หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 050

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 050
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 050
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้ตัวสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องด้วยการเจริญอานาปานสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน ดับความคิด ดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย

สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้น จิตของเราก็จะสงบ เราพยายามฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หรือว่าระลึกได้เมื่อไหร่เราก็พยายามสร้างความรู้ตัว แล้วก็พยายามสร้างให้เป็นธรรมชาติที่สุด อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ อย่าไปบังคับ

ต่อไปข้างหน้าถ้าความรู้ตัวของเรามีมาก เราก็จะรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ จะทำอะไรก็มีสติคอยดูคอยรู้ เราจะควบคุมจิตของเราได้หรือไม่ ควบคุมอารมณ์ควบคุมจิต คอยสังเกตคอยวิเคราะห์ทันจิตทันความคิดหรือไม่นั้นก็เอาไว้ทีหลัง

ขอให้เรารู้จักการเจริญสติให้ได้เสียก่อน ทุกอิริยาบถ ทั้งที่จิตของทุกคนก็เป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญอยากทำบุญ อันนี้มีติดตัวกันทุกคน แต่การสร้างความรู้ตัวอาจจะมีบ้าง แต่ไม่ต่อเนื่อง เราต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง ถึงพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วก็จะไม่เข้าใจ ต้องขยัน แล้วก็ขยันให้ถูกวิธีด้วย ไม่ใช่ขยันแบบหลง หลงงมงาย

ต้องขยันวิเคราะห์ ต้องขยันหมั่นสังเกต ความปกติของจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ จิตที่สงบปราศจากกิเลส ปราศจากการเกิด เขาก็สงบตั้งมั่น เขาเรียกว่า ‘สมถภาวนา’ ความสงบ ถ้าเราสังเกตจนกว่าจิตจะคลายออกจากความคิด แยกออกจากกันได้ก็เรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ตามทำความเข้าใจความคิดได้ เห็นการเกิดการดับของความคิดของขันธ์ห้าได้ เขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เห็นสภาวธรรมเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นแหละอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า

พอก็ดับไปอนัตตา คำว่าอนัตตาคือความว่างเปล่า เข้ามาปรากฏ เรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นอีก เกิดแล้วเกิดเล่า จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกันจนเป็นตัวเดียวกัน นั่นแหละความหลงอวิชชา

ถ้าเรามาแยก มาคลาย มาตามดู รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกเรื่อง จิตเขาก็จะยอมรับความเป็นจริง เขาก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เขาก็จะหาทางหลบหลีกเอง หลบหลีกไม่ได้ก็อยู่อุเบกขา

อันนี้การพูดมันง่าย แต่การสังเกตการวิเคราะห์ให้ได้ทุกเรื่องนี่มันยาก นอกจากคนที่จะขยันหมั่นเพียรจริงๆ ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเห็นแล้วจิตมันจะคลายเลยทีเดียว รู้แล้วเห็นแล้วแยกได้แล้ว ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจ ถ้าขาดการละกิเลส ขาดการเจริญพรหมวิหาร จิตก็ยากที่เขาจะสงบได้เหมือนกัน เราก็ต้องขนาบแล้วขนาบอีก หมั่นชำระสะสางกิเลส จิตเกิดความทะเยอทะยานอยากเราก็ดับเสีย อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง แม้ตั้งแต่อยากจะรู้ธรรม

การเข้าไปสำรวจ การเข้าไปดับ การเข้าไปควบคุม นี่แหละเขาเรียกว่า ‘การกระทำ’ จิตไม่เกิดส่งไปภายนอก เราหยุดเราดับได้แล้วเขาก็สงบเอง มันเกิดอีกเราก็ดับอีกๆ เราดับเสียตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็บั่นทอนกำลังของจิตลง จนจิตของเราจะสงบนิ่ง หนุนกำลังสติเข้าไปพิจารณาสมมติต่างๆ พิจารณากาย พิจารณาโลกธรรมแปด ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าธาตุ

เราเกิดมาเพื่ออะไร จะไปอย่างไรมาอย่างไร เราต้องมองเห็นหนทางที่จะเดิน ทุกคนที่มาที่นี่ก็มาหาหนทางนั่นแหละ มาหาหนทางมาหาแนวทาง อยู่หลายคนหลายที่หลายทิศ ต่างวาระต่างสถานะต่างสถานที่ ก็มีวิบากร่วมกันถึงได้มาอยู่ร่วมกัน เพื่อที่จะมาแสวงหาทางดับทุกข์ แสวงหาทางหลุดพ้น เมื่อมาถึงสถานที่แล้วก็ให้คลายทิฏฐิคลายมานะ วางทิฏฐิวางความเห็นเก่าๆ ของเราออกให้มันหมด มันไม่หมดก็ใช้สมถะเข้าไปดับ เจริญสติเข้าไปหยุดเข้าไปยับยั้ง

