย สร้างอานิสงส์สร้างบารมีอยู่ตลอดเวลา เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างสมมติให้อยู่ดีมีความสุข
ลึกลงไปทางด้านจิต เขาเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา จิตของเราไปร่วมได้อย่างไร เราดับเราละได้ด้วยวิธีไหน ทำไมจิตของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ลักษณะอาการของจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร ให้พากันไปทำเถอะ
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมกันหมดนั่นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านก็ชี้แนะแนวทางให้เยอะ ทั่วประเทศ นั่นเป็นอาจารย์เป็นครูบาอาจารย์ภายนอก เราต้องสร้างอาจารย์ภายในคือเจริญสติเข้าไปสำรวจจิตของเรา สตินี้เปรียบเสมือนกับครูบาอาจารย์ คอยตรวจสอบจิตของตัวเอง ว่าจิตของเราไปอย่างไรมาอย่างไร สมมติของเรายังขาดตกบกพร่อง เราก็รีบแก้ไขเพราะว่าสมมติกับวิมุตติเขาก็อาศัยกันอยู่ โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่ เราจะทิ้งสมมติไม่ได้ นอกจากกายของเราจะแตกดับนั่นแหละเราถึงจะได้วางก้อนรูปก้อนนี้ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจทั้งสองอย่าง
จะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข เรามีความเสียสละ ละกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีพรหมวิหาร ความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีอยู่ตลอดเวลา กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร ไปอยู่ที่ไหนเราถึงจะรู้ธรรมถ้าเราไม่เน้นลงอยู่ที่กายของเรา
ครูบาอาจารย์ ตำรา ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ อันนั้นเป็นแนวทาง บุคคลผู้รู้ไปฟังนิดเดียว คือการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับการควบคุม การสังเกตการณ์ การวิเคราะห์ จิตนี่ถ้าไม่ฝึกถ้าไม่ฝืนเขา เขาก็จะเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เกิดส่งไปภายนอกซึ่งเป็นทาสของกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสละเอียดมันมีเยอะ ขนาดกิเลสหยาบๆ มันเห็นได้ง่าย กิเลสละเอียดพวกนิวรณธรรมพวกมลทินต่างๆ มันละได้ยาก มันคลายได้ยาก
เราก็ต้องพยายามสร้างตบะเข้าไปให้แกร่งกล้า ความอดทนอดกลั้น มีขันติ มีวิริยะมีความเพียร มีสัจจะกับตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง ถ้าคนเรามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน อย่าไปหวังเลยว่าจะเข้าใจในธรรม ว่าจะเข้าใจในเรื่องของการปฏิบัติจิต ต้องขยันแล้วก็ขยันให้ถูกทางด้วย ขยันให้ถูกวิธีด้วย ถ้าผิดทางแล้วก็ยิ่งห่างไกล เรื่องการปฏิบัติจิต
เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังสร้างความรู้ตัวไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งไปข้างนอกภายนอกสักกี่เที่ยว สักกี่เรื่อง สักกี่ครั้ง ไม่เคยสังเกตเลย ปล่อยเขาไปเป็นแบบอัตโนมัติ แบบโลกๆ แบบโลกีย์
ใหม่ๆ ก็ฝืน ท่านถึงว่าทวนกระแส ถ้าเรารู้จักลักษณะของจิต รู้จักลักษณะของขันธ์ห้า ซึ่งเขาแยกออกจากกันได้ เราก็จะมองเห็นทาง นั่นแหละสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ก็จะเปิดทางให้ เหมือนกับเราขึ้นบนบ้าน เราขึ้นบันไดไปจนถึงขั้นสุดท้ายจนถึงตัวเรือน เราต้องไปทำความสะอาดบนตัวเรือนของเราให้สะอาด เพียงแค่เราแยกรูปแยกนามได้ เพียงแค่สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเปิดทางให้ เราต้องไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจดอีก
ก็ขึ้นอยู่ความเพียร ขึ้นอยู่กับกาลกับเวลา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกคนก็มีบุญ เวลาหยุด วันหยุดก็พากันไปแสวงหาบุญไปสร้างบุญ ใจของเรานั่นแหละคือตัวบุญ ใจอิ่มใจสบาย ไม่มีความหิวโหย ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก มีความอิ่มมีความปิติมีความสุข นั่นแหละเราอยู่กับบุญ เราต้องรักษาบุญ
ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่สงบ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ สงบจากการเกิด สงบจากการเป็นทาสของกิเลสต่างๆ เราอย่าให้เป็นกิเลสมาเป็นนายเหนือเรา เราจงเป็นนายเหนือกิเลส
ทุกคนก็เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกันหมด จะถึงช้าหรือถึงเร็วเท่านั้นเอง ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมคือการกระทำของแต่ละบุคคล ขยันมาก ขยันน้อย ขยันได้ถูกทาง
ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้คลายออกให้หมด ให้ละออกให้หมด ในสิ่งที่มีในสิ่งที่เป็น ในสิ่งที่ไม่มีไม่เป็น อยู่ตรงกลาง อยู่ตรงความว่าง อยู่ตรงกลาง การเกิดก็ไม่ให้มี การเกิดทุกคราวก็เป็นทุกข์ ไม่ว่าเกิดทางด้านรูปธรรม ทางเนื้อทางหนัง ไม่ว่าเกิดทางด้านจิตใจ
เวลานี้ตั้งแต่เช้าใจของเราเกิดไม่รู้กี่เที่ยว ไม่รู้ไปที่ไหนบ้าง บางทีนั่งฟังอยู่นี่ มันยังแว๊บ ว๊อบแว๊บๆ ไปนั่นไปนี่เรื่องนู้นเรื่องนี้ นั่นแหละวิบากกรรมสมมติมันยังไม่คลาย เราต้องพยายามไปสะสางวิบากกรรมสมมติของเราให้เรียบร้อย บางคนบางท่านก็มีพันธะมีภาระ มีลูกมีหลาน มีครอบครัว เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดี บางทีก็มีทรัพย์สินเงินทอง มีภาระหนี้สินมากมาย เราต้องไปแก้ไข มันเป็นบ่วงกรรม เป็นวิบากกรรมที่คอยฉุดคอยรั้งเอาไว้ เราต้องคอยไปแก้ไขออก คลายออกให้มันหมด
ขณะคลายภายนอกคลายสมมติ แล้วยังมาคลายภายในทางด้านนามธรรมอีก คลายขันธ์ห้าแยกแยะขันธ์ห้า คลายนิวรณ์ ละนิวรณ์ละมลทิน ซึ่งเป็นส่วนละเอียดลึกลงไปอีก มันสลับซับซ้อนมากมาย ขอให้มีความขยั่นหมั่นเพียรกันเถอะ อย่าไปทิ้งบุญ มีโอกาสก็ให้รีบทำบุญสร้างสะสมอานิสงส์ผลบุญเอาไว้ เพียงแค่คิดดีเป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับอย่าไปเพ่ง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ กายของเราก็สบายขึ้น จิตของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด นั่นแหละความรู้สึกตัว นั่นแหละ เราพยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ อันนี้เป็นการพูดให้ฟังเฉยๆ
ถ้าเราไปสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ความปกติของกาย รู้ความปกติของจิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ไปสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไม่เข้าใจ
จิตของทุกดวงของทุกคนก็มีความสะอาดบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจเท่านั้นแหละ ทำให้จิตเกิด ทำให้จิตหลงเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก หลายสิ่งหลายอย่างมาปกปิดดวงจิตเอาไว้ อวิชชาความหลงความไม่รู้ หลงเป็นทาสของกิเลส หลงเป็นทาสของความอยาก เป็นทาสของอารมณ์
ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยากเข้ามาครอบงำ แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม ทั้งไม่มีทั้งมี อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น แม้แต่การเกิดของจิต เราต้องศึกษาตัวเราให้ละเอียด
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรเรายังขาดตกบกพร่อง จิตใจของเรามีความปกติดีอยู่หรือไม่ แต่ละวันเหตุการณ์อะไรบ้าง ทั้งสมมติภายนอกที่เราต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราก็เข้าไปแก้ไข แก้ไขภายในด้วยแก้ไขข้างนอกด้วย ขยันหมั่นเพียรด้วย สร้างอานิสงส์สร้างบารมีอยู่ตลอดเวลา เรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน สร้างสมมติให้อยู่ดีมีความสุข
ลึกลงไปทางด้านจิต เขาเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเรา จิตของเราไปร่วมได้อย่างไร เราดับเราละได้ด้วยวิธีไหน ทำไมจิตของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ลักษณะอาการของจิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร ให้พากันไปทำเถอะ
การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมกันหมดนั่นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านก็ชี้แนะแนวทางให้เยอะ ทั่วประเทศ นั่นเป็นอาจารย์เป็นครูบาอาจารย์ภายนอก เราต้องสร้างอาจารย์ภายในคือเจริญสติเข้าไปสำรวจจิตของเรา สตินี้เปรียบเสมือนกับครูบาอาจารย์ คอยตรวจสอบจิตของตัวเอง ว่าจิตของเราไปอย่างไรมาอย่างไร สมมติของเรายังขาดตกบกพร่อง เราก็รีบแก้ไขเพราะว่าสมมติกับวิมุตติเขาก็อาศัยกันอยู่ โลกกับธรรมก็อาศัยกันอยู่ เราจะทิ้งสมมติไม่ได้ นอกจากกายของเราจะแตกดับนั่นแหละเราถึงจะได้วางก้อนรูปก้อนนี้ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจทั้งสองอย่าง
จะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข เรามีความเสียสละ ละกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น เรามีพรหมวิหาร ความเมตตา มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีอยู่ตลอดเวลา กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร ไปอยู่ที่ไหนเราถึงจะรู้ธรรมถ้าเราไม่เน้นลงอยู่ที่กายของเรา
ครูบาอาจารย์ ตำรา ก็เป็นแค่เพียงแผนที่ อันนั้นเป็นแนวทาง บุคคลผู้รู้ไปฟังนิดเดียว คือการเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับการควบคุม การสังเกตการณ์ การวิเคราะห์ จิตนี่ถ้าไม่ฝึกถ้าไม่ฝืนเขา เขาก็จะเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ เกิดส่งไปภายนอกซึ่งเป็นทาสของกิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสละเอียดมันมีเยอะ ขนาดกิเลสหยาบๆ มันเห็นได้ง่าย กิเลสละเอียดพวกนิวรณธรรมพวกมลทินต่างๆ มันละได้ยาก มันคลายได้ยาก
เราก็ต้องพยายามสร้างตบะเข้าไปให้แกร่งกล้า ความอดทนอดกลั้น มีขันติ มีวิริยะมีความเพียร มีสัจจะกับตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง ถ้าคนเรามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน อย่าไปหวังเลยว่าจะเข้าใจในธรรม ว่าจะเข้าใจในเรื่องของการปฏิบัติจิต ต้องขยันแล้วก็ขยันให้ถูกทางด้วย ขยันให้ถูกวิธีด้วย ถ้าผิดทางแล้วก็ยิ่งห่างไกล เรื่องการปฏิบัติจิต
เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังสร้างความรู้ตัวไม่ค่อยจะต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งไปข้างนอกภายนอกสักกี่เที่ยว สักกี่เรื่อง สักกี่ครั้ง ไม่เคยสังเกตเลย ปล่อยเขาไปเป็นแบบอัตโนมัติ แบบโลกๆ แบบโลกีย์
ใหม่ๆ ก็ฝืน ท่านถึงว่าทวนกระแส ถ้าเรารู้จักลักษณะของจิต รู้จักลักษณะของขันธ์ห้า ซึ่งเขาแยกออกจากกันได้ เราก็จะมองเห็นทาง นั่นแหละสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง ก็จะเปิดทางให้ เหมือนกับเราขึ้นบนบ้าน เราขึ้นบันไดไปจนถึงขั้นสุดท้ายจนถึงตัวเรือน เราต้องไปทำความสะอาดบนตัวเรือนของเราให้สะอาด เพียงแค่เราแยกรูปแยกนามได้ เพียงแค่สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเปิดทางให้ เราต้องไปชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมดจดอีก
ก็ขึ้นอยู่ความเพียร ขึ้นอยู่กับกาลกับเวลา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกคนก็มีบุญ เวลาหยุด วันหยุดก็พากันไปแสวงหาบุญไปสร้างบุญ ใจของเรานั่นแหละคือตัวบุญ ใจอิ่มใจสบาย ไม่มีความหิวโหย ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก มีความอิ่มมีความปิติมีความสุข นั่นแหละเราอยู่กับบุญ เราต้องรักษาบุญ
ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ใจที่สงบ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ สงบจากการเกิด สงบจากการเป็นทาสของกิเลสต่างๆ เราอย่าให้เป็นกิเลสมาเป็นนายเหนือเรา เราจงเป็นนายเหนือกิเลส
ทุกคนก็เดินให้ถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกันหมด จะถึงช้าหรือถึงเร็วเท่านั้นเอง ก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมคือการกระทำของแต่ละบุคคล ขยันมาก ขยันน้อย ขยันได้ถูกทาง
ในหลักธรรมแล้ว ท่านให้คลายออกให้หมด ให้ละออกให้หมด ในสิ่งที่มีในสิ่งที่เป็น ในสิ่งที่ไม่มีไม่เป็น อยู่ตรงกลาง อยู่ตรงความว่าง อยู่ตรงกลาง การเกิดก็ไม่ให้มี การเกิดทุกคราวก็เป็นทุกข์ ไม่ว่าเกิดทางด้านรูปธรรม ทางเนื้อทางหนัง ไม่ว่าเกิดทางด้านจิตใจ
เวลานี้ตั้งแต่เช้าใจของเราเกิดไม่รู้กี่เที่ยว ไม่รู้ไปที่ไหนบ้าง บางทีนั่งฟังอยู่นี่ มันยังแว๊บ ว๊อบแว๊บๆ ไปนั่นไปนี่เรื่องนู้นเรื่องนี้ นั่นแหละวิบากกรรมสมมติมันยังไม่คลาย เราต้องพยายามไปสะสางวิบากกรรมสมมติของเราให้เรียบร้อย บางคนบางท่านก็มีพันธะมีภาระ มีลูกมีหลาน มีครอบครัว เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดี บางทีก็มีทรัพย์สินเงินทอง มีภาระหนี้สินมากมาย เราต้องไปแก้ไข มันเป็นบ่วงกรรม เป็นวิบากกรรมที่คอยฉุดคอยรั้งเอาไว้ เราต้องคอยไปแก้ไขออก คลายออกให้มันหมด
ขณะคลายภายนอกคลายสมมติ แล้วยังมาคลายภายในทางด้านนามธรรมอีก คลายขันธ์ห้าแยกแยะขันธ์ห้า คลายนิวรณ์ ละนิวรณ์ละมลทิน ซึ่งเป็นส่วนละเอียดลึกลงไปอีก มันสลับซับซ้อนมากมาย ขอให้มีความขยั่นหมั่นเพียรกันเถอะ อย่าไปทิ้งบุญ มีโอกาสก็ให้รีบทำบุญสร้างสะสมอานิสงส์ผลบุญเอาไว้ เพียงแค่คิดดีเป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