อย่าเอามาโต้แย้ง ให้รู้จักการสร้างสติเข้าไปรู้ทันการก่อตัวของจิตของความคิด ถ้าเรารู้เท่าทันจิต แยกได้แล้ว ความสงสัยความกังวลต่างๆ ก็จะคลายออกหมด จนมีตั้งแต่กำลังสติจะตามทำความเข้าใจ หมดความสงสัย ตามดูตามรู้ตามเห็น หมั่นชำระกิเลส หมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา

ถ้ายังแยกไม่ได้คลายไม่ได้ ถ้ายังมีตั้งแต่ทิฏฐิ มีตั้งแต่ความเห็นเก่าๆ มันก็ยากที่จะเข้าถึงฐานของจิตได้ เราต้องคลายความเห็นเก่าออกให้หมด มีปัญญาเต็มร้อยเราก็คลายออกทั้งร้อย เราคลายไม่ได้เราก็ดับ ควบคุม ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ เขาถึงจะเรียกว่า ‘คลาย’

ถ้าเราไม่ตามดูเขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม เราต้องจับประเด็นให้ได้ การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้ สร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะนี้ การก่อตัวของจิต เรารู้ตั้งแต่ก่อตัว ส่วนมากจะไม่รู้ รู้เมื่อเขาเกิดไปช่วงกลางช่วงปลาย รู้เมื่อเข้าไปรวมกันแล้ว หรือบางทีจนเป็นเรื่องเป็นราว

คิดเราก็รู้ ทำเราก็รู้ มันรู้ มันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เพราะว่าเราขาดการแยกจิตออกจากความคิดตั้งแต่ก่อน ถ้าเราสังเกตทันเขาก็จะแยกออกจากกันเอง ก็ต้องพยายามกัน ถ้าเรายังแยกไม่ได้ เดินปัญญาตรงจุดที่ไม่ได้ เราก็พยายามหมั่นสร้างความรู้ตัวเอาไว้ รู้ตัวเอาไว้ให้ต่อเนื่องกัน แล้วก็สร้างบารมี

ตากระทบรูปจิตของเราเกิดหรือไม่ หูกระทบเสียงจิตของเราเกิดหรือไม่ เหตุการณ์จากภายนอกเข้ามากระทบ จิตของเราเกิดความโลภความโกรธหรือไม่ ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกาย ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงดวงจิตของเรา จิตของเราเกิดความยินดียินร้ายไหม ผลักไสไหม ดึงเข้ามาไหม เป็นกลางไหม ถ้าเรามีความรู้ตัวแล้วมีสติหมั่นสอดส่องหมั่นสังเกต สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น เราก็จะรู้เห็นลักษณะอาการ การก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ห้า

ถ้าพูดไปพูดมาแล้วก็ ถ้ายังไม่เข้าใจจะสับสน ถ้าบุคคลที่เห็นแล้วจะสนุก สนุกว่ากิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกจิตเรา จิตเราจะเป็นจะหลงกิเลสหรือไม่ จิตของเราจะส่งออกไปข้างนอกได้อย่างไร เรารู้ทันไหม เราแพ้หรือว่าเราชนะ มันจะเห็นชัดเจนแล้วก็มีตั้งแต่ความสนุก สนุกในการดู ในการทำความเข้าใจ ในการละ เอาการทำงานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยจิตก็ได้พักผ่อนไปด้วย จิตไม่เครียด มีตั้งแต่ความสุข อยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ทำเพื่อให้เกิดอานิสงส์กับมหาชน

เราต้องพยายามพากันอย่าไปทิ้งบุญ ทำกายทำวาจาทำใจของเราให้เป็นบุญตลอดเวลา เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระเข้าไปวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระก็อยู่ตรงนี้แหละ ก็ต้องพยายาม เดินไม่ถึงจุดหมายวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินถึงจุดหมายกัน ตราบใดที่เรายังแสวงหา อย่าไปท้อแท้

ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงใหม่ อย่าไปท้อแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีความพร้อม สถานที่พร้อม ครูบาอาจารย์พร้อมแล้ว เว้นแต่ว่าเราจะสร้างครูบาอาจารย์ หรือว่าเจริญสติเข้าไปตรวจสอบจิตของเราให้ต่อเนื่องกันหรือไม่เท่านั้นเอง รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา

โลกนี้ทั้งโลกก็เป็นธรรม จิตของเราเป็นธรรม จิตของเราว่าง เราก็มองเห็นโลกนี้ว่าง จิตของเราเป็นธรรม เราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรมหมด ทุกสิ่งก็ล้วนแต่เป็นธรรม ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง